ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 362 ไม่พอใจ
ถึงแม้ฮูหยินหวงจะกล่าวเช่นนี้ หลี่ซื่อยังคงกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าต้องไปถามคุณหนูรองของพวกข้าก่อน นางเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ปกติไม่ค่อยออกไปไหน”
พอฮูหยินหวงได้ยินว่าโจวเสาจิ่นเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ก็ยิ่งพึงพอใจมากขึ้น กล่าวว่า “ข้าจะไปพูดกับคุณหนูรองเอง”
หลี่มามาที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วก็ลอบสบถเย็นอยู่ในใจ
เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใดกัน
พูดอย่างกับว่าตัวเองมีหน้ามีตามากอย่างไรอย่างนั้น
หลี่ซื่อเองก็รู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อย ทว่าใบหน้ากลับมิได้แสดงอาการอะไร กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากท่านช่วยพูดเกลี้ยกล่อมคุณหนูรองของพวกข้าได้เช่นนั้นก็ดียิ่งแล้ว”
ฮูหยินหวงยิ้มตาหยีเดินไปที่ห้องข้างของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นกำลังลากตัวชุนหว่านและคนอื่นๆ มาช่วยกันทำรองเท้าและถุงเท้าให้บุตรของโจวชูจิ่นที่ยังไม่คลอดกันอยู่
เห็นฮูหยินหวงมาหา นางจึงไปพบแขกที่โถงรับแขก
ฮูหยินหวงเข้าประตูมาก็ถูกกระถางเผิงจิ่งต้นเซียนท้อทำจากหยกล้ำค่าที่วางประดับอยู่บนชั้นวางสมบัติล้ำค่าในห้องโถงดึงดูดสายตาไปจนแน่นิ่ง โจวเสาจิ่นเปล่งเสียงเรียกนางสองสามครั้ง นางถึงได้สติคืนกลับมา กล่าวขึ้นอย่างตะลึงงันว่า “นี่ต้องมีราคามากเพียงใดกัน ผลท้อนี้คงแกะสลักมาจากหินโมรากระมัง สวรรค์! เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นหินโมราชิ้นใหญ่ถึงเพียงนี้! ส่วนใบไม้นี้คงเป็นหยกมรกตกระมัง ข้าดูใบไม้นี้แล้ว แม้แต่ลายเส้นของใบก็แกะสลักออกมาได้อย่างชัดเจนยิ่ง” ขณะที่นางกล่าว ก็ลูบที่ลำต้นอีกครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็นทองชุบหรือว่าทองแท้หรือ ข้าดูแล้วเหมือนจะเป็นทองแท้กระมัง ท่านวางมันเอาไว้ตรงนี้อย่างไม่ระมัดระวังเช่นนี้ หากมีคนดึงใบออกไปจะทำอย่างไร คุณหนูรองหละหลวมเกินไปแล้ว!”
นี่เป็นของที่โจวเจิ้นมอบให้นางตอนที่นางเพิ่งมาถึงใหม่ๆ
นางมองกระถางเผิ่งจิ่งเซียนท้อนั้นแล้วยังเคยกล่าวเย้าแหย่บิดาว่า นี่เป็นของที่คนนำมามอบให้ท่านในวันเกิดของท่าน แล้วท่านส่งต่อมาให้ข้ากระมัง สีสันฉูดฉาด แล้วก็ไร้รสนิยมเกินไปด้วย
ตอนนั้นโจวเจิ้นยังหัวเราะอย่างขบขัน เอ่ยว่า จะดีร้ายก็ยังมีราคาไม่น้อย หากเจ้าไม่ชอบ ก็เก็บเอาไว้มอบให้ผู้อื่นหรือไม่ก็ให้คนไปทำมาใหม่อีกชิ้นหนึ่ง
นางไม่มีเวลามาสนใจกระถางเผิงจิ่งกระถางนี้มาโดยตลอด จึงวางเอาไว้บนชั้นวางไปก่อน
ปี้เถากับจี๋เสียงที่รับใช้อยู่ข้างๆ แลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้
โจวเสาจิ่นกลับเพียงเม้มปากกลั้นยิ้ม เชิญฮูหยินหวงไปนั่งที่เก้าอี้มีเท้าแขนที่อยู่ข้างๆ กล่าวขึ้นว่า “หิมะตกหนักขนาดนี้ ท่านมาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ ฮูหยินของพวกข้าอยู่ที่ห้องบัญชีข้างๆ ท่านมิได้พบนางหรือ”
ระหว่างที่กำลังกล่าวนั้น เสี่ยวถานก็ยกน้ำชาเข้ามา
ฮูหยินหวงกลับยังคงจับกระถางเผิงจิ่งหยกกระถางนั้นไม่ปล่อย กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองหาอะไรมาปิดมันเอาไว้สักหน่อยเถิด ข้าเห็นแล้วเป็นกังวลแทนท่านยิ่งนัก”
เสี่ยวถานไม่ได้ฟังเรื่องราวก่อนหน้านี้ ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็มองฮูหยินหวงอย่างประหลาดใจไปครั้งหนึ่ง
ฮูหยินหวงเห็นมีคนฟังสิ่งที่นางพูด จึงยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้น ชี้ไปที่กระถางหยกกระถางนั้นแล้วก็บอกเสี่ยวถานว่า “เจ้ารีบไปบอกฮูหยินของพวกเจ้าสักหน่อย มีบ้านไหนวางกระถางหยกเช่นนี้บ้าง คุณหนูของพวกเจ้าไม่ว่าอะไร พวกเจ้าที่รับใช้อยู่ข้างกายเหล่านี้ก็จะไม่สนใจไปด้วยได้อย่างไร”
หรือคิดจะทำตัวเป็นตาอยู่มาฉกฉวยปลาไป หาโอกาสดึงผลเซียนท้อสักสองลูกเอาออกไปขายอย่างนั้นหรือ
โชคดีที่นางเองก็ถือได้ว่าเป็นคนรู้จักการเข้าสังคม รู้ว่าถึงแม้คำพูดนี้เมื่อกล่าวออกไปแล้วจะได้ประจบประแจงโจวเสาจิ่น ทว่าก็จะทำให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ในห้องขุ่นเคืองใจได้ จึงฝืนกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากนั้นลงไปอย่างยากเย็น
เสี่ยวถานได้รับภัยร้ายโดยไม่รู้ตัว มองไปที่กระถางหยกครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “นี่มีอะไรให้ต้องปิดเอาไว้หรือเจ้าคะ ล้วนเป็นหยกทั้งชิ้น หยิบออกไปล้างบ่อยๆ ก็สะอาดเอี่ยมอ่องแล้ว มิใช่ผ้าไหมเสียหน่อยที่โดนน้ำไม่ได้ เพียงแต่ว่าช่วงนี้หิมะตกไม่หยุด รออีกสักสองสามวันหากอากาศยังไม่อบอุ่นขึ้น ก็ถึงเวลาปัดกวาดเช็ดถูฝุ่นแล้ว ถึงเวลานั้นค่อยนำออกมาทำความสะอาดพร้อมกันก็ได้แล้วเจ้าค่ะ” ขณะที่กล่าว ยังกลัวว่าโจวเสาจิ่นจะตำหนิ จึงก้าวออกไปดูกระถางหยกนั้นอีกเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “สาวใช้เด็กเช็ดถูทุกวัน ยังสะอาดเอี่ยมอ่องดีเจ้าค่ะ”
นี่ช่างผิดประเด็นดั่งหัววัวไม่เข้ากันกับปากม้าจริงๆ
ฮูหยินหวงกล่าวขึ้นว่า “ข้ากลัวว่าวางเช่นนี้แล้วใบมันจะตกลงไปต่างหาก…ซึ่งคงจะไม่ดีแน่”
เสี่ยวถานกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นเพียงหยกธรรมดาเท่านั้น ตกก็ตกไปเถิด ค่อยประกอบใหม่ก็ได้แล้วเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงนั่น แม้แต่คุณหนูหรือบุตรสาวของตระกูลทั่วไปยังไม่กล้าหาญขนาดนี้!
ฮูหยินหวงอดมองไปที่โจวเสาจิ่นไม่ได้
มิได้เป็นทั้งญาติหรือสหายสนิท โจวเสาจิ่นคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้กับนาง หากนางบอกว่าไม่เป็นไร ผู้อื่นอาจจะคิดว่านางใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้!
ก็เหมือนกับที่ฮูหยินหวงรู้สึกกับเสี่ยวถานในตอนนี้
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีเสี่ยวถานเป็นคนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ตอนที่ข้าเดินทางกลับมานั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่วางใจ จึงให้นางตามข้ากลับมาด้วย”
ความหมายก็คือจะบอกว่าเสี่ยวถานเป็นสาวใช้ของซอยจิ่วหรู จึงได้รู้ได้เห็นมามากกว่าสาวใช้ทั่วไป
ฮูหยินหวงพลันเข้าใจขึ้นมาในทันที รอยยิ้มจึงกระตือรือร้นขึ้นมาหลายส่วนในชั่วพริบตา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถึงว่ากิริยามารยาทของแม่นางเสี่ยวถานถึงได้ดูชำนาญมากขนาดนี้! นี่ช่างเข้ากับประโยคที่ว่า ‘เป็นคนเฝ้าประตูของอัครเสนาบดีก็เสมือนกับเป็นขุนนางขั้นเจ็ด’ ประโยคนั้นจริงๆ”
เสี่ยวถานหันไปยิ้มให้ฮูหยินหวงอย่างสุภาพ ถอยออกไปอย่างเบามือเบาเท้า
ฮูหยินหวงมองแล้วก็กล่าวอย่างปลาบปลื้มไม่หยุดว่า “คนที่มาจากตระกูลชั้นสูงนี้ช่างแตกต่างจริงๆ ท่านดูท่าทางการเดินนี้ของนาง ไม่มีเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว…”
โจวเสาจิ่นรู้สึกรำคาญนางเล็กน้อย
แต่เนื่องจากเติบโตมาอย่างคนมีการศึกษาจึงยังคงอดทนฟังนางพูดจนจบถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินหวงมาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินหวงถึงได้นึกวัตถุประสงค์การมาที่นี่ของตัวเองขึ้นมาได้ รีบกล่าวขึ้นว่า “ข้ากับฮูหยินถานและอีกหลายคนอยากจะใช้ช่วงเวลาที่ยังไม่ค่อยยุ่งนี้ไปจุดธูปไหว้พระที่วัดต้าฉือเก๋อ อยากมาชวนฮูหยินหลี่และคุณหนูรองไปด้วยกัน”
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ควรจะไปพูดกับฮูหยินถึงจะถูก”
ฮูหยินหวงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินของพวกท่านนั้นอยากไป แต่กลัวว่าถึงเวลานั้นคุณหนูรองจะไม่ว่าง ข้าเห็นว่าไม่ได้เจอคุณหนูรองมาหลายวันแล้ว จึงอาสามาสอบถามคุณหนูรองด้วยตัวเอง รวมถึงอยากมานั่งเล่นและพูดคุยกับคุณหนูรองที่เรือนด้วย”
โจวเสาจิ่นมิได้สงสัยเป็นอย่างอื่น
ข้างกายของนางมีคนระแวดระวังอย่างชุนหว่าน มีคนเก่งกาจอย่างซางมามา มีคนฉลาดไหวพริบดีอย่างฝานฉี อีกทั้งยังมีโจวเจิ้นหนุนหลังอยู่ ไม่ว่านางจะไปที่ไหนก็ไม่กลัวทั้งนั้น
“รอให้ข้าไปถามฮูหยินก่อนแล้วค่อยให้คำตอบท่านก็แล้วกันเจ้าค่ะ!” ลมและหิมะแรงขนาดนี้ โจวเสาจิ่นไม่คิดอยากจะวิ่งออกไปรับลมข้างนอก แต่ถ้าหลี่ซื่ออยากให้นางไปเป็นเพื่อนด้วย นางก็ไปได้
คำถามนี้หมุนวนกลับไปที่หลี่ซื่ออีกครั้ง
ฮูหยินหวงกลอกลูกตา คุยกับโจวเสาจิ่นอีกสองสามประโยค จากนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นกล่าวอำลา
โจวเสาจิ่นไม่ได้เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ
ทว่าฮูหยินหวงกลับไปบอกหลี่ซื่อว่า “คุณหนูรองตอบรับแล้ว แต่กลัวว่าท่านจะไม่ไป…”
หลี่ซื่อไหนเลยจะคิดถึงความผิดปกติในเรื่องนี้ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านกำหนดเวลาได้แล้วก็ให้บ่าวรับใช้มาแจ้งข่าวสักคำก็แล้วกัน”
ฮูหยินหวงเดินจากไปอย่างเบิกบาน
วันต่อมาก็ให้ป้ารับใช้คนสนิทมาแจ้งว่า กำหนดวันไปวัดต้าฉือเก๋อเป็นวันพรุ่งนี้เช้า
หลี่ซื่อมองหิมะที่สูงถึงเข่าแล้วอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
หลี่มามาจึงกล่าวขึ้นว่า “เปลี่ยนเป็นวันอื่นดีหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่ซื่อครุ่นคิด สุดท้ายยังคงกล่าวขึ้นว่า “ช่างมันเถิด! หาได้ยากที่คุณหนูรองจะมีอารมณ์อยากออกไป พวกเราก็ไปเป็นเพื่อนนางสักครั้งก็แล้วกัน หิมะหนักขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นสิ่งที่คุณหนูรองปรารถนา อยากจะไปชมความงามของหิมะก็เป็นได้!”
“ก็คุณหนูรองเป็นคนรู้หนังสือนี่เจ้าคะ!” หลี่มามากล่าวยิ้มๆ “คนรู้หนังสือนั้น เวลาหิมะตก ล้วนแล้วแต่อยากออกไปชมความงามของหิมะกันทั้งนั้นมิใช่หรือ”
หลี่ซื่อหัวเราะร่าออกมา ให้สาวใช้หาเสื้อคลุมหนังมาให้ เตรียมตัวออกไปข้างนอกกับโจวเสาจิ่น
เป็นโจวเจิ้นที่ถามออกมาประโยคหนึ่งว่า “หิมะตกหนักเกินไปกระมัง”
หลี่ซื่อเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เวลาฝนตกหนักท่านยังอยากออกไปชมความงามของแม่น้ำลำธารเลยนี่เจ้าคะ!”
โจวเจิ้นหัวเราะ ส่งหลี่ซื่อกับโจวเสาจิ่นออกจากประตูไปด้วยตัวเอง
เฉิงฉือเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ ออกไปทำอะไร”
ด้านหนึ่งไหวซานคลี่จดหมายที่เพิ่งได้รับมาจากนกพิราบส่งสารเมื่อครู่นี้ให้เรียบไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็กล่าวไปด้วยว่า “เห็นว่าฮูหยินหลายท่านของที่ว่าการหยาเหมินนัดไปจุดธูปที่วัดต้าฉือเก๋อด้วยกันขอรับ”
เฉิงฉือร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่ง จากนั้นถามขึ้นว่า “ซางมามาตามไปด้วยหรือไม่”
ซางมามายังจะกล้าไม่ตามไปด้วยอีกหรือ
“ตามไปด้วยแล้วขอรับ” ไหวซานกล่าว “เสี่ยวถานเองก็ตามไปด้วยเช่นกัน”
เฉิงฉือพยักหน้า พลางกล่าว “เช่นนั้นก็ให้นางดูแลคุณหนูรองด้วย อย่าให้หนาวจนป่วย”
ไหวซานรับคำแล้วออกไปส่งข่าว
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาเพิ่งจะกินมื้อเที่ยงกัน โจวเสาจิ่นกับหลี่ซื่อก็กลับมาแล้ว
เฉิงฉือย่นหัวคิ้วขึ้นเล็กน้อย น้อยจนแทบจะไม่เห็น สั่งการไหวซานว่า “เจ้าไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ไหวซานออกไปเกือบจะครึ่งชั่วยามถึงได้กลับเข้ามา เดินมายังเบื้องหน้าเฉิงฉืออย่างระมัดระวัง กระซิบรายงานว่า “เห็นว่าตอนไปจุดธูปที่วัดต้าฉือเก๋อนั้นได้พบกับคุณชายของใต้เท้าเหมียวและคนอีกกลุ่มหนึ่ง คุณชายของใต้เท้าเหมียวมองคุณหนูรองไม่วางตา ฮูหยินทั้งหลายเดินไปที่ไหนเขาก็ตามไปด้วยทุกที่ หากมิใช่เพราะได้ซิ่วไฉแซ่ฉางผู้หนึ่งออกหน้าลากตัวคุณชายของใต้เท้าเหมียวออกไป เกรงว่าคุณชายของใต้เท้าเหมียวผู้นั้นคงจะฉกฉวยโอกาสเข้าใกล้คุณหนูรองไปแล้ว คุณหนูรองรู้สึกไม่สบายใจ จึงเร่งกลับมาก่อนพร้อมกับหลี่ซื่อขอรับ”
ผ่านไปครู่ใหญ่แล้วแต่มือที่จับตะเกียบเอาไว้ของเฉิงฉือก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
หลี่ซื่อกลับดวงตาแดงก่ำ ทั้งร้อนใจและกรุ่นโกรธขณะเอ่ยกับโจวเจิ้นว่า “…ท่านมิได้เห็น หากมิใช่เพราะฮูหยินหวงและคนอื่นๆ ต่างรู้จักคุณชายเหมียวผู้นั้นล่ะก็ ข้ายังคิดว่าเป็นคนเสเพลคนหนึ่งที่โผล่ออกมาจากที่ไหนสักแห่งเสียอีก ว่ากล่าวเขาไปหลายประโยคเขาล้วนไม่สนใจ ขวางก็ขวางเอาไว้มิได้ ทำให้คุณหนูรองตกใจจนหน้าซีดเผือดไปหมด ได้แต่หลบอยู่ด้านหลังของซางมามา หากมิใช่เพราะได้ฉางซิ่วไฉออกหน้ามาขวางเอาไว้ คุณชายเหมียวผู้นั้นคงจะกระโจนเข้ามาถึงเบื้องหน้าของคุณหนูรองไปแล้ว ข้าได้ยินฮูหยินหวงกล่าวว่า คุณชายเหมียวผู้นั้นเป็นคนไม่เรียนหนังสือไร้ความสามารถผู้หนึ่ง ยังไม่แต่งงาน ตอนนี้ข้ากลัวยิ่งนักว่าตระกูลเหมียวจะมาพูดเรื่องทาบทาม ถึงเวลานั้นพวกเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ ข้าได้ยินฮูหยินถานกล่าวว่า ใต้เท้าเหมียวผู้นั้นกับเจ้ากรมขุนนางหยวนเหวยชาง ที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งเหวินยวน ของราชสำนักคนปัจจุบันเป็นสหายร่วมการสอบปีเดียวกัน นายท่าน ท่านต้องคิดหาวิธีให้ได้นะเจ้าคะ ไม่อาจปล่อยให้คุณหนูรองแต่งออกไปเช่นนี้ได้! คุณชายเหมียวผู้นั้นแม้แต่ข้าก็ยังทนมองไม่ได้เลยเจ้าค่ะ!”
โจวเจิ้นได้ยินแล้วก็โกรธจนหน้าแดงก่ำ ยิ้มเย็นพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถิด! เสาจิ่นเป็นแก้วตาดวงใจของข้า ข้าไม่ให้นางแต่งออกไปอย่างส่งเดชแน่นอน”
หลี่ซื่อได้ยินแล้วก็ยังไม่หายโกรธ กล่าวขึ้นว่า “คุณชายเหมียวผู้นั้นดูถูกผู้อื่นเกินไปแล้ว ข้าบอกไปแล้วว่าพวกข้าเป็นใคร แต่เขาก็ยังไม่สำรวมกิริยาเลยแม้แต่นิดเดียว…”
โจวเจิ้นพยักหน้า ในใจกรุ่นโกรธยิ่งนัก
บุตรสาวอันเป็นที่รักของตัวเอง ไปพบเจอเรื่องเช่นนี้ภายใต้พื้นที่การดูแลของตัวเอง ยังมิใช่การตบหน้าเขาอีกหรือ
โจวเจิ้นชิงลงมือก่อน เมื่อกลับถึงห้องหนังสือก็เขียนจดหมายไปสอบถามตระกูลเหมียวหนึ่งฉบับให้ผู้ช่วยส่วนตัวนำไปส่งที่จวนเหมียว
***
โจวเสาจิ่นกลับยืนมองสำรวจใบหน้าของตัวเองอย่างละเอียดอยู่หน้ากระจก
ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ ล้วนเป็นใบหน้านี้ที่นำความหายนะมาให้
นางเข้าใจว่าเมื่อตนออกมาจากตระกูลเฉิงแล้วจะเปลี่ยนชะตาชีวิตได้ แต่ความจริงแล้วด้วยใบหน้านี้ ไม่ว่านางจะเดินทางไปที่ไหนเกรงว่าล้วนไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขได้
บิดารักนาง
นางจึงไม่กังวลใจว่าบิดาจะจับนางแต่งกับคนที่พึ่งพาอะไรไม่ได้เลยผู้นั้น
แต่ต่อจากนี้ไปนางควรจะเดินทางเส้นไหนดีนั้น นางกลับมองไม่เห็นอนาคตเลย
ชุนหว่านที่อยู่ข้างๆ แลกเปลี่ยนสายตากับเสี่ยวถานครั้งหนึ่งอย่างกระวนกระวายใจ
เสี่ยวถานส่ายศีรษะเบาๆ
ชุนหว่านลอบถอนหายใจอยู่ในใจครั้งหนึ่ง
คุณหนูรองจะต้องรู้สึกเสียใจมากอย่างแน่นอน
ได้พบกับคนเหลาะแหละหยิบหย่งผู้หนึ่งอย่างไร้สาเหตุ คนที่ทราบเรื่องจะคิดว่าคุณหนูรองได้รับความอยุติธรรมมา คนที่ไม่ทราบเรื่องอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคุณหนูรองไปยั่วยุเขา
ได้ยินว่าบิดาของคุณชายเหมียวผู้นั้นกับใต้เท้าหยวนของราชสำนักปัจจุบันเป็นสหายร่วมการสอบปีเดียวกัน…ไม่รู้ว่านายท่านจะทำอย่างไร
นางรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องนำไปบอกนายท่านสี่ฉือสักครั้ง
ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ตอนที่คุณชายใหญ่สวี่ถูกจี๋อิ๋งที่คุณหนูรองเรียกออกมาทุบตีไปหนึ่งคำรบ นายท่านสี่ยังไม่ว่าอะไรเลย…นางรู้สึกอยู่รางๆ ว่า ถ้าหากเฉิงฉือรู้เรื่องนี้ จะต้องช่วยเหลือโจวเสาจิ่นได้อย่างแน่นอน
……………………………………………………………..