ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 359 เยี่ยมเยียน
เฉิงฉือมองใบหน้าเล็กขาวดุจหิมะของโจวเสาจิ่นที่ปกคลุมด้วยเสื้อคลุมผ้าไหมทอเค่อซือบุขนปุกปุยนุ่มสีน้ำเงินไพลินลายหรูอี้นั้นแล้ว ก็ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ไม่เจอเพียงไม่กี่วัน ดวงหน้าของเด็กน้อยเบ่งบานขึ้น มีความชดช้อยอ่อนหวานและงดงามของสตรีขึ้นมาแล้ว
เขากับโจวเจิ้นพูดคุยกันอีกสองสามประโยค จากนั้นถามโจวเสาจิ่นว่า “หิมะตกหนักถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงคิดอยากไปไหว้พระได้”
โจวเสาจิ่นอึกอักไม่กล้าตอบออกมา
ดูเหมือนเด็กดื้อคนหนึ่งที่สร้างปัญหาแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้ขึ้นมาก็ไม่ปาน
เฉิงฉือยิ้มกว้างยิ่งขึ้น หันกลับไปกล่าวกับโจวเจิ้นว่า “เรื่องราวคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ ใต้เท้าโจวจิตใจกว้างขวาง จื่อชวนรู้สึกชื่นชมและละอายใจยิ่งนัก หลังจากกลับไปแล้วจะสั่งสอนเจียซ่านให้ดีอย่างแน่นอน ให้สมกับความใจกว้างของใต้เท้าโจว เพียงแต่ว่าข้ายังมีธุระต้องไปจัดการอีก หากอาศัยอยู่ในจวนที่ว่าการหยาเหมินเกรงว่าจะไม่ค่อยสะดวก จึงไม่รบกวนใต้เท้าโจวแล้วจะดีกว่า”
โจวเจิ้นจึงไม่รั้งเขาเอาไว้ เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าไปส่งจื่อชวนที่ประตูก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นยืนบื้อใบ้อยู่ตรงนั้น
ท่านน้าฉือมาบ้านของนางแล้วแต่ไม่ค้างคืนที่บ้านของพวกนางอย่างนั้นหรือ
เหตุใดบิดาถึงไม่คะยั้นคะยอรั้งเขาเอาไว้
นอกจากนี้ นางยังได้พบกับเซียวเจิ้นไห่ที่วัดนั่นอีก…
มือและเท้าของโจวเสาจิ่นไวกว่าสมองไปหนึ่งก้าว คว้าสาบเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านรับปากเอาไว้ว่าจะมาเยี่ยมข้ามิใช่หรือเจ้าคะ นี่ข้าเพิ่งกลับเข้ามาท่านก็จะไปแล้ว…ท่านพักอยู่ที่บ้านของข้าสักสองสามวันเถิดนะเจ้าคะ”
นอกจากนี้หากว่าเป็นเช่นนี้ เซียวเจิ้นไห่ก็จะตามหาตัวท่านน้าฉือไม่เจอแล้ว อย่างน้อย ต่อให้เซียวเจิ้นไห่รู้ว่าท่านน้าฉือพักอยู่ที่นี่ เขาก็ไม่กล้าบุกเข้ามาในที่ทำการของเจ้าเมืองอยู่ดี
นางหันไปมองบิดา เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านรั้งท่านน้าฉือเอาไว้สักหน่อยนะเจ้าคะ ตอนข้าอยู่ที่ซอยจิ่วหรู ต้องขอบคุณที่มีท่านน้าฉือคอยดูแล”
เฉิงฉือลอบส่ายศีรษะอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้
เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ เมื่อครู่ยังนึกว่านางโตแล้ว แต่เพียงพริบตาเดียวความจริงก็เผยออกมาจนได้
มีการรั้งแขกเอาไว้เช่นนี้ด้วยหรือ
เขาทำลายล้างตระกูลเซียว เซียวเจิ้นไห่นำผู้อาวุโสของตระกูลที่หนีรอดออกมาได้สองสามคนมาตามหาเขาเพื่อแก้แค้นกันอยู่! หากเขาพักอยู่ที่นี่แล้วถูกเซียวเจิ้นไห่ค้นพบเข้า ถ้าหากเขาจับตามองตระกูลโจวล่ะก็คงจะวุ่นวายเป็นแน่แล้ว
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ายังมีธุระ ค่อยมาเยี่ยมเจ้าวันอื่นก็แล้วกัน”
โจวเจิ้นมองแล้วก็รู้สึกปวดศีรษะ
เฉิงฉือเป็นตัวแทนของซอยจิ่วหรูมากล่าวขอโทษเขาถึงเรื่องของเฉิงสวี่ เขาเห็นว่าบุตรสาวทั้งสองคนล้วนเติบโตอยู่ที่ซอยจิ่วหรู การรับมือจัดการเรื่องของตระกูลเฉิงก็เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือร่างกายของโจวเสาจิ่นล้วนไม่ได้รับความเสียหายร้ายแรงอะไร จึงไม่ได้เอาเรื่องตระกูลเฉิง พูดกันตามจริงแล้วเฉิงจื่อชวนควรจะรับรู้ได้ถึงเจตนาดีของตนถึงจะถูก แต่พอเขาพยายามเรียกขานเขาว่าน้องจื่อชวน เฉิงจื่อชวนกลับเอาแต่เรียกเขาว่าใต้เท้าโจว รอยยิ้มดูอบอุ่นทว่ากลับมีความเยือกเย็นแปลกๆ แผ่ออกมาจากส่วนลึกอยู่หลายส่วน
โจวต้าเฉิงอย่างเขามิใช่คนหน้าหนาไร้ยางอายประเภทนั้น
ต่อไปหากพบกันอีกก็ทักทายกันตามมารยาทก็พอ
เขาก็เลยไม่คิดอยากจะรั้งเฉิงจื่อชวนให้พักอยู่ที่บ้านด้วย
เสาจิ่นฟังไม่ออกหรืออย่างไร
แต่เมื่อเขาเห็นสายตาอ้อนวอนที่เผยออกมาจากดวงตาของโจวเสาจิ่นแล้วก็ทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบ ได้แต่เอ่ยขึ้นว่า “จื่อชวน เจ้าดู แม้แต่เสาจิ่นเองก็ยังรั้งเจ้าเอาไว้อย่างจริงใจถึงเพียงนี้ เจ้าก็อยู่ที่นี่สักสองสามวันเถิด ไม่อย่างนั้นหากข้ากลับเมืองจินหลิงไป จะไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้อย่างไร”
โจวเสาจิ่นจึงหันไปมองเฉิงฉือ
ดวงตาดำงดงามทั้งคู่รื้นชื้น ประหนึ่งสัตว์ตัวน้อยที่ยังรอให้มีอาหารมาป้อน
เฉิงฉือพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
เดิมทีคิดว่าปราบเซียวเจิ้นไห่เสร็จแล้วจะมาจัดการคนของตระกูลเซียว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องของเซียวเจิ้นไห่ก็คงต้องเอาไว้ก่อนแล้ว
เขายิ้มพลางกล่าวกับโจวเจิ้นว่า “เช่นนั้นข้าขอน้อมรับเอาไว้แล้ว”
นัยน์ตาของโจวเจิ้นมีแววประหลาดใจสายหนึ่งวาบผ่าน
เฉิงจื่อชวน…โปรดปรานเสาจิ่นจริงๆ ด้วย!
ในรอยยิ้มนั่นมีความอบอุ่นแฝงอยู่
อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นเรื่องดี
พิสูจน์ได้ว่าเสาจิ่นมีชีวิตที่ดีตอนอยู่ที่ซอยจิ่วหรู
เอาเถิด ดูจากสีหน้าของบุตรสาวแล้ว เขาจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเฉิงจื่อชวนด้วยเรื่องพวกนี้แล้วก็แล้วกัน
โจวเจิ้นยิ้มพร้อมกับตะโกนเรียกหลี่ฉางกุ้ยเข้ามา สั่งให้เขาไปเตรียมเรือนรับรองแขกให้เฉิงจื่อชวน กล่าวด้วยว่า “ไปแจ้งฮูหยินสักหน่อย ให้นางไปสั่งอาหารและเครื่องดื่มที่หออี้ชุนมา วันนี้ข้ากับจื่อชวนจะได้ร่ำสุรากันสักสองสามจอก”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือไม่กินปลาเจ้าค่ะ”
หลี่ฉางกุ้ยรับคำอย่างนอบน้อม ยิ้มพร้อมกับถอยออกไป
โจวเจิ้นรู้สึกทดท้อใจเล็กน้อย
จื่อชวนไม่กินปลา แต่เขาชอบกินปลานี่นา!
เขาเชิญเฉิงจื่อชวนไปดื่มน้ำชาที่ห้องหนังสือ
เฉิงฉือยังไม่ทันได้อ้าปาก โจวเสาจิ่นก็แสร้งเอ่ยออกมาอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อยก่อนว่า “ท่านพ่อ ท่านก็จริงๆ เลย ท่านน้าฉือเพิ่งจะมาถึง ก็อยู่พูดคุยกับท่านไปกว่าครึ่งค่อนวันแล้ว ท่านจะไม่ให้เขากลับไปพักผ่อนให้เร็วสักหน่อยหรือ ยังจะดื่มชาอะไรอีกเจ้าคะ อย่างไรเสียท่านน้าฉือก็ต้องอยู่ที่บ้านพวกเราอีกหลายวัน ท่านอยากดื่มชากับเขา ยังมีเวลาอีกมากเจ้าค่ะ วันนี้ให้ท่านน้าฉือกลับไปพักผ่อนให้ไวสักหน่อยเถิด ประเดี๋ยวยังต้องมาร่ำสุรากับท่านอีก!”
นางยังมีเรื่องของเซียวเจิ้นไห่ที่ต้องบอกท่านน้าฉืออยู่อีก!
โจวเสาจิ่นเองไม่ได้สนใจว่าโจวเจิ้นจะว่าอะไรบ้าง ดึงเฉิงฉือเอาไว้หมายจะเดินออกไปด้านนอก ยังกล่าวอีกว่า “ท่านน้าฉือ ข้าจะพาท่านไปที่เรือนรับรองแขกเอง ข้ารู้ว่าเรือนรับรองแขกอยู่ที่ไหนเจ้าค่ะ!”
กระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
เฉิงฉืออดยิ้มออกมาไม่ได้
เด็กน้อยดูมีชีวิตชีวากว่าตอนอยู่เรือนปี้ซานมาก เห็นได้ชัดว่าโจวเจิ้นกับหลี่ซื่อปฏิบัติกับนางไม่เลวเลยทีเดียว การส่งนางกลับมานับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
แต่รอยยิ้มนี้ยังค้างอยู่ที่ดวงตา สีหน้าของเฉิงฉือก็เคร่งขึ้นเล็กน้อย
เขาเห็นหัวคิ้วของโจวเจิ้นขมวดมุ่นขึ้นเล็กน้อย น้อยจนแทบจะมองไม่เห็น
โจวต้าเฉิงคงไม่ชอบที่เสาจิ่นปฏบัติกับตนเช่นนี้
ถ้าหากเขาเป็นโจวเจิ้น คาดว่าก็คงไม่ชอบเหมือนกัน
เฉิงฉือยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น โจวเสาจิ่นจึงลากตัวเขาไปไม่ได้
โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉืออย่างไม่เข้าใจ
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เสาจิ่น เจ้าเองก็เพิ่งกลับมาจากวัด คงจะเหนื่อยมากแล้วเป็นแน่ รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ย่อมมีบ่าวรับใช้พาข้าไปที่เรือนรับรองแขกอยู่แล้ว”
“จะให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “เป็นครั้งแรกที่ท่านน้าฉือมาเป็นแขกที่บ้านของพวกข้า จะให้ท่านเดินไปเรือนรับรองแขกเพียงผู้เดียวได้อย่างไร!” กล่าวจบ ก็ไปดึงตัวเขาอีกครั้ง
โจวเจิ้นกลับไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ตอนอาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูเสาจิ่นจะได้รับการดูแลจากจวนหลัก ตอนที่เฉิงสวี่คิดจะกระทำมิดีมิร้ายก็เป็นเฉิงจื่อชวนที่ช่วยเสาจิ่นให้รอดพ้นจากความอับอาย แต่การที่เสาจิ่นกระตือรือร้นขนาดนี้เขาก็ไม่ยินดีนัก…
เขาคำรามเสียงเย็นอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับยังคงสงบ กล่าวยิ้มๆ ว่า “จื่อชวน เสาจิ่นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เจ้าก็ทำเสมือนว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้าเถิด อยากกินหรืออยากดื่มอะไร ก็ให้บอกเสาจิ่น”
แน่นอนว่าเฉิงฉือไม่อาจยืนกรานปฏิเสธต่อไปได้อีก
หากเขายังยืนกรานต่อไป มีแต่จะทำให้เสาจิ่นเสียหน้าเท่านั้น
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ เดินตามโจวเสาจิ่นออกไปข้างนอก
ชุนหว่านและอีกหลายคนตามมาด้วย เว้นระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกล
เฉิงฉือมีแววตาสงสัยเล็กน้อย ถามโจวเสาจิ่นว่า “เหตุใดถึงไม่เห็นซางมามา”
โจวเสาจิ่นจึงหันไปส่งสายตาให้เฉิงฉือครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือไม่ถามอะไรอีก ตามโจวเสาจิ่นไปที่เรือนรับรองแขก
แขกที่เข้ามาพักอยู่ในจวนที่ว่าการหยาเหมินของเจ้าเมืองได้นั้นล้วนเป็นคนที่ทั้งร่ำรวยและมีระดับ จึงเป็นธรรมดาที่เรือนรับรองแขกจะประดับตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงามหรูหราและไม่ขาดความประณีต
แต่สิ่งเหล่านี้มิได้ทำให้เฉิงฉือต้องเหลียวมองเพิ่มอีกสักครั้งเลยแม้แต่น้อย
เขาถามโจวเสาจิ่นว่า “ซางมามาไปไหน”
ซางมามาคือคนที่เขาจัดเตรียมมาให้อยู่คุ้มกันโจวเสาจิ่น ด้วยเหตุนี้ก่อนซางมามาออกเดินทางเขายังเปลี่ยนวิสัยของตัวเองย้ำกำชับซางมามาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้โจวเสาจิ่นห่างจากสายตาของนางเป็นอันขาด ปรากฏว่านางกลับปล่อยให้โจวเสาจิ่นกลับบ้านมาเพียงลำพัง
โจวเสาจิ่นกำลังจะพูดเรื่องนี้กับเขาพอดี ได้ยินเช่นนั้นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เฉิงฉือฟัง
เฉิงฉือมองโจวเสาจิ่นอย่างตั้งอกตั้งใจ กว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่เอ่ยอะไรออกมา
เรื่องของเฉิงสวี่เป็นมาอย่างไรนั้น แค่มองเขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
แต่หากตามสืบเรื่องนี้อย่างจริงจังต่อไป ท่านผู้นำตระกูลจวนรองก็จะออกหน้ามาพูดประโยคหนึ่งว่า เด็กๆ ไม่รู้ความ เลยเล่นแกล้งกันในหมู่พี่น้อง ก็จะทำให้เรื่องนี้จบสิ้นกันไป
เพราะฉะนั้นเขาถึงไม่สะดวกจะออกหน้า
ควรจะให้เฉิงสวี่มาอธิบายความขุ่นเคืองใจระหว่างพวกเขาเอาเอง
ถ้าหากเฉิงสวี่ไม่มีปัญญามาอธิบาย ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเฉิงสวี่ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นทายาทสืบทอดตระกูลของตระกูลเฉิง นอกจากนี้ต่อให้เขาฝืนเป็นต่อไป ก็จะเหมือนกับนายท่านใหญ่ของตระกูลเลี่ยว เนื่องจากไม่อาจโน้มน้าวใจคนส่วนใหญ่ได้จะทำให้ตระกูลเฉิงแตกแยกออกเป็นส่วนๆ บวกกับที่เขาเองก็มีแผนการอื่นอยู่ เรื่องนี้จึงปล่อยให้ลากยาวมาเช่นนี้
แต่ทางด้านของเสาจิ่นกลับไม่อาจปล่อยให้ล่าช้าได้
หลังจากที่เขาจัดการธุระจนเสร็จไปไม่น้อยแล้ว เรื่องแรกที่เขาต้องทำก็คือมาเยี่ยมเยียนเพื่ออธิบายเรื่องนี้ให้โจวเจิ้นฟังด้วยตัวเอง
โจวเจิ้นเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจกว้างขวางผู้หนึ่ง ไม่เพียงเข้าใจสถานการณ์ของจวนหลักเท่านั้น ยังให้อภัยเฉิงสวี่อย่างเอื้ออารีอีกด้วย แน่นอนว่านี่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของโจวเสาจิ่น และโจวเจิ้นไม่อยากให้โจวเสาจิ่นถูกคนครหาก็มีส่วนเป็นอย่างมากเช่นกัน
ไม่คิดว่าตอนเดินออกประตูมาจะได้พบกับโจวเสาจิ่นพอดี…
บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเองก็อยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าโจวเสาจิ่นมีชีวิตที่ดีหรือไม่
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่ถ่วงเวลาคุยกับโจวเจิ้นกว่าครึ่งค่อนวันเช่นนั้น
ตอนนี้ได้เห็นว่านางมีชีวิตที่ดี ทว่าในใจกลับรู้สึกพอใจครึ่งหนึ่งเศร้าใจครึ่งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นมิใช่เด็กสาวที่มาอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่นคนนั้นอีกต่อไปแล้ว นางมีคนในครอบครัวของตัวเอง และก็อาจจะมีชีวิตและมิตรสหายของตัวเองแล้ว สุดท้ายซอยจิ่วหรูก็จะเป็นเพียงความทรงจำของนางเท่านั้น กระทั่งอาจจะกลายเป็นความทรงจำอันเลวร้ายของนางจากสิ่งที่เฉิงสวี่กระทำก็เป็นได้
เขาถามโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูใหญ่ของจวนเหลียงกั๋วกงเองก็แต่งงานมาที่นี่แล้ว เจ้าได้พบนางบ้างหรือยัง”
เนื่องจากเรื่องงานแต่งของจูจูมีเรื่องจุกจิกของกรมพิธีการค่อนข้างมาก งานแต่งจึงล่าช้าไปหนึ่งเดือน
หากเสาจิ่นอยู่เมืองเป่าติ้งแล้วมีสหายสนิทอย่างจูจูให้ได้ไปมาหาสู่และพูดคุยเรื่องส่วนตัวด้วยสักคนหนึ่ง ชีวิตในแต่ละวันก็คงจะไม่น่าเบื่อหน่ายนัก
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับร้อนใจจนกระทืบเท้าไม่หยุด เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจว่า “ท่านน้าฉือ พวกเรากำลังพูดเรื่องเซียวเจิ้นไห่อยู่ เหตุใดท่านถึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเจ้าคะ”
ท่าทางนั่น ดูราวกับลูกแมวที่ถูกเหยียบหางก็ไม่ปาน
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าออกมา เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างไร แล้วเซียวเจิ้นไห่ทำไมหรือ ตอนนี้เขาก็เป็นเพียงสุนัขเร่ร่อนตัวหนึ่งเท่านั้น มีอะไรให้ข้าต้องกังวลด้วย มาที่เรื่องของเจ้า เหตุใดถึงไม่ไปเยี่ยมเยียนคุณหนูใหญ่จูบ้าง”
ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของเซียวเจิ้นไห่จริงๆ หรือ
แต่ตอนอยู่ที่สะพานเจียงตง ท่าทางของท่านน้าฉือที่มีต่อเซียวเจิ้นไห่นั้นดูเหมือนจะต้องอดทนอดกลั้นอย่างมากก็ไม่ปาน…
โจวเสาจิ่นมองเฉิงฉือด้วยความเคลือบแคลงสงสัย อยากจะมองหาความผิดปกติบางอย่างจากใบหน้าของเขา
เฉิงฉือกล่าว “ข้าจะหลอกเจ้าหรืออย่างไร”
“แน่นอนว่าท่านไม่หลอกข้า” โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าวเสียงเบา “แต่ท่านไม่บอกข้า”
นี่ก็เป็นเรื่องจริง!
เฉิงฉือหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่
เขาไม่ได้เล่าเรื่องของตัวเองให้โจวเสาจิ่นฟัง แต่ก็ไม่ได้หลบเลี่ยงนาง นางพอจะรู้เรื่องอยู่บ้างบางส่วน เขาเองก็ทราบดี แต่นางรู้แล้วกลับอดทนอดกลั้นไม่เอามาถามเขามาโดยตลอด ยังช่วยเขาปกปิดผู้อื่น และแอบส่งข้อมูลมาให้เขาอย่างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้างอีกด้วย นี่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้างเล็กน้อย
สายตาที่เขาใช้มองนางจึงอบอุ่นมากยิ่งขึ้น กล่าวขึ้นว่า “เรื่องของเซียวเจิ้นไห่นั้น เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลจริงๆ อีกไม่นานข้าก็จะจัดการเสร็จแล้ว หากเจ้าไม่เชื่อ รอซางมามากลับมาแล้วถามนางดูก็ได้”
โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าว “มิใช่ว่าข้าไม่เชื่อ…”
แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้นี่นา!
สีหน้าของโจวเสาจิ่นดูหดหู่เล็กน้อย แต่ไม่นานก็ยิ้มออกมา กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านน้าฉือก็อยู่ที่บ้านของพวกข้าสักสองสามวันดีหรือไม่ รอให้ท่านจัดการเรื่องของเซียวเจิ้นไห่เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้ง”
เด็กน้อยคงคิดจะให้ตนใช้ประโยชน์จากอำนาจของโจวเจิ้นกระมัง
มองร่างของนางที่บอบบางประหนึ่งกิ่งหลิว ที่คล้ายกับว่าหากถูกลมพัดก็คงจะปลิวไปได้นั้นแล้ว ในใจของเฉิงฉือพลันเปลี่ยนเป็นรู้สึกสลับซับซ้อนเป็นอย่างมากขึ้นมาอย่างกะทันหัน
นับตั้งแต่ที่เขามาดูแลกิจการของตระกูลเฉิงเป็นต้นมา นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีคนคิดอยากจะปกป้องเขา
นอกจากนี้ยังเป็นเด็กน้อยอ่อนแอผู้หนึ่งที่มือไม่มีแรงพอจะจับไก่เลยด้วยซ้ำ
เขาดูอ่อนแอขนาดนั้นเชียวหรือ
หรืออาจจะกล่าวว่า ในใจของนาง เขามีความสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ
…………………………………………………………….