ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 365 หวนคืน
กระทั่งหายใจคล่องขึ้นมาแล้ว ยิ่งคิดหลี่ซื่อก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องนัก
ตอนนางกับโจวเจิ้นอยู่ที่หนานชังของเจียงหนานนั้นก็พักอาศัยอยู่ในที่ทำการหยาเหมินเหมือนกัน เป็นเพื่อนบ้านกับบรรดาฮูหยินของขุนนางที่อยู่ในนั้น ทุกคนต่างมาจากพื้นเพที่แตกต่างกัน บ้างก็เชื่อพุทธบ้างก็เชื่อเต๋า นานๆ ทีก็มีแม่ชีพุทธหรือไม่ก็แม่ชีเต๋ามาขอบริจาคเงินค่าธูปเทียนถึงหน้าประตูอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอย่างเปิดเผยว่าตัวเองเชี่ยวชาญการรักษาโรคของเด็กโรคของสตรี ฮูหยินหวงกล่าวเช่นนี้ ออกจะใจกล้าเกินไปแล้วหรือไม่
หลี่ซื่อนึกถึงคำพูดของเฉิงฉือขึ้นมา นางครุ่นคิดพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า นำเรื่องนี้ไปบอกโจวเจิ้น
สีหน้าของโจวเจิ้นเปลี่ยนเล็กน้อย เห็นหลี่ซื่อมองเขาด้วยความเป็นกังวล นึกถึงพื้นเพและประสบการณ์ของหลี่ซื่อขึ้นมา เขาลอบถอนหายใจอยู่ในใจครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ฮูหยินทำได้ดียิ่ง เรื่องบุตรชายสืบสกุลนี้เป็นกำหนดของสวรรค์ หากข้าจะมีบุตรสาวเพียงสามคน นั่นก็เป็นความประสงค์ของพระพุทธองค์ ไม่อาจกล่าวโทษสร้างเรื่องไม่หยุดไม่หย่อนได้ ถ้าหากเพราะเหตุนี้ทำให้ขาดความสุขและชีวิตสั้นลง สูญเสียทรัพย์สมบัติของตระกูล นั่นก็เป็นการแก้ปัญหาผิดจุดผิดขั้นผิดตอนแล้ว”
ความหมายก็คือ ต่อให้หลี่ซื่อไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ก็ไม่มีทางจะใช้เหตุผลนี้รับอนุเพื่อขอมีบุตรชาย
“นายท่าน!” หลี่ซื่อพลันปลาบปลื้มซาบซึ้งใจไปชั่วขณะ น้ำตาคลอเบ้า ไม่กล่าวอะไรกว่าครู่ใหญ่
โจวเจิ้นกล่าวขึ้นว่า “ใกล้จะปีใหม่แล้ว ในบ้านยังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก หากเจ้ายุ่งจนรับมือไม่ไหว ก็ให้เสาจิ่นมาช่วยได้ นางเติบโตอยู่ที่ซอยจิ่วหรูมาตั้งแต่เล็ก ต่อให้ไม่เคยเป็นแม่งานรับผิดชอบเรื่องในบ้านมาก่อนทว่าก็เคยประสบพบเห็นมีประสบการณ์อยู่ข้างกายผู้อาวุโสมาก่อน แล้วก็เป็นโอกาสอันดีให้นางได้เรียนรู้การดูแลเรือนและคำนวณบัญชี อย่างไรเสียก็คงได้ใช้ประโยชน์ในภายภาคหน้า”
เดิมทีเขาคาดหวังว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะช่วยหาตระกูลดีๆ ให้บุตรสาวคนรองสักตระกูลหนึ่งได้ แต่วันนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว เขาก็ต้องวางแผนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ถึงจะถูก
แต่ตระกูลเหมียวและตระกูลเฉียนนั้นเป็นเพียงตระกูลที่เคยรับราชการมาก่อนเท่านั้น บุตรหลานก็ไม่ประสบความสำเร็จอะไร หากอีกสักสองสามปีต่อจากนี้ยังไม่ตกต่ำถึงจะแปลก! ยังเทียบไม่ได้แม้แต่กับตระกูลโจวของพวกเขา แล้วจะปกป้องเสาจิ่นได้อย่างไร
เรื่องแต่งงานนี้คงต้องไปมองหาจากในเมืองหลวงเสียแล้ว
แต่เขาออกจากเมืองหลวงมานานหลายปีแล้ว จึงไม่ค่อยรู้จักคนสักเท่าไรแล้ว ต่อให้รู้จัก ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหาคนที่เหมือนกับบุตรเขยเลี่ยวอย่างคู่ครองของบุตรสาวคนโตเช่นนั้นได้
เมื่อนึกถึงเรื่องพวกนี้ โจวเจิ้นก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา
หลี่ซื่อเห็นสีหน้าของโจวเจิ้นหนักอึ้ง รู้ว่าเขาต้องกำลังเป็นกังวลใจเรื่องหลังบ้านอยู่เป็นแน่ รู้สึกละอายอยู่ในใจ ไม่กล้าเอ่ยอะไรมากอีก บอกลาโจวเจิ้นแล้วออกมาจากห้องโถงด้านหลัง เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นห้องหนังสือของโจวเจิ้น
นางเดินเข้าไปในห้องหนังสืออย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ หาภาพเหมือนของจวงซื่อออกมา มองอย่างละเอียดเป็นเวลานาน
หลังจากได้เจอโจวเสาจิ่นแล้ว นางถึงได้รู้สึกว่าภาพเหมือนไม่ค่อยสมจริงเท่าไร
กล่าวกันว่าโจวเสาจิ่นเหมือนมารดาเพียงเจ็ดถึงแปดส่วนเท่านั้น และจวงซื่องดงามกว่าโจวเสาจิ่นเสียอีก
แม้นคนในภาพเหมือนนี้จะงดงาม ทว่ายังงามไม่เท่าแปดส่วนของโจวเสาจิ่นด้วยซ้ำ
แต่สายตานั้นดุจน้ำ ราวกับมีชีวิตจริง คาดว่านางคงใช้สายตาเช่นนี้มองโจวเจิ้นบ่อยๆ ตอนโจวเจิ้นวาดภาพของนาง ความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดจึงเป็นสายตานี้…
หลี่ซื่อรู้สึกปวดแปลบใจ
รู้สึกว่าจวงซื่อผู้นี้ช่างเป็นสตรีงดงามที่ต้องประสบกับโชคชะตาที่ระทมทุกข์จริงๆ
ได้แต่งงานกับสามีที่ดีอย่างโจวเจิ้นทว่ากลับจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย ยังทิ้งบุตรสาวที่ต้องกำพร้ามารดาเอาไว้ผู้หนึ่งอีกด้วย…
นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดภาพเหมือนของจวงซื่อ แล้วก็วางกลับไปเบาๆ
ไม่มีความรู้สึกอิจฉาเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
เมื่อกลับไปก็เชิญโจวเสาจิ่นมาช่วยกันจัดการงานในบ้านด้วยกัน
ถึงแม้จะเป็นคนมาสองชาติภพ แต่ที่ผ่านมาโจวเสาจิ่นไม่เคยจัดการเรื่องพวกนี้มาก่อน ตอนที่แต่งกับหลินซื่อเซิ่งใหม่ๆ นั้นมีฮูหยินหลินอยู่ จึงไม่ถึงคราวของนางต้องจัดการ นางเองก็จิตใจห่อเหี่ยว ไม่มีกะจิตกะใจสนใจเรื่องพวกนี้ กระทั่งไปอยู่ที่บ้านสวน ภายนอกบ้านมีหลินซื่อเซิ่ง ภายในบ้านมีเจิ้งมามา นางยังคงไม่สนใจอะไรเหมือนเดิม ตอนนี้มองป้ารับใช้ยืนอยู่ตรงนั้นเอ่ยรายงานหลี่ซื่อว่าปลาหนึ่งจินราคาเท่าไร ราคาเพิ่มขึ้นจากยามปกติเท่าไร เนื้อหนึ่งจินราคาเท่าไร แพงกว่าเวลาปกติกี่ส่วน ในบ้านต้องเตรียมปลาและเนื้อจำนวนเท่าไร ไข่ไก่จำนวนเท่าไร ยังต้องซื้อพริกไทย เกลือและของอื่นๆ อีก นางรู้สึกน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ยืนฟังอยู่ข้างๆ ด้วยความสนอกสนใจ
แม้นบ่าวรับใช้เหล่านั้นส่วนมากจะเป็นคนที่ติดตามมาเป็นสินเดิมของหลี่ซื่อ ทว่าก็เป็นคนมีสายตาดี พอเห็นโจวเสาจิ่นสนใจ ก็อธิบายละเอียดมากยิ่งขึ้น แม้กระทั่งว่าอะไรคือพริกไทย เกลือที่คนในบ้านกินกันนั้นเป็นของที่ไหนก็อธิบายให้นางฟังทีละข้อๆ อย่างละเอียด นางเองจึงเริ่มช่วยงานอยู่ข้างๆ หลี่ซื่ออย่างเป็นทางการ กำหนดรายการอาหารของงานเลี้ยงในวันปีใหม่ และคอยกำกับบ่าวรับใช้จัดเตรียมของที่ต้องใช้ในวันปีใหม่
กระทั่งถึงวันที่ยี่สิบสามเดือนสิบสอง โจวเจิ้นปิดผนึกประทับตราเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็มานั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันทั้งครอบครัว จากนั้นโจวเจิ้นพาบุตรสาวทั้งสองคนไปเล่นที่ห้องหนังสือ
กล่าวว่าไปเล่น ทว่าโจวเสาจิ่นนั้นไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ล้วนเป็นคนเงียบๆ ถือหนังสืออ่านเล่นเอาไว้หนึ่งเล่มก็นั่งพลิกอยู่ตรงนั้นได้ทั้งวันแล้ว กลับเป็นโจวโย่วจิ่น น้อยครั้งนักที่บิดาจะมาอยู่เล่นเป็นเพื่อน เนื่องจากบิดาเป็นคนร่างสูงใหญ่ เมื่อถูกอุ้มเอาไว้ทำให้มองเห็นได้ไกล จึงซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของโจวเจิ้นทุกวันไม่เอาผู้อื่น
โจวเจิ้นจึงอ่าน ‘คัมภีร์กตัญญู’ ให้โจวโย่วจิ่นฟัง
โจวโย่วจิ่นกลับคว้าพู่กันขนสุนัขจิ้งจอกด้ามจับกระเบื้องเคลือบลายครามของโจวเจิ้นด้ามนั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
โจวเสาจิ่นเม้มปากหัวเราะ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าใช้พู่กันประเภทนี้เลยเจ้าค่ะ ท่านน้าฉือบอกว่า…เอ่อ…บอกว่าด้ามพู่กันนี้หนักเกินไป วางประดับเอาไว้ดูเล่นยังพอได้ แต่ถ้าใช้เขียนหนังสือกลับเปลืองแรงเกินไปเจ้าค่ะ”
ความจริงแล้วเฉิงฉือบอกว่ามีแต่คนโง่เท่านั้นที่ใช้พู่กันนี้
โจวเจิ้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ว่ากันว่าเป็นแบบที่เพิ่งออกมาใหม่ของพระที่นั่งเหวินเต๋อในสองสามปีมานี้ ผู้อื่นให้มา”
เฉิงฉือกล่าวว่าพระที่นั่งเหวินเต๋อนั้นกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ เห็นว่ามีการซื้อพู่กันซื้อหมึกมากก็เริ่มขายชื่อเสียง
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นท่านก็เก็บเอาไว้มอบให้ผู้อื่นก็แล้วกัน ไม่จำเป็นต้องใช้เองนี่เจ้าคะ”
สองพ่อลูกกำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ก็มีบ่าวชายเด็กเข้ามารายงานว่า ฉางซิ่วไฉมาขอพบ
สีหน้าของโจวเจิ้นดูขุ่นเคืองเล็กน้อย ทว่าน้ำเสียงกลับยังคงเป็นปกติ สั่งการบ่าวชายผู้นั้นว่า “บอกไปว่าข้ามีแขก ให้เขาค่อยมาพบหลังปีใหม่”
บ่าวชายเด็กถอยออกไป
โจวเจิ้นมองสำรวจโจวเสาจิ่น เห็นสีหน้าของนางยังคงสงบ กำลังกระซิบกระซาบกล่าวกับโจวโย่วจิ่นอยู่ เขาถึงได้วางใจลงมา
เรื่องโสมมพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องให้บุตรสาวรู้
บ้านไหนมีบุตรสาวย่อมมีร้อยตระกูลมาขอพบ เขาไม่อยากสร้างความขุ่นเคืองให้ผู้อื่นด้วยสาเหตุนี้ ทำให้บุตรสาวมีชื่อเสียงไม่ดี ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อการแต่งงานในภายภาคหน้า แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าฉางซิ่วไฉผู้นี้สมองเลอะเลือนมีปัญหา หากไม่จัดการเขาสักหน่อย เขาคงคิดว่าคนบนโลกนี้มีแต่เขาที่ฉลาดปราดเปรื่อง ผู้อื่นล้วนโง่เขลาทั้งหมด!
***
หลังจากกราบไหว้บรรพชนในวันมหาปีใหม่วันที่สามสิบแล้ว โจวเจิ้นก็เริ่มมีงานยุ่งขึ้นมา
เป็นเจ้าภาพทำพิธีแรกนาขวัญ ไปไหว้ปีใหม่เหล่าบัณฑิตอาวุโสทั้งหลายของเมืองเป่าติ้ง เข้าร่วมงานเลี้ยงของเหล่าผู้มีความรู้และนักกวี และสังสรรค์กับผู้ใต้บังคับทั้งหลาย กระทั่งถึงวันที่สิบสามเดือนหนึ่ง ได้ฉางซิ่วไฉเป็นคนออกเงินและแรงกาย จัดงานเทศกาลโคมไฟของเมืองเป่าติ้งขึ้น
โคมไฟเทศกาลสูงเท่าเจดีย์เก้าชั้นตั้งเรียงรายอยู่บนถนนเส้นใหญ่ที่เฟื่องฟูที่สุดคือเมืองเป่าติ้ง จนท้องฟ้าล้วนสว่างไสวเรืองรองไปกว่าครึ่ง
หลี่ซื่ออุ้มโจวโย่วจิ่นมาถามโจวเสาจิ่นอีกครั้ง “เจ้าจะไม่ไปดูโคมไฟจริงๆ หรือ ปีก่อนๆ เทศกาลโคมไฟของเมืองเป่าติ้งมิได้ยิ่งใหญ่ตระการตาเช่นนี้ บิดาของเจ้าเองก็กล่าวแล้วว่า ไม่อาจเลิกกินข้าวเพราะกลัวสำลัก พวกเราจึงไม่อาจไม่ยอมใช้ชีวิตเพราะคนต่ำต้อยพวกนั้น…”
แต่โจวเสาจิ่นกลับยังคงไม่ขยับตัว กล่าวเสียงอ่อนโยนอย่างยิ้มแย้ม ว่า “ข้างนอกหนาวเย็นยิ่ง ข้าไม่อยากออกไปจริงๆ เจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าเองก็จะอยู่บ้านเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นมองโจวโย่วจิ่นที่กำลังมองนางด้วยดวงตากลมโตสุกใสนั้นแล้วก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เกรงว่าน้องสาวคงยังไม่เคยเห็นงานเทศกาลโคมไฟที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนกระมัง ท่านพาน้องสาวไปดูโคมไฟเถิด ข้าอยู่บ้านทำงานเย็บปักอีกครู่หนึ่งก็จะเข้านอนแล้ว” กล่าวถึงตรงนี้ นางนึกถึงฝานหลิวซื่อและคนอื่นๆ ที่ติดตามตนมาถึงเมืองเป่าติ้งแต่ยังไม่ค่อยได้ออกไปไหนเท่าไรแล้ว ก็เอ่ยขึ้นว่า “ฝานมามากับพวกชุนหว่านเองก็ไปด้วยเถิด ให้ซางมามาอยู่เป็นเพื่อนข้าคนเดียวก็พอ”
แน่นอนว่าชุนหว่านและอีกหลายคนไม่อยากทิ้งโจวเสาจิ่นไว้ที่บ้านคนเดียว
โจวเสาจิ่นพยายามโน้มน้าวทุกวิถีทาง ถึงทำให้ฝานหลิวซื่อและคนอื่นๆ ออกไปกับหลี่ซื่อได้
นางจึงนั่งทำงานเย็บปักอยู่ใต้ตะเกียง
มีเสียงปะทัดดังเข้ามาให้ได้ยินจากด้านนอกอยู่เนืองๆ ยังมีเสียงโห่ร้องเสียงดังอย่างอึกทึกครึกโครม ยิ่งทำให้ลานด้านหลังของที่ว่าการดูเงียบเหงาและโดดเดี่ยวมากขึ้น
ซางมามายกโจ๊กเม็ดบัวพุทราจีนมาให้โจวเสาจิ่น มองโจวเสาจิ่นที่นั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้อง เงาร่างถูกแสงตะเกียงขยายให้ยาวขึ้น ได้แต่รู้สึกว่าช่างเงียบเหงาและไร้ชีวิตชีวายิ่งนัก รู้สึกเหน็บหนาวตั้งแต่ปลายนิ้วมือไปจนถึงขั้วหัวใจ
นางปรับน้ำเสียงให้เบาลงแล้วถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “คุณหนูรองไม่อยากออกไปดูโคมสักหน่อยจริงๆ หรือเจ้าคะ ถ้าหากท่านไม่ชอบที่คนเยอะ ข้าไปเป็นเพื่อนท่านก็ได้เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องไปแล้วจริงๆ” โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นหันไปยิ้มให้นาง เป็นรอยยิ้มที่ทั้งงดงามและอ่อนหวาน “ข้าไม่ชอบออกไปเดินข้างนอก”
ใบหน้านี้ของนาง สร้างปัญหามากเกินไป
ท่านน้าฉือไม่อยู่เป่าติ้ง นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
ซางมามาเห็นนางกล่าวออกมาอย่างจริงใจ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกเวทนายิ่ง ทว่าก็ไม่อาจบีบบังคับนางได้ เพียงแต่ว่านางทำงานเย็บปักพวกนี้ไม่ค่อยเก่งนัก จึงได้แค่นั่งเป็นเพื่อนโจวเสาจิ่น พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับนางเท่านั้น
เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน โจวเสาจิ่นก็เย็บแขนเสื้อข้างหนึ่งเสร็จแล้ว
ซางมามาเห็นว่าน้ำชาเย็นแล้ว จึงลุกขึ้นไปต้มชาให้นางใหม่
โจวเสาจิ่นสนด้ายเสร็จอย่างรวดเร็ว เริ่มเย็บแขนเสื้ออีกข้างหนึ่ง
ภายในห้องมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ ยิ่งเดินก็ยิ่งใกล้ตัวนางเข้ามา
เวลานี้ คนที่เข้าห้องของนางได้มีแต่ซางมามาเท่านั้น
โจวเสาจิ่นมิได้เงยหน้าขึ้น คุยกับซางมามาต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเจือรอยยิ้มว่า “…ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือจะเป็นอย่างไรบ้าง ปีที่แล้วเมืองจินหลิงประดับโคมไฟเทศกาลเล็กๆ เพียงไม่กี่ดวงเท่านั้น ไม่รู้ว่าปีนี้จะมีการจัดงานเทศกาลโคมไฟหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ต่อให้เมืองจินหลิงจัดงานเทศกาลโคมไฟ ท่านน้าฉือก็ไม่ไปร่วมงานอยู่ดี อ้อ ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่ไปอย่างแน่นอน” นางถอนหายใจพร้อมกับเงยหน้าขึ้น เสียงพูดหยุดลงกะทันหัน ดวงตาเมล็ดซิ่งนั้นเบิกกว้าง ราวกำลังประสบกับความตาย
เฉิงฉือที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีกรมท่าหลุดหัวเราะออกมา เอ่ยขึ้นว่า “เป็นอะไรไป ไม่ได้เจอข้าแค่ช่วงเทศกาลปีใหม่เท่านั้น ก็จำข้าไม่ได้แล้วหรือ!”
“ท่านน้าฉือ!” โจวเสาจิ่นเด้งตัวลุกขึ้นมา ละล่ำละลักกล่าวว่า “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ”
ทว่าในใจกลับเต้นตึกตัก รู้สึกลิงโลดประหนึ่งมีลูกนกซ่อนเอาไว้หนึ่งตัวก็ไม่ปาน
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถามขึ้นอย่างจับใจความไม่ได้ว่า “ท่านมาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดถึงไม่ให้บ่าวชายมาแจ้งล่วงหน้าก่อนสักคำ รับประทานมื้อค่ำมาหรือยัง ในครัวยังตุ๋นรังนกน้ำตาลกรวดเอาไว้อยู่ และก็น่าจะยังมีขนมวุ้นเกาลัดอยู่ด้วยเช่นกัน จะดีจะร้ายท่านควรจะกินสักหน่อย ท่านพ่อทราบหรือไม่ว่าท่านมา ข้าจะให้คนไปแจ้งท่านพ่อเดี๋ยวนี้…”
มองโจวเสาจิ่นที่กระสับกระส่าย ตื่นเต้นยินดีจนควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว เฉิงฉือพลันรู้สึกว่าการที่ตนออกเดินทางมาตั้งแต่ยังฉลองปีใหม่ไม่เสร็จดีนั้นเป็นการตัดสินใจที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เขามองสำรวจห้องนั่งเล่นของโจวเสาจิ่น
ตุ๊กตาผ้ารูปเสือ กระดาษวาดแบบลายดอกไม้ ชั้นวางของไม้จันทน์แดง ทุกที่ล้วนมีของชิ้นเล็กชิ้นน้อยของนางวางอยู่
ดูรกเล็กน้อย ทว่าดูอบอุ่นยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกว่าในห้องรกรุงรังยิ่ง อับอายแทบทนไม่ไหว รีบไปเก็บกระดาษที่วางกลับหัวกลับหางกันอยู่พวกนั้น เก็บไปด้วยกล่าวเสียงเบาไปด้วยว่า “ข้าเพิ่งเอาออกมาเตรียมจะใช้ ก็เลยวางเอาไว้ตรงนี้ก่อน…”
เฉิงฉือยื่นมือไปหยิบขึ้นมาหนึ่งแผ่น เอ่ยขึ้นว่า “นี่คืออะไรหรือ ดูแล้วเหมือนดอกกล้วยไม้ แล้วก็เหมือนดอกผีเสื้อด้วย…”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้ว ก็ไม่อาจให้ความสนใจกับการเก็บกระดาษได้อีกต่อไป รีบขยับเข้าไปใกล้ เอ่ยขึ้นว่า “จริงหรือเจ้าคะ เหมือนดอกกล้วยไม้กับดอกผีเสื้อจริงๆ หรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือกล่าว “ข้าดูแล้วรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเล็กน้อย…”
โจวเสาจิ่นรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าวาดดอกพวงครามเจ้าค่ะ”
เอ๋!
เฉิงฉือเอ่ยขึ้นว่า “ดอกพวงครามนั้นมิใช่ว่าเป็นพวงเป็นช่อหรอกหรือ”
จะเป็นดอกพวงครามไปได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นอธิบายเสียงค่อยว่า “เมื่ออยู่รวมกันก็เป็นพวงเป็นช่อ แต่เมื่ออยู่ลำพังเพียงดอกเดียวจะมีลักษณะเช่นนี้เจ้าค่ะ…”
“อย่างนั้นหรือ” เฉิงฉือมองลายดอกไม้นั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง
ซางมามาที่ยกน้ำชาตามเฉิงฉือเข้ามานั้นลอบพึมพำอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
เวลานี้มิใช่ว่าควรจะถกเรื่องที่ว่านายท่านสี่เข้ามาได้อย่างไร หรือไม่ก็พูดเรื่องที่ว่านายท่านสี่มาทำอะไรก็ได้นี่นา แต่เหตุใดเมื่อทั้งสองคนอยู่ด้วยกันกลับพูดถึงเรื่องลักษณะของดอกพวงครามกับดอกกล้วยไม้ว่าเป็นอย่างไรขึ้นมาได้!