ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 363 ไม่ยอมปล่อยผ่าน
ชุนหว่านกระซิบที่ข้างหูของเสี่ยวถานเบาๆ ว่า “ข้าจะไปหานายท่านสี่!”
เสี่ยวถานพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่าต้องไปหานายท่านสี่แล้ว!
ตระกูลหยวนแล้วอย่างไร ก็เพียงบุตรชายของสหายร่วมปีการสอบเดียวกันที่เกษียณอายุแล้วผู้หนึ่งเท่านั้น ขุนนางใหญ่หยวนจะไม่ไว้หน้าตระกูลเฉิงเชียวหรือ ถ้าหากให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่อง เกรงว่าคงจะโกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรดีแล้ว!
แต่อย่างไรก็ตาม หลี่ซื่อผู้นั้นก็เหมือนกัน เหตุใดถึงให้คนอย่างฮูหยินหวงประเภทนั้นมาเดินวุ่นวายอยู่ในเรือนชั้นในได้เล่า
นางเป็นแม่คนแล้วแท้ๆ
ด้วยเห็นแก่หน้าของนางคุณหนูรองถึงได้คบค้าสมาคมกับฮูหยินหวงผู้นั้น
เมื่อวานฮูหยินหวงยังตำหนิพวกนางที่ไม่หาอะไรมาปิดกระถางหยกกระถางนั้นเอาไว้อีกด้วย
พวกนางมิใช่คนจากตระกูลเล็กยากจนข้นแค้นอะไร ของดีก็ต้องนำออกมาวางประดับเพื่ออวดโฉม เพื่อเป็นหน้าเป็นตา
ของของคุณหนูรองนั้นหากจะนำออกมาวางประดับทั้งหมด พวกนางยังต้องเป็นกังวลเรื่องหัวขโมยอยู่ทุกวัน!
เสี่ยวถานคิดแล้วก็รู้สึกขุ่นเคืองใจ
คุณหนูรองประหนึ่งไข่มุกประหนึ่งหยกเช่นนี้ จะผ่านช่วงเวลาเช่นนี้ไปได้อย่างไร
นางจะต้องหารือกับซางมามา ต้องคิดหาวิธีทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องให้ได้ แล้วรับตัวคุณหนูรองกลับไป อย่างไรเสียต่อให้คุณชายใหญ่สวี่จะอยู่ที่บ้านต่อไปอีก แต่ช้าเร็วก็ต้องไปเรียนหนังสือกับนายท่านใหญ่จิงที่จิงเฉิงอยู่ดี ถึงเวลานั้นคุณหนูรองก็กลับไปที่เรือนหานปี้ซานได้แล้ว
สถานที่เช่นนี้ โชคดีขนาดไหนแล้วที่คุณหนูรองอยู่ได้
เสี่ยวถานคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย ส่วนชุนหว่านไปถึงหน้าประตูของเรือนรับรองแขกแล้ว สาวใช้เด็กเพิ่งจะเลิกผ้าม่านขึ้นกำลังจะเข้าไปรายงาน ก็ได้ยินเสียง ปัง เสียงหนึ่งดังขึ้นจากในเรือน ชุนหว่านมองเข้าไปผ่านช่องว่างที่ผ้าม่านถูกเลิกขึ้นนั้น เห็นเพียงตะเกียบของเฉิงฉือถูกตบลงบนโต๊ะ เขาเอ่ยอย่างดุดันว่า “หลี่ซื่อผู้นั้นดูแลจัดการบ้านอย่างไร ไม่มีคนรับใช้อยู่ข้างกายบ้างหรือ ยังให้คนแซ่หวงผู้นั้นมาวุ่นวายในบ้านได้อีก…”
สาวใช้เด็กได้ยินแล้วก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด ปล่อยผ้าม่านลง ตัดขาดเสียงของเฉิงฉือไปด้วย สาวใช้เด็กกล่าวเจือเสียงสะอื้นไห้ว่า “พี่สาวชุนหว่าน ข้า…ข้าไม่กล้าเข้าไปแล้วเจ้าค่ะ…”
ชุนหว่านรีบเอ่ยปลอบใจนางเสียงนุ่มหลายประโยค กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าไปทำธุระของเจ้าเถิด ข้าจะรออยู่ตรงนี้”
สาวใช้เด็กวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วดุจควัน นำเอาคำพูดของเฉิงฉือไปบอกแม่บุญธรรมของตัวเอง
แม่บุญธรรมผู้นั้นรีบเอาไปบอกหลี่มามา
หลี่ซื่อได้ยินแล้วก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ฟุบตัวลงกับโต๊ะกระจกร้องไห้ออกมา “ข้ารู้ว่าฮูหยินหวงผู้นั้นต้องการประจบประแจงคุณหนูรอง จะไปคิดว่านางจะใจกล้าถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ถึงกับกล้าบิดเบือนคำของทั้งสองฝ่าย ตอนที่ข้าได้ยินคุณหนูรองพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาขณะอยู่ระหว่างทางนั้นก็รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก เพียงแต่ออกจากบ้านมาแล้ว คงไม่อาจกลับไปอย่างกะทันหันได้กระมัง ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าเองก็รู้สึกอับอายยิ่งนัก เมื่อครู่ยังไม่กล้าพูดกับนายท่าน ไม่โทษที่นายท่านสี่ฉือผู้นั้นจะรู้สึกว่าข้าเป็นภรรยาที่โง่เขลาไม่ทันคน หากเขาไปสอบถามไล่เลียงกับนายท่านขึ้นมา ข้าคงไม่มีหน้ามีชีวิตอยู่ต่อแล้ว!”
หลี่มามาได้ยินแล้วก็กระวนกระวายขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “วันปีใหม่เช่นนี้ ฮูหยินพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน คุณหนูสามจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
หลี่ซื่อถึงได้ค่อยๆ หยุดร้องไห้ลง
หลี่มามาพูดเกลี้ยกล่อมนางอีกครู่ใหญ่
เฉิงฉือเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องอย่างหัวเสียไปหลายรอบ ถึงได้กดเก็บความกรุ่นโกรธเอาไว้ภายในใจได้ สั่งการไหวซานว่า “ให้สาวใช้ผู้นั้นเข้ามา”
ไหวซานหลุบตาก้มหน้าลงพลางเอ่ยขึ้นว่า “สาวใช้ผู้นั้นกลับไปแล้วขอรับ”
พอเฉิงฉือได้ยินความกรุ่นโกรธก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยขึ้นว่า “แล้วนางมาทำไม”
ไหวซานอยากจะกล่าวยิ่งนักว่า ที่นางมามากกว่าครึ่งก็มาเพื่อฟ้องท่านแทนคุณหนูรองตระกูลโจว เพียงแต่เห็นว่าท่านทราบเรื่องทุกอย่างแล้ว ถึงได้จากไปอย่างเงียบๆ แม้แต่ข้ายังได้ยินว่าสาวใช้ผู้นั้นเดินไปแล้ว ท่านที่หูไวตาดีกว่าข้ามาโดยตลอด จะไม่ได้ยินได้อย่างไร
แต่คำพูดนี้เขาไม่กล้าเอ่ยออกมา
เขามองออกว่าตอนนี้เฉิงฉือสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ยังไม่ได้ปล่อยออกมา เวลานี้ผู้ใดเข้าไปใกล้ผู้นั้นซวย
“ข้าจะไปเรียกสาวใช้ผู้นั้นกลับมาขอรับ” ไหวซานรีบกล่าว
เฉิงฉือ “อืม” เสียงหนึ่ง น้ำเสียงสงบลงเล็กน้อย
ไหวซานโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ตะโกนเรียกชุนหว่านอย่างรีบร้อน
ชุนหว่านที่ถูกไหวซานเรียกกลับมาระหว่างทาง ย่อมรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมากเป็นธรรมดา
นางยืนอยู่ตรงหน้าเฉิงฉือด้วยความรู้สึกสยดสยองเล็กน้อย ไม่กล้าขยับเขยื้อน
เฉิงฉือเห็นท่าทางนี้ของนางแล้ว ก็ถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนถึงได้เอ่ยปากเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปบอกคุณหนูรองของพวกเจ้า ประการแรกได้เจอฉางซิ่วไฉผู้นั้นที่หน้าประตู ถัดมาฮูหยินหวงผู้นั้นรบเร้าให้หลี่ซื่อพาคุณหนูรองของพวกเจ้าไปจุดธูปไหว้พระที่วัดต้าฉือเก๋อ ตอนพบคุณชายเหมียวกระทำไม่เหมาะสมก็เป็นซิ่วไฉแซ่ฉางผู้นั้นปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือเอาไว้ เกรงว่าคนแซ่ฉางผู้นี้ก็มิได้มีจิตใจดีอะไร ช่วงนี้ให้นางไม่ต้องออกไปไหน อยู่แต่ในบ้านก็พอ ส่วนเรื่องพวกนี้ข้าจะจัดการเอง”
ชุนหว่านดีใจเป็นอย่างมาก คุกเข่าลงโขกศีรษะให้เฉิงฉือสามครั้ง พร้อมกับกล่าวว่า “ขอบคุณนายท่านสี่มากเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือยกมือขึ้น เป็นสัญญาณให้นางออกไปได้
ชุนหว่านกลับไปหาโจวเสาจิ่นด้วยอาการดีใจอย่างลิงโลด เอ่ยอยู่ในใจว่า ถึงว่าคุณหนูรองไม่กังวลใจเลย ที่แท้ก็เพราะนายท่านสี่เป็นคนหน้าเย็นชาแต่จิตใจดีผู้หนึ่งนี่เอง นางยังไม่ทันได้เอ่ยปากก็รับปากแล้วว่าจะออกหน้าช่วยคุณหนูรองเอง นางเข้าไปในห้องปีกตะวันออกของห้องหนังสือที่เปิดเอาไว้อย่างเบิกบาน
โจวเสาจิ่นกำลังวาดแบบดอกไม้อยู่
แค่มองท่าทางของชุนหว่าน เสี่ยวถานก็รู้แล้วว่าเรื่องราวดำเนินไปอย่างราบรื่น นางยิ้มพร้อมกับชี้ไปที่โจวเสาจิ่น ส่ายศีรษะเบาๆ เป็นสัญญาณบอกชุนหว่านว่ามีอะไรให้ไปคุยกันข้างนอก
ชุนหว่านเรียกจี๋เสียงเข้ามาปรนนิบัติอยู่ในห้อง นางกับเสี่ยวถานไปแอบคุยกันตรงทางเดิน
เสี่ยวถานฟังคำบอกเล่าของชุนหว่านแล้ว ก็กล่าวยิ้มๆ อย่างภาคภูมิใจว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่นายท่านสี่จะไม่ใส่ใจ เจ้าดูพี่สาวจี๋อิ๋งทุบตีคุณชายใหญ่สวี่จนกลายเป็นเช่นนั้น แต่นายท่านสี่ยังมาเป็นแขกที่ตระกูลโจวอยู่เลย เห็นได้ชัดว่านายท่านสี่เองก็รู้สึกว่าคุณหนูรองนั้นน่าสงสาร”
ชุนหว่านถอนหายใจ กลางคืนตอนที่จัดเตียงให้โจวเสาจิ่นนั้น นางจึงบอกโจวเสาจิ่นถึงสิ่งที่เฉิงฉือฝากมา
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ามองพวกเจ้าเข้าๆ ออกๆ อย่างลับๆ ล่อๆ แล้ว ก็สงสัยว่าพวกเจ้าคงไปหาท่านน้าฉือ พวกเจ้าวางใจเถิด ต่อให้ท่านน้าฉือไม่บอก ข้าก็จะไม่ออกไปไหนตามอำเภอใจอีกแล้ว”
ขณะที่นางกล่าว ก็รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวยิ่งนัก
เนื่องจากท่านน้าฉือพักอยู่ที่นี่ คิดจะปิดบังเขานั้นเป็นไปไม่ได้เลย
นางทำขายหน้าต่อหน้าท่านน้าฉือขนาดนี้ นางก็เลยไม่มีหน้าไปขอให้ท่านน้าฉือช่วยออกหน้าไปจัดการเรื่องของตระกูลเหมียวให้นาง
ชุนหว่านไปพูดกับท่านน้าฉือก็ดีเหมือนกัน
นางจะไม่ได้ไม่ต้องอับอาย
พูดกันตามจริงแล้ว ผู้อื่นรังแกนางก็เพราะเห็นว่าครอบครัวของนางนั้นสถานะต่ำต้อย
หากนางเป็นคุณหนูของตระกูลเฉิงที่ซอยจิ่วหรู ต่อให้นางมีหน้าตางดงาม แต่ผู้ใดจะกล้ากระทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้านางได้
เวลานี้ นางพลันเข้าใจความรู้สึกของนายท่านผู้เฒ่าจวงผู้เป็นท่านตาขึ้นมาอย่างกระจ่างแจ้ง
บางครั้งบุตรสาวที่หน้าตางดงามเกินไป ก็ต้องดูว่าไปเกิดอยู่ในตระกูลเช่นไร หากเป็นตระกูลที่เหมือนกับซอยจิ่วหรู ก็จะเป็นความงามที่โดดเด่น แต่ถ้าเป็นอย่างตระกูลจวง ก็จะกลายเป็นความงามที่เป็นหายนะ
ตอนแรกที่มารดาตัดสินใจแต่งงานกับบิดา เกรงว่าก็อาจจะเป็นเพราะเหตุผลข้อนี้เหมือนกันกระมัง
กลางคืนโจวเสาจิ่นหลับไม่ค่อยสนิทนัก ยามตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นจึงไม่แจ่มใสจิตใจเหม่อลอย
แม้แต่จะถามหลี่ซื่อยังไม่กล้าถาม โจวเจิ้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ทางด้านของตระกูลเหมียวนั้นข้าเขียนจดหมายส่งไปให้แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลใจ ข้าไม่ให้เจ้าแต่งกับผู้อื่นอย่างส่งๆ แน่นอน”
โจวเสาจิ่นเห็นว่าบิดาเข้าใจผิดแล้ว แต่ก็ไม่ได้อธิบาย พยักหน้ายิ้มๆ
มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “นายท่าน ฮูหยิน คุณหนูรอง ฉางซิ่วไฉมาขอพบเจ้าค่ะ”
โจวเจิ้นขมวดคิ้วมุ่น
สีหน้าของหลี่ซื่อเคร่งเครียดขึ้นมา
เฉิงฉือตั้งใจไม่ผลักไสสาวใช้ของตระกูลโจว
ไม่นานถ้อยคำที่เขาพูดกับชุนหว่านพวกนั้นก็ส่งต่อมาถึงหูของหลี่ซื่ออย่างรวดเร็ว
หลี่ซื่อยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในใจเล็กน้อย ฉางซิ่วไฉก็มาขอเข้าพบแล้ว
นางเรียก “นายท่าน” ออกมาเสียงหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ไล่บ่าวรับใช้ในห้องออกไป พึมพำเล่าสิ่งที่เฉิงฉือพูดมาให้โจวเจิ้นฟัง
โจวเจิ้นสีหน้าสงบ เอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้แล้ว คนแซ่ฉางผู้นั้นข้าจะไล่เขาไปเอง”
หลี่ซื่อได้ยินแล้วหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในใจถึงได้วางลงมา
ฉางซิ่วไฉคิดว่าตนให้ความช่วยเหลือโจวเสาจิ่นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรโจวเจิ้นก็น่าจะปฏิบัติกับเขาอย่างกระตือรือร้นและเป็นกันเองบ้าง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าโจวเจิ้นยังคงสุภาพและเว้นระยะห่างเหมือนก่อนหน้านี้ ทำให้เขาต้องเก็บคำพูดมากมายเอาไว้ในใจ ไม่กล้าพูดออกมา
หรือว่าตนจะพลาดที่ตรงไหนไป?
ฉางซิ่วไฉอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้
เนื่องจากรู้นิสัยของคุณชายเหมียวดี เขาถึงได้ชวนคุณชายเหมียวไปวัดต้าฉือเก๋อ แม้แต่คุณชายเหมียวยังไม่เห็นความผิดปกติของเรื่องนี้ ถูกใต้เท้าเหมียวโบยไปคำรบหนึ่งจนต้องนอนอยู่บนเตียงแล้วก็ยังร้องโวยวายว่าหากมิได้แต่งกับคุณหนูรองตระกูลโจวเขาจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
ใต้เท้าเหมียวโมโหยิ่งนัก
ฉางซิ่วไฉกลัวว่ามารดาที่คอยปกป้องและตามใจหลานชายตนเองของใต้เท้าเหมียวผู้นั้นจะร้องไห้โวยวายให้ใต้เท้าเหมียวเร่งมาทาบทามงานแต่งให้คุณชายเหมียว
เขาถึงได้เลือกลงมือก่อนหนึ่งก้าว หมายจะแสร้งมาเล่าว่าคุณชายเหมียวดื้อรั้นและโง่เขลาอย่างไรบ้างให้โจวเจิ้นฟังโดยไม่เจตนา
ตอนนี้จะทำอย่างไรดี
ฉางซิ่วไฉคิดว่าทุกเรื่องนั้นยิ่งรีบร้อนก็ยิ่งล้มเหลว จึงเก็บกิริยาอาการแล้วพูดคุยกับโจวเจิ้นไปสองสามประโยค จากนั้นก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา
โจวเจิ้นเองก็ไม่ไปส่งเขา ขมวดคิ้วมุ่นคิดเรื่องของบุตรสาว
เนื่องจากคุณชายเหมียวเห็นโจวเสาจิ่นแล้ว เกรงว่าชื่อเสียงความงามของโจวเสาจิ่นคงปิดไว้ไม่มิดแล้ว ต่อไปยิ่งอยู่คนที่หาข้ออ้างมาที่บ้านเพื่อดูตัวและทาบทามก็คงจะยิ่งมีมากขึ้น แต่สถานที่อย่างเป่าติ้งนี้เล็กมากเกินไป นอกจากตระกูลฟ่านแล้ว ก็ไม่มีตระกูลไหนอยู่ในสายตาเขาเลย จึงยิ่งไม่อยากให้บุตรสาวผู้อ่อนโยนและงดงามต้องได้รับความขมขื่นอยู่ที่เป่าติ้ง แต่จะให้เขาไปหาตระกูลดีๆ ให้โจวเสาจิ่นตอนนี้ เขาก็ยังไม่มีตัวเลือกดีๆ เช่นกัน…
ถ้าหากไม่มีเรื่องของเฉิงสวี่เรื่องนั้นก็คงจะดี
ด้วยชื่อเสียงของตระกูลเฉิง ต่อให้โจวเสาจิ่นจะไม่ได้แต่งกับตระกูลที่เทียบเท่าตระกูลเลี่ยวที่เจิ้นเจียง แต่การหาตระกูลบัณฑิตที่สมาชิกในครอบครัวไม่เยอะมากก็เป็นอะไรที่ไม่ยากเลย
ความคิดนี้ก็เพียงวาบผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป
เขาเก็บความขุ่นเคืองอันน้อยนิดนี้เอาไว้ในใจอย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดพิจารณาถึงคุณชายที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับโจวเสาจิ่นที่เขาพอจะรู้จักเหล่านั้นขึ้นมาอย่างละเอียด
เฉิงฉือกลับคิดแล้วคิดอีก ให้สาวใช้เด็กไปเชิญโจวเสาจิ่นมาพูดคุยด้วย
โจวเสาจิ่นวางงานเย็บปักที่ทำไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วลงมา เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเร่งเดินมาหาอย่างรีบร้อน
ทั้งสองคนนั่งลงบนตั่งอิฐ
เฉิงฉือถามนางว่า “เจ้ายินดีไปอยู่จิงเฉิงกับข้าสักช่วงหนึ่งหรือไม่”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
เฉิงฉือกล่าว “สองปีนี้เกรงว่าข้าคงจะอยู่จิงเฉิงตลอด ที่เจ้าบอกว่าตระกูลเฉิงจะถูกลงโทษทั้งตระกูลนั้น ข้าคิดว่า นี่มิใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างเรื่องกินเรื่องดื่ม มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นดั่งเรื่องน้ำหยดลงหินที่สะสมมานานจนหินกร่อน ข้าอยากจะเริ่มตามสืบจากคนรุ่นเดียวกับบิดาของข้าเหล่านั้น รั้งอยู่ที่จินหลิงเกรงว่าจะไม่สะดวกนัก แต่ในบ้านเป็นเช่นนี้ ข้ารู้สึกไม่ค่อยวางใจจริงๆ โชคดีที่จิงเฉิงใกล้เป่าติ้งยิ่ง หากว่าเจ้าอยากเจอบิดาของเจ้า ก็กลับมาอยู่ด้วยเป็นเวลาสั้นๆ เมื่อไรก็ได้”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงซ่าน
ขายหน้ามาถึงท่านน้าฉือที่นี่แล้วจริงๆ
แต่ไปอยู่จิงเฉิงกับท่านน้าฉือ…หัวใจของนางพลันร่าเริงลิงโลดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่
แต่เมื่อหวนนึกถึงเฉิงสวี่ นึกถึงซอยซิ่งหลิน นางก็เหมือนกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นหนึ่งอ่างก็ไม่ปาน จิตใจค่อยๆ ห่อเหี่ยวลงมา เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าอยู่เป่าติ้งดีแล้วเจ้าค่ะ…”
ความรู้สึกทุกอย่างของโจวเสาจิ่นเผยอยู่บนใบหน้า เฉิงฉือไหนเลยจะมองไม่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
อารมณ์ของเฉิงฉือซับซ้อนขึ้นมา
เขารู้อยู่แล้วว่าเด็กน้อยผู้นี้ต้องอยากติดตามเขา ความจริงแล้วเขาไม่ควรสนใจนาง แต่เมื่อนึกถึงว่าแม้แต่คนอย่างคุณชายเหมียวและฉางซิ่วไฉประเภทนั้นยังกล้ามาคิดหาประโยชน์จากเด็กน้อยผู้นี้ ในใจของเขาก็มีไฟปะทุขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ นอกจากนี้ยังเผาไหม้จนเขาวุ่นวายใจไปหมด ไม่อาจสงบลงได้
เฉิงฉือเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราไม่ได้จะไปพักอยู่ที่ซอยซิ่งหลิน ข้าซื้อบ้านหลังใหม่ที่ซอยอวี๋เฉียนทางด้านประตูเฉาหยางเอาไว้หลังหนึ่ง พวกเราจะไปอยู่ที่นั่นกัน”