ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 366 เทศกาลโคมไฟ
ซางมามาได้แต่กระแอมไอเบาๆ สองครั้ง ยกน้ำชาเดินเข้ามายิ้มๆ เอ่ยขึ้นว่า “อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ นายทานสี่ดื่มชาไล่อากาศหนาวสักจอกเถิดเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือนั่งลงบนตั่งอิฐตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง โจวเสาจิ่นกลับยืนอยู่ข้างๆ ดูเสมือนกับว่าเขาต่างหากที่เป็นเจ้าของบ้านตัวจริงของบ้านหลังนี้
ซางมามามองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้
แต่โจวเสาจิ่นกลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ถามเฉิงฉืออย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านรับประทานมื้อเย็นมาหรือยังเจ้าคะ มาถึงเมืองเป่าติ้งตั้งแต่ยามใด ไหวซานมากับท่านด้วยหรือไม่ ข้าจะให้คนตักน้ำเข้ามาให้ท่านผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ และจะไปสั่งการบ่าวรับใช้ให้จัดเตรียมเรือนรับรองแขกให้ท่านนะเจ้าคะ” แล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างขออภัยว่า “วันนี้ทุกคนต่างออกไปเดินเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟกันหมดแล้ว เกรงว่าคงจะล่าช้าสักเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับชี้ไปยังตั่งตรงข้ามตน เอ่ยขึ้นว่า “นั่งลงมาคุยกันเถิด! ข้าเพิ่งมาถึงเมืองเป่าติ้ง มาดูว่าเจ้าอยู่บ้านหรือไม่ ขี่ม้ามาทั้งวัน รู้สึกเมื่อยล้าเล็กน้อย ตอนนี้ยังไม่อยากกินอะไร เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามีขนมวุ้นเกาลัดอยู่มิใช่หรือ ให้คนนำมาให้สักจานข้ากินสักสองสามชิ้นก็พอ แล้วก็ต้มชาเหล่าจวินเหมยมาสักกาหานึ่ง ข้าจะพักสักครู่แล้วค่อยรับมื้อเย็น ส่วนเรือนรับรองแขกนั้นไม่ต้องจัดเตรียมให้แล้ว ข้ามาครั้งนี้ไม่ได้พักอยู่ที่นี่ จะไปพักที่บ้านของสหายผู้หนึ่ง ข้ากับเขาติดต่อกันด้วยเรื่องการค้าบางอย่าง เนื่องจากที่นี่เป็นที่ทำการหยาเหมินของเจ้าเมือง จะเข้าจะออกจึงไม่ค่อยสะดวกนัก รอให้ข้าจัดการธุระจนใกล้เสร็จแล้วค่อยมาเยี่ยมใต้เท้าโจวอีกครั้ง”
โจวเสาจิ่นได้ยินเพียงคำที่เขาบอกว่ารู้สึกเมื่อยล้า กับอยากกินวุ้นเกาลัดเท่านั้น
รีบตะโกนบอกให้สาวใช้เด็กไปยกมาให้ แล้วก็ให้ซางมามาไปต้มน้ำชามาใหม่อีกกาหนึ่ง ถึงได้นั่งลงมาพร้อมกับถามขึ้นว่า “หาตัวเซียวเจิ้นไห่ผู้นั้นเจอหรือยังเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นท่านยังคงพักอยู่ในที่ว่าการหยาเหมินก่อนดีหรือไม่”
“เซียวเจิ้นไห่ไม่ได้อยู่ที่เมืองเป่าติ้งแล้ว” เฉิงฉือกล่าว “ไม่รู้ว่าเขาหลบหนีออกไปได้ตั้งแต่เมื่อใด ข้ามาคราวนี้ก็ด้วยเรื่องนี้ แต่เจ้าแค่ฟังก็พอ มิต้องบอกใต้เท้าโจว เขาจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลตามไปด้วย” กล่าวอีกว่า “นี่เจ้าทำชุดให้ผู้ใดหรือ”
แขนเสื้อขนาดเล็ก ยาวไม่เกินสามชุ่นเท่านั้น
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนดุจน้ำ เอ่ยว่า “ทำให้ลูกน้อยที่ยังไม่คลอดของพี่สาวเจ้าค่ะ”
ถ้าหากโจวเสาจิ่นได้เป็นแม่คน ก็คงจะเป็นแม่ที่อ่อนโยนมากผู้หนึ่งกระมัง!
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “เห็นแก่ที่เจ้าเชื่อฟัง งานเทศกาลโคมไฟคึกคักถึงเพียงนี้ก็ยังเป็นเด็กดีอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน ข้าจะมอบของขวัญเล็กๆ ให้เจ้าสักชิ้นหนึ่งก็แล้วกัน”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง
มิใช่เขาหรอกหรือที่บอกว่าไม่ให้ตนออกไปไหน
นางเชื่อฟังคำของเขาจึงไม่ออกไปไหน เขากลับมาว่านางเช่นนี้ ทำอย่างกับว่านางเป็นคนไม่เชื่อฟังก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นยู่ปากอย่างอดไม่ได้
เฉิงฉือกลับหันไปยกโคมไฟกระจกรูปดอกบัวขนาดใหญ่เท่าชามปากกว้างมาอันหนึ่ง
เสาของโคมไฟทำจากเงินเนื้อดีแกะสลักเป็นลายใบแปะก๊วย กลีบดอกเป็นกระจกใส เมื่ออยู่ใต้แสงเทียนก็เปล่งรำแสงสว่างไสวออกมา วาววับละลานตา
“สวยมากเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวชื่นชม รับโคมไฟดอกบัวมา “ซื้อมาจากที่ใดหรือเจ้าคะ”
“ให้คนทำมาให้” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “แขวนมันไว้บนหัวเตียง”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด
โคมไฟอันนี้เห็นได้ชัดว่ามิใช่ของที่ขายอยู่ตามท้องถนนพวกนั้น
นางถามอย่างประหลาดใจว่า “ท่านน้าฉือรู้จักคนทำโคมไฟด้วยหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าอย่าลืมว่าข้าเป็นพ่อค้าผู้หนึ่ง”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า “เป็นพ่อค้าผู้ทรงภูมิผู้หนึ่ง”
เฉิงฉือยิ้ม
ซางมามากับสาวใช้เด็กยกน้ำชาและของว่างเข้ามา
สีหน้าของทั้งสองคนต่างเผยความประหลาดใจออกมา มองสำรวจโคมไฟนั้นไม่หยุด สาวใช้เด็กผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่เกือบจะทำจานหล่นลงพื้นไปแล้ว
โจวเสาจิ่นกลั้นยิ้ม รับน้ำชามาจากมือของซางมามาแล้ววางลงตรงหน้าเฉิงฉือด้วยตัวเอง
เฉิงฉือเพียงไม่อยากให้โจวเสาจิ่นเป็นกังวลใจเท่านั้น ล้างมือแล้วกินวุ้นเกาลัดไปสองชิ้น จิบน้ำชาสองคำแล้วลุกขึ้นกล่าวอำลา “ข้ายังมีธุระอีกเล็กน้อย อีกสองวันค่อยมาเยี่ยมพ่อของเจ้าอีกครั้ง”
โจวเสาจิ่นรู้ว่าเขามีธุระ จึงไม่กล้ารั้งเขาเอาไว้ ให้คนนำวุ้นเกาลัดที่เหลือไปห่อแล้วให้เขานำไปด้วย กล่าวว่า “หากหิวกลางดึก จะได้เอามารองท้องเจ้าค่ะ” กล่าวอีกว่า “ไปอยู่บ้านผู้อื่นย่อมไม่สะดวกสบายนัก หากอยากกินหรืออยากดื่มอะไร ก็ให้คนมาแจ้งนะเจ้าคะ ข้าจะให้ในครัวทำไปให้ท่าน”
เฉิงฉือพยักหน้าน้อยๆ ก้าวเท้ายาวๆ ออกจากที่พักของโจวเสาจิ่นไป
โจวเสาจิ่นยืนอยู่ตรงทางเดิน จนกระทั่งเงาร่างของเฉิงฉือลับหายไปนานแล้ว ร่างกายจึงรู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย และด้วยการเร่งเร้าของซางมามาถึงได้ยอมกลับห้อง
แต่เมื่อกลับมาถึงห้องนางก็ไม่มีกะจิตกะใจทำงานเย็บปักต่อแล้ว ยกโคมไฟอันนั้นขึ้นมาดูแล้วดูอีก เสมือนกับว่าดอกไม้ที่เย็บติดอยู่ด้านบนนั้น นางอยากจะนับดูให้แน่ชัดว่ามีกี่ฝีเข็มก็ไม่ปาน กระทั่งโจวเจิ้นกับหลี่ซื่อและคนอื่นๆ กลับมา นางถึงได้บอกให้ซางมามานำโคมไฟไปแขวนไว้บนหัวเตียง แล้วออกไปต้อนรับโจวเจิ้นกับหลี่ซื่อ
โจวเจิ้นซื้อโคมม้าวิ่งผ้าโปร่งแสงลายแปดเซียนข้ามทะเลมาให้นางหนึ่งอัน ส่วนหลี่ซื่อซื้อโคมกระต่ายมาให้นางหนึ่งตัว
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณยิ้มๆ รู้สึกว่าไม่มีชิ้นไหนสวยเท่าโคมไฟดอกบัวที่เฉิงฉือมอบให้นางชิ้นนั้น
โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องที่เฉิงฉือมาให้โจวเจิ้นฟัง
แม้นโจวเจิ้นจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นตะลึงงัน
พอได้ยินว่าเฉิงฉือพักอยู่ที่บ้านของสหาย เขาครุ่นคิดแล้วถามขึ้นว่า “น้าฉือของเจ้าได้บอกหรือไม่ว่าสหายของเขาผู้นั้นทำอะไร”
“ไม่ได้บอกเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นรู้ว่าเรื่องของคนรอบกายเฉิงฉือนั้นค่อนข้างซับซ้อน แต่เนื่องจากเขาไม่พูด นางก็เลยไม่เคยถามมาก่อน ด้วยกลัวว่าตนจะไปถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม แล้วทำให้เฉิงฉือไม่สบายใจ
โจวเจิ้นไม่ได้ถามต่อ
โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ทางด้านของท่านน้าฉือนั้น มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่าเจ้าคะ”
“นี่ค่อนข้างยากที่จะกล่าว” โจวเจิ้นกล่าว “ปีที่แล้วอากาศที่เมืองซีอันไม่ดี เป็นเหตุให้ได้พืชผลน้อยลง เป็นเพราะได้พืชผลส่งมาจากหูก่วงส่วนหนึ่ง ถึงได้ทำให้จัดส่งให้ทั้งเก้าฝ่ายได้อย่างทั่วถึง ตอนนี้เป็นฤดูเพาะปลูกพอดี ทางด้านเมืองซีอันกลับมีเรื่องพืชผลไม่เพียงพอเกิดขึ้นมาอีก หากสหายของน้าฉือของเจ้าผู้นั้นทำการผลิตพืชผลต่างๆ เกรงว่าพวกเขาคงคิดจะส่งพืชผลจากที่นี่ไปให้ทางโน้น”
โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “เมืองเป่าติ้งมีพืชผลเป็นจำนวนมากหรือเจ้าคะ”
“ก็ไม่เลวนัก” โจวเจิ้นกล่าว “หลายปีมานี้เมืองเป่าติ้งอากาศดีเหมาะแก่การเพาะปลูก”
อาหารคือสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์
หากชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดี หน้าที่การงานของบิดาก็ราบรื่น
โจวเจิ้นกล่าว “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าน้าฉือของเจ้าพักอยู่ที่ใด”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ กล่าวอย่างขออภัยว่า “ข้าลืมถามเจ้าค่ะ”
โจวเจิ้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร รอตอนที่เขามาเยี่ยมข้าค่อยว่ากันอีกทีก็ได้ หากเขาทำการค้านี้จริงๆ ข้าจะได้แนะนำคนให้เขาสักสองสามคน เขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก”
สองพ่อลูกพูดคุยกันกว่าครู่ใหญ่ ถึงได้แยกย้ายกันไป
แต่เมื่อโจวเสาจิ่นกลับมาถึงห้องกลับเห็นชุนหว่านและอีกหลายคนกำลังล้อมวงอยู่ตรงหัวเตียงของนางที่แขวนโคมไฟดอกบัวเอาไว้พร้อมกับพูดคุยกันอย่างอัศจรรย์ใจ
โจวเสาจิ่นยิ้มอ่อนหวาน ไล่ให้พวกนางไปนอน ทว่าตัวเองกลับซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม นอนมองโคมไฟดอกบัวอันนั้นอย่างแย้มยิ้มนอนไม่หลับ นางปลุกปี้เถาที่อยู่เวรในห้องของนาง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปถามเสี่ยวเชวี่ยสักหน่อยว่านกขมิ้นที่ท่านน้าฉือมอบให้ข้าคู่นั้นยังอยู่ดีหรือไม่”
เดิมทีเสี่ยวเชวี่ยคือบ่าวชายเด็กที่เฉิงฉือส่งมาเลี้ยงนกให้นาง ตอนนี้เขาช่วยเลี้ยงเสวี่ยฉิวสุนัขที่จี๋อิ๋งมอบให้ตัวนั้นด้วย
ปี้เถาขยี้ตา อ้าปากหาวครั้งหนึ่งพร้อมกับลุกขึ้นมา กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าเพิ่งไปดูนกสองตัวนั้นมา เสี่ยวเชวี่ยดูแลอย่างเอาใจใส่ยิ่งนักเจ้าค่ะ”
แต่โจวเสาจิ่นยังคงรู้สึกว่าควรจะไปดูสักหน่อยถึงจะวางใจ
ปี้เถาปรนนิบัตินางสวมเสื้อผ้า แล้วไปดูนกสองตัวนั้น นางถึงได้กลับมาเอนตัวลงนอนได้อย่างสบายใจ
เฉิงฉือพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่ว่าการเป่าติ้งนัก
เนื่องจากบรรดาขุนนางจากเหนือและใต้ห้าถึงหกในสิบส่วนล้วนต้องผ่านทางมาที่เมืองเป่าติ้ง ถึงแม้ว่าโรงเตี๊ยมที่อยู่ไม่ไกลจากที่ว่าการเป่าติ้งแห่งนี้จะไม่ใหญ่โตนัก ทว่าห้องพักของที่นี่กลับประดับตกแต่งเอาไว้อย่างงดงามหรูหรา ยิ่งไปกว่านั้นห้องพักแต่ละหลังยังมีสวนเล็กๆ ของตัวเองอีกด้วย
เฉิงฉือยืนอยู่ข้างบันไดของเรือนหลัก มองไปยังทิศทางของกำแพงที่ทำการเมืองเป่าติ้ง เอ่ยขึ้นเสียงจริงจังว่า “พวกเจ้ากล้ารับประกันหรือไม่ว่าเซียวเจิ้นไห่ยังอยู่ที่เมืองเป่าติ้ง”
“กล้ารับประกันขอรับ!” คนที่ตอบเขาเป็นบุรุษอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปีผู้หนึ่ง สวมชุดต่วนเฮ่อผ้าเนื้อหยาบ ท่าทางธรรมดาสามัญยิ่ง ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับสุกสกาวสว่างไสวประหนึ่งดวงดารา “ข้านำคนไปเฝ้าอยู่นอกเมืองด้วยตัวเอง แม้แต่นกที่บินออกจากเมืองเป่าติ้งยังไม่อาจหลุดรอดจากสายตาของพวกข้าได้แม้แต่ตัวเดียว”
เฉิงฉือได้ยินแล้วก็หัวเราะ เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นช่วงนี้มีนกบินออกจากเมืองเป่าติ้งกี่ตัว”
คนผู้นั้นตอบอย่างขึงขังว่า “เนื่องจากเป็นฤดูหนาว จึงมีนกบินออกจากเมืองเป่าติ้งทั้งหมดหกร้อยห้าสิบสี่ตัว และเนื่องด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกล จึงจนปัญญาที่จะระบุได้ชัดเจนว่าเป็นนกชนิดอะไรบ้าง แลมีสุนัขลอดออกมาจากกำแพงเมืองจำนวนห้าสิบแปดตัว แต่ว่าล้วนถูกพวกข้าจับกินหมดแล้ว…”
ไหวซานไม่พูดไม่กล่าวอะไร
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าดังลั่น เอ่ยขึ้นว่า “ดี ข้าจะรอข่าวดีจากเจ้า”
บุรุษหนุ่มค้อมตัวทำความเคารพ แล้วถอยออกไป
ไหวซานกล่าว “อวี๋มู่ของกลุ่มจินซา ดูมีอนาคตไกลนะขอรับ”
เฉิงฉือยิ้มทว่าไม่กล่าวอะไร
***
วันรุ่งขึ้น คนในจวนที่ว่าการล้วนพูดคุยกันถึงเรื่องงานเทศกาลโคมไฟเมื่อคืน ไม่เว้นแม้แต่ตระกูลโจว โดยเฉพาะบ่าวรับใช้ที่มิได้ไปเที่ยวงานฟังแล้วก็ยิ่งอิจฉายิ่งนัก โชคดีที่งานเทศกาลโคมไฟนี้มีจัดถึงวันที่สิบเจ็ดของเดือนหนึ่ง หลี่ซื่อจึงให้พวกบ่าวรับใช้ผลัดเปลี่ยนเวรกัน จะได้ออกไปเที่ยวเล่นได้ทั้งหมดทุกคน
บ่าวรับใช้ของตระกูลโจวต่างดีใจอย่างลิงโลดกันถ้วนหน้า สรรเสริญหลี่ซื่อว่าจิตใจดีมีคุณธรรม
ฮูหยินถานนำขนมบัวลอยที่ทำขึ้นเองมาเยี่ยมหลี่ซื่อ ถามถึงโจวเสาจิ่นขึ้นมา “เหตุใดเมื่อวานถึงไม่เห็นคุณหนูรองของพวกท่านออกไปเดินเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟเลยเล่า”
เดี๋ยวนี้ขอเพียงมีคนถามถึงเรื่องของโจวเสาจิ่นขึ้นมา หลี่ซื่อก็จะตั้งโล่กำบังขึ้นมาในใจอย่างระแวดระวังก่อนเป็นลำดับแรก รีบเอ่ยว่า “คุณหนูรองของพวกข้าไม่ค่อยชอบความวุ่นวายสักเท่าไรนัก บอกว่าตอนอาศัยอยู่ที่เมืองจินหลิงได้ไปดูโคมไฟอยู่บ่อยๆ ทุกครั้งล้วนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ครั้งนี้จึงให้นางพักผ่อนอยู่ในบ้าน นายท่านของพวกข้าเอ่ยอนุญาตแล้ว ข้าเองจึงไม่อาจกล่าวอะไรได้”
ฮูหยินถานกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองของพวกท่านช่างมีอุปนิสัยดีจริงๆ ไม่เหมือนเจ้าเด็กสองคนที่บ้านของพวกข้า แค่ได้ยินว่ามีของกินและมีของให้เล่นก็นั่งไม่ติดที่แล้ว”
หลี่ซื่อรู้ว่าบ้านของฮูหยินถานมีบุตรสาวสองคน ล้วนยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย เมื่อวานที่เจอกันตอนไปดูโคมไฟนั้น ฮูหยินถานกล่าวอ้อมๆ ว่าอยากให้บุตรสาวทั้งสองคนได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับโจวเสาจิ่น
ถ้าหากไม่มีเรื่องของคุณชายเหมียว หลี่ซื่อคงจะลองสอบถามความเห็นของโจวเสาจิ่นดูแล้ว ทว่าตอนนี้ หลี่ซื่อทำเสมือนฟังไม่เข้าใจ ปล่อยผ่านคำพูดนั้นไปเสีย
ฮูหยินถานรู้สึกผิดเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นั่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา
หลี่ซื่อไปส่งฮูหยินถานที่หน้าประตู
มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามา กล่าวเสียงกระหืดกระหอบว่า “ฮูหยินเจ้าคะฮูหยิน บุตรเขยใหญ่กับต้ากูไหน่ไหมาเจ้าค่ะ รถม้าจอดรออยู่หน้าประตู ท่านรีบไปดูสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ!”
น้ำเสียงนั้น ราวกับกำลังตะโกนบอกว่า “แย่แล้วเจ้าค่ะ” อย่างไรอย่างนั้น
หลี่ซื่อจึงไม่อาจสนใจฮูหยินถานต่อไปได้อีก กล่าวอย่างร้อนใจว่า “รีบไปเชิญนายท่านกลับมา” สั่งการหลี่มามาด้วยว่า “เจ้าเร่งไปเก็บกวาดเรือนรับรองแขก แล้วก็ไปบอกคุณหนูรองสักคำด้วย…” จากนั้นมุ่งหน้าเดินออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้าลงราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ หมุนกายกลับมาเอ่ยกับหลี่มามาว่า “ต้องไปสั่งการในครัวด้วย ให้เร่งทำอาหารมาสักหนึ่งโต๊ะ ถ้าหากทำไม่ทัน ก็ไปสั่งอาหารจากข้างนอกมาสักโต๊ะหนึ่ง…ช่างเถิดๆ พวกภัตตาคารยังไม่เปิดทำการ พวกเจ้าหาทางทำอาหารอะไรก็ได้มาสักโต๊ะหนึ่งก็แล้วกัน…”
หลี่มามาขานรับคำติดๆ กันไม่หยุด
หลี่ซื่อกึ่งวิ่งออกไปด้านนอก
ฮูหยินถานอดเบ้ปากไม่ได้
นี่ยังไม่พ้นช่วงเทศกาลปีใหม่เลย บุตรสาวคนโตของโจวเจิ้นที่แต่งงานออกไปที่เจิ้นเจียงกับบุตรเขยคนโตก็กลับมาที่บ้านเดิมแล้ว ใครจะรู้อาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็เป็นได้