ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 372 จัดแจงที่พัก
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เขาเป็นท่านน้าของพวกเรานี่นา”
ฟังจากความหมายที่กล่าวมาก็คือ เขาเป็นคนจากตระกูลมารดาของพวกนาง
ชาติก่อนเนื่องจากตัวเองเป็นเหตุ พี่สาวจึงตัดขาดการไปมาหาสู่กับตระกูลเฉิง มีเรื่องอะไรล้วนปรึกษาหารือกับพี่เขย…ทว่าตอนนี้ นางสบายดี พี่สาวมีเรื่องจึงไม่บอกพี่เขยแต่กลับยินดีจะพูดกับท่านน้าฉือ…
โจวเสาจิ่นเหงื่อตก
พี่สาวกับพี่เขยจะต้องไม่เหินห่างกันด้วยเหตุผลนี้ถึงจะดี!
นางเอ่ยขึ้นว่า “แต่เรื่องนี้ท่านพี่ควรจะคุยกับพี่เขยด้วยถึงจะถูก ข้าคิดว่าพี่เขยมิใช่คนที่เมื่อครอบครัวของภรรยามีเรื่องแล้วจะคิดว่าตนจะติดร่างแหไปด้วย แล้วตำหนิภรรยาประเภทนั้น ระหว่างสามีภรรยาก็ควรจะปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นจะพูดอะไรหรือกระทำเรื่องใดก็ต้องคอยปิดบังซ่อนหัวซ่อนหางเอาไว้ตลอด ช่างน่าเศร้านัก!”
โจวชูจิ่นฟังแล้วก็หัวเราะคิกออกมา จิ้มหน้าผากโจวเสาจิ่นพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “เป็นเด็กเป็นเล็ก จะรู้เรื่องอะไร ยังมาบอกข้าเรื่องหลักคำสอนของสามีภรรยาอีก…” ขณะที่นางกล่าวนั้น ดวงตาแพรวพราวระยิบระยับ ดูแล้วงดงามมีเสน่ห์ยิ่ง “แต่อย่างไรก็ตาม ที่เจ้าพูดมาก็ถูก เรื่องวุ่นวายหนึ่งกองใหญ่ของตระกูลพี่เขยเจ้านั้น นับตั้งแต่เกิดเรื่องที่พ่อสามีไปยืมเงินเป็นต้นมา เขาก็ไม่กล้ามองหน้าข้าตรงๆ อีกเลย เขาต้องรู้สึกไม่สบายใจมากเป็นแน่ เรื่องขมขื่นของครอบครัวพวกเราก็เป็นเรื่องไม่ค่อยดีนัก พี่เขยของเจ้าก็เลยระมัดระวังตัวมากถึงเพียงนี้”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นยิ้มร่าพร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด ประหนึ่งลูกนกจิกกินข้าวสาร
โจวชูจิ่นมองแล้วก็หัวเราะไม่หยุด พูดคุยถึงเรื่องทั่วไปภายในบ้านกับโจวเสาจิ่นขึ้นมา “…ความหมายของพี่เขยของเจ้าแล้ว อยากให้เจ้าพักอยู่ที่เรือนปีกตะวันตก แต่พวกเราเป็นคนจากทางใต้ มักจะรู้สึกว่าห้องที่อยู่ทางทิศใต้หันหน้าไปทางทิศเหนือถึงจะเป็นห้องที่ดี จึงจัดให้เจ้าไปอยู่ที่เรือนด้านหลัง แล้วก็ตั้งใจกั้นห้องขนาดสามห้องกั้นที่ติดกับทิศตะวันออกนี้ออกมา ทำเป็นลานเล็กๆ ให้เป็นพิเศษ เสียดายที่พี่สาวและพี่เขยของเจ้าไม่ร่ำรวย ไม่อย่างนั้นจะสร้างเรือนด้านหลังเพิ่มอีกหนึ่งชั้น ทำเป็นหอเย็บปักให้เจ้าได้สักแห่งหนึ่งแล้ว”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวว่า “เช่นนี้ก็ดีมากแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่ใกล้จะคลอดบุตรแล้ว อย่าต้องเปลืองเรี่ยวแรงและเงินทองมากขนาดนั้นเลย รอให้ข้ามีหลานชายแล้ว ท่านค่อยสร้างเรือนด้านหลังเพิ่มอีกหนึ่งชั้นก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นหน้าแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “พี่เขยเจ้าบอกว่า จะให้ดีท้องนี้ควรจะเป็นบุตรสาว”
บุตรสาวจิตใจละเอียดอ่อน เชื่อฟัง เป็นดั่งกระดุมเสื้อ[1]ของมารดา ต่อไปเมื่อมีบุตรชายเพิ่มเข้ามาบุตรสาวก็ช่วยมารดาดูแลน้องชายได้
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม
โจวชูจิ่นกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินต้องดูแลข้า ก็เลยจัดให้พักอยู่ที่เรือนปีกตะวันออก เวลามีเรื่องอะไรตะโกนเรียกก็ได้ยินแล้ว คนในบ้านเป็นคนที่พวกเราพามาด้วยจากทางใต้ พวกเขาไม่คุ้นกับสถานที่และผู้คน จึงน่าจะอยู่อย่างสงบอยู่ภายในบ้านมากกว่า ส่วนคนที่หน้าประตูนั้นเจ้าเองก็ได้เจอแล้ว ครอบครัวแซ่หยางครอบครัวนั้น เป็นคนจิงเฉิง ไม่ว่าที่ไหนล้วนรู้จักหมด หากเจ้าอยากออกไปข้างนอก ก็ให้นางไปเป็นเพื่อน” จากนั้นหยิบถุงเงินออกมายื่นส่งให้นางถุงหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ในนี้เป็นเศษลิ่มเงินจำนวนยี่สิบเหลี่ยง เจ้าเอาไว้ใช้เป็นค่าขนม หากไม่พอ ก็ให้มาบอกพี่สาว”
โจวเสาจิ่นรับมาอย่างไม่เกรงใจ
โจวชูจิ่นยิ้มพร้อมกับลุกขึ้น เอ่ยขึ้นว่า “เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เจ้าไปพักผ่อนครู่หนึ่งเถิด ถึงเวลาพวกเราค่อยไปรับสำรับค่ำด้วยกันที่ห้องโถง ส่วนทางด้านของท่านน้าฉือนั้น พวกเราค่อยหาโอกาสไปกล่าวขอบคุณเขาที่เป็นผู้อาวุโสด้วยกันสักครั้งหนึ่ง”
ผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นนึกถึงท่าทางของเฉิงฉือแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ไปส่งพี่สาวที่ประตู
ฝานหลิวซื่อกำลังคุยกับหยางมามาผู้นั้นอยู่ตรงทางเดิน “…ตรอกซอยแถบนี้เกือบทุกบ้านล้วนปลูกต้นอวี๋เอาไว้ ดังนั้นชื่อซอยจึงมีคำว่า ‘อวี๋’ ประกอบอยู่ ท่านดูซอยที่อยู่ทางทิศตะวันออกซอยนั้น มีชื่อว่าซอยซวงอวี๋ ถัดออกไปก็เป็นซอยอวี๋เฉียน ซอยอวี๋ซู่ของพวกเรานี้ต่างหากที่เป็นซอยหลักที่แท้จริง”
โจวเสาจิ่นรู้สึกยินดีอยู่ในใจ
นางกำลังกังวลอยู่พอดีด้วยไม่รู้ว่าบ้านของท่านน้าฉือต้องเดินไปทางไหน!
แต่เมื่อฝานหลิวซื่อกับหยางมามาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็หยุดบทสนทนาลงหมุนกายกลับมาทำความเคารพโจวเสาจิ่นสองพี่น้อง หยางมามาผู้นั้นก้าวเข้ามาประคองโจวชูจิ่นอย่างกระตือรือร้น เอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็นวันแรกที่ข้าได้พบฮูหยินและคุณหนูรอง จึงคิดว่าควรมาทำความรู้จักเอาไว้ ต่อไปเวลาพวกหมัวมัวหรือแม่นางทั้งหลายมีเรื่องอะไรต้องการใช้งานข้า ข้าจะได้ไม่จำคนผิดเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าวางใจเถิด ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี ข้าไม่มีทางเอาเปรียบคนข้างกายอย่างแน่นอน เจ้าลองถามคนข้างกายของข้าดูก็รู้แล้ว”
“ดูสะใภ้ใหญ่กล่าวสิเจ้าคะ ทำให้ข้าซาบซึ้งยิ่งนักแล้ว” หยางมามารีบแสดงความจงรักภักดี “แค่เห็นสะใภ้ใหญ่ครั้งแรกข้าก็รู้แล้วว่าสะใภ้ใหญ่เป็นคนจิตใจดีผู้หนึ่ง พอได้ยินว่าจะได้มาเป็นบ่าวรับใช้อยู่ที่บ้านของสะใภ้ใหญ่ ก็ดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืนเลยเจ้าค่ะ…”
โจวชูจิ่นกล่าวตัดบทสนทนาของนางยิ้มๆ ว่า “เอาละๆ เจ้าก็อย่าเจ้าสำบัดสำนวนอีกเลย จะดีหรือไม่ดี ข้าจะคอยดูก็แล้วกัน!”
หยางมามาผู้นั้นเอ่ยคำสาบานอีกคำรบหนึ่ง เป็นเหตุให้ฝานหลิวซื่อหัวเราะอย่างขบขันไปด้วย
โจวเสาจิ่นครุ่นคิด ตัดสินใจจะไปดูหลี่ซื่อสักหน่อย
โจวชูจิ่นไม่เข้าใจ
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร พวกเราก็เป็นบุตรสาว สุภาพต่อกันไว้ การใช้ชีวิตในช่วงนี้ก็จะได้ราบรื่นขึ้นอีกสักหน่อยเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ ทว่าก็ไม่ได้ห้ามโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นยิ้ม ดึงตัวโจวชูจิ่นเดินไปที่ลานหลักด้วยกัน
โจวโย่วจิ่นกำลังซุกตัวนอนหลับอยู่บนตั่งอิฐโดยมีแม่นมอยู่เป็นเพื่อน ใบหน้าน้อยนั้นแดงเรื่อ น่ารักน่าชังยิ่งนัก ส่วนหลี่ซื่อคอยกำกับพวกบ่าวไพร่จัดแต่งห้องหับอยู่ เมื่อมีบ่าวรับใช้ทำเสียงดังขึ้นมาเป็นครั้งคราว หลี่ซื่อก็จะขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยว่า “เบาเสียงลงหน่อย ระวังอย่าทำให้คุณหนูสามตื่น”
โจวเสาจิ่นหันไปยิ้มกับโจวชูจิ่น
โจวชูจิ่นหยิกโจวเสาจิ่นไปครั้งหนึ่ง เดินเข้าไปพร้อมน้องสาวยิ้มๆ เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินมีเรื่องอะไรก็ให้คนข้างกายไปทำให้ก็ได้แล้ว เดินทางมาไกลขนาดนี้ อีกทั้งยังต้องดูแลพวกข้าสามพี่น้องอีก คาดว่าคงจะเหนื่อยล้าไม่น้อยแล้ว ไปพักผ่อนสักครู่เถิด ระวังจะเหนื่อยจนร่างกายไม่ไหว!”
หลี่ซื่อประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ขอบตาพลันแดงขึ้นมา กล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูต้ากูไหน่ไนพูดเข้า ข้ามิใช่คนบอบบางเป็นกระดาษเช่นนั้น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ทำให้ข้าเหนื่อยได้ เป็นต้ากูไหน่ไนที่ต้องระวังเอาไว้สักหน่อยถึงจะถูก ข้าดูแล้วคุณชายน้อยผู้นี้เมื่อคลอดออกมาแล้วต้องเป็นเด็กอารมณ์ดีผู้หนึ่งอย่างแน่นอน ออกเดินทางมาพร้อมต้ากูไหน่ไนและบุตรเขยไกลถึงเพียงนี้ ทว่ากลับไม่เคยร้องไม่มีอาการอะไรเลย ช่างเป็นเด็กดียิ่งนัก”
โจวชูจิ่นได้ยินแล้วก็อดลูบท้องของตัวเองไม่ได้ ใบหน้าเผยแววอบอุ่นออกมาให้เห็น น้ำเสียงก็อ่อนลงหลายส่วน เอ่ยขึ้นว่า “ขอให้สมดังคำอวยพรของฮูหยินเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยี
เช่นนี้ช่างดียิ่ง!
ทุกคนต่างอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม มีเรื่องอะไรก็ปรึกษาหารือกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เมื่อกลับถึงห้องนางก็เริ่มจัดเตรียมชุดสำหรับไปซอยอวี๋เฉียน
เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่นางจะได้ไปเยี่ยม เฉิงฉือก็มาเยี่ยมพวกเขาเสียก่อน
เลี่ยวเส้าถังไม่กล้าละเลย เชิญเฉิงฉือไปนั่งในห้องโถง
เฉิงฉือถามถึงสถานการณ์ภายในบ้าน เมื่อรู้ว่าทุกอย่างล้วนจัดการได้อย่างเรียบร้อยดีแล้ว ก็กล่าวขึ้นว่า “อีกสองวันข้าต้องออกเดินทางไปข้างนอกสักครั้งหนึ่ง หลังวันที่สามเดือนสามถึงจะกลับมา หากพวกเจ้ามีเรื่องอะไร ก็ให้ไปบอกพ่อบ้านของข้า ข้าจะไม่อยู่บ้านสักระยะหนึ่ง”
เลี่ยวเส้าถังขานรับคำอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ”
เฉิงฉือลุกขึ้นกล่าวอำลา
เมื่อเลี่ยวเส้าถังกลับไปถึงเรือนด้านหลัง ก็กล่าวกับสองพี่น้องตระกูลโจวอย่างไม่เข้าใจว่า “ท่านน้าฉือจะออกจากบ้าน เหตุใดต้องมาบอกพวกเราถึงที่นี่เป็นการเฉพาะด้วย ต่อให้ข้ามีเรื่องอะไร ก็ทำได้แค่ไปขอร้องนายท่านผู้เฒ่ารองเท่านั้น จะไปขอร้องถึงท่านน้าฉือได้อย่างไร” แล้วก็ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “เจ้าว่า ท่านน้าฉือไม่อยู่บ้านของตระกูลเฉิงที่ซอยซิ่งหลิน แล้วก็ไม่อยู่บ้านของนายท่านผู้เฒ่าเซ่าที่ซอยซวงอวี๋ ทว่ากลับใช้เงินก้อนใหญ่ซื้อบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของนายท่านผู้เฒ่าเซ่าแล้วย้ายเข้าไปอยู่เพียงลำพัง…นายท่านผู้เฒ่าเซ่าอาศัยอยู่ที่ซอยซวงอวี๋เพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยว บ้านหลังใหญ่ขนาดนั้น ท่านน้าฉือเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนด้วยก็ดียิ่งนี่นา…ต่อให้มีเงินก็ไม่จำเป็นต้องใช้อย่างฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้นี่นา!”
คำบอกกล่าวนี้ของท่านน้าฉือคงเป็นการบอกให้ตนได้ยินกระมัง
ไม่รู้ว่าเขากำลังจะไปที่ไหน
ควรจะต้องหาเวลาว่างหรือไม่ก็ส่งใครสักคนไปสอบถามดูสักหน่อย
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่ในใจ
ทว่าโจวชูจิ่นกลับเอ่ยขึ้นว่า “บ้านที่นี่ราคาแพงมากหรือเจ้าคะ”
“บ้านของพวกเราทางนี้ไม่แพง” เลี่ยวเส้าถังกล่าว “ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบ้านเก่าแก่ดั้งเดิมของคนที่นี่ บ้านที่ซอยซวงอวี๋กับซอยอวี๋เฉียนทางด้านโน้นต่างหากถึงจะแพง ส่วนใหญ่เป็นบ้านของขุนนางที่มาจากทางใต้”
โจวชูจิ่นราวกับจมอยู่ในห้วงความคิดบางอย่าง กระซิบถามโจวเสาจิ่นว่า “ท่านน้าฉือมีปัญหาอะไรกับที่บ้านหรือเปล่า”
โจวเสาจิ่นไม่อยากให้มีใครมาตำหนิติเตียนเฉิงฉือ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เกรงว่าน่าจะเป็นเพราะรู้สึกว่าอยู่กับผู้อาวุโสหรือพวกพี่ชายแล้วจะวุ่นวายกระมัง ที่ผ่านมาท่านน้าฉือคงมีอิสระจนเคยชินไปแล้วเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นรู้สึกว่าที่โจวเสาจิ่นพูดมามีเหตุผลยิ่ง วันรุ่งขึ้นนำเทียบไปคารวะเฉิงเซ่าที่ซอยซวงอวี๋
เฉิงเซ่าติดตามองค์ฮ่องเต้ไปอยู่ที่ซีย่วนระยะหนึ่ง บอกว่าอีกสองสามวันถึงจะกลับมา นอกจากนี้ยังบอกพวกเขาด้วยว่า เฉิงจิงก็ตามไปด้วยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นแสยงซอยซิ่งหลินยิ่งนัก ได้ยินเช่นนั้นจึงโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
โจวชูจิ่นจึงให้เลี่ยวเส้าถังพาหลี่ซื่อกับโจวเสาจิ่นและโจวโย่วจิ่นสองพี่น้องออกไปเดินเล่นที่วัดต้าเซียงกั๋วยามมีวันหยุด “ข้าท้องโตแล้วไปไม่ไหว ไม่ง่ายเลยกว่าฮูหยินกับพวกน้องสาวจะได้มาจิงเฉิงสักครั้ง อย่างไรก็ต้องออกไปเดินเล่นสักหน่อยถึงจะดี”
หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “รอให้คลอดหลานชายออกมาอย่างปลอดภัยแล้ว พวกเราค่อยไปก็ยังไม่สาย”
โจวเสาจิ่นเองก็เอ่ยขึ้นว่า “อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ รออีกสักระยะหนึ่งแล้วค่อยไปจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
เลี่ยวเส้าถังเป็นห่วงภรรยา คำพูดของหลี่ซื่อกับโจวเสาจิ่นตรงกับความปรารถนาของเขาพอดี เขาเองก็กล่าวหว่านล้อมโจวชูจิ่นด้วย
โจวชูจิ่นยิ้ม กล่าวกับเลี่ยวเส้าถังว่า “ท่านคงไม่อยากออกจากบ้านกระมัง”
เลี่ยวเส้าถังยิ้มทว่าไม่ได้กล่าวอะไร
หลังจากนั้นสองสามวันก็มีจดหมายส่งมาจากฮูหยินใหญ่เลี่ยวที่เจิ้นเจียง บอกว่าเรื่องหนี้สินนั้นทั้งหมดล้วนไม่มีมูลความจริง ให้พวกเขาไม่ต้องเป็นกังวลใจ ถ้าหากต่อไปนายท่านใหญ่เลี่ยวมีเรื่องต้องใช้เงิน ให้พวกเขาไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น เพียงบอกนางก็พอ นางจะจัดการกับนายท่านใหญ่เลี่ยวเอง จากนั้นบอกให้พวกเขาไม่ต้องไปสนิทสนมกับคนทางบ้านตระกูลเลี่ยวนัก แต่ต้องไปมาหาสู่กับญาติฝั่งตระกูลฟางซึ่งเป็นตระกูลเดิมของฮูหยินใหญ่เลี่ยวที่อาศัยอยู่ที่จิงเฉิงให้มากถึงจะถูก สุดท้ายถามถึงการรวบรวมเขียน ‘แผนผังเมืองหลวง’ ของเลี่ยวเส้าถังว่าไปถึงไหนแล้ว หาหมอตำแยได้หรือยัง ให้ขอบคุณหลี่ซื่อแทนนางด้วยที่อุตส่าห์เดินทางมาจากเมืองเป่าติ้งเพื่อดูแลโจวชูจิ่นและอื่นๆ โจวชูจิ่นถึงได้วางใจลงได้ นึกถึงว่าตอนที่ตนอยู่เดือนนั้นอากาศน่าจะค่อยๆ อบอุ่นขึ้นแล้ว นางก็เลยไม่มีเวลาไปสนใจโจวเสาจิ่น เพียงหารือกับหลี่ซื่อแล้วก็เรียกช่างตัดเย็บเข้ามาตัดเย็บเสื้อผ้า
ให้โจวเสาจิ่น โจวโย่วจิ่นและหลี่ซื่อคนละสี่ชุด
หลี่ซื่อคิดไม่ถึงว่าจะมีของตัวเองด้วย รู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย เมื่อกลับไปก็เอ่ยกับหลี่มามาเป็นการส่วนตัวว่า “เป็นตอนนี้เองที่ข้ารู้สึกว่าตัวเองได้แต่งเข้าตระกูลโจวมาอย่างแท้จริงแล้ว”
หลี่มามาเองก็ดีใจแทนหลี่ซื่อด้วย ให้หลี่ซื่อเขียนจดหมายกลับไปบอกบิดามารที่บ้านเดิม “ฮูหยินกับนายท่านจะได้ไม่ต้องเอาแต่เป็นห่วงท่านเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อพยักหน้า
ในบ้านพลันคึกครื้นขึ้นมาประหนึ่งช่วงปีใหม่ก็ไม่ปาน
มีเพื่อนบ้านทยอยกันมาเยี่ยมเยียนโจวชูจิ่น
โจวชูจิ่นจึงให้ในครัวทำของว่างไปให้เป็นการตอบแทน
วันนั้นพวกนางสองพี่น้องพร้อมด้วยหลี่ซื่อกำลังชิมของว่างที่ในครัวเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ กันอยู่ หยางมามาก็วิ่งเข้ามาด้วยเหงื่อท่วมศีรษะ เอ่ยขึ้นอย่างลนลานเล็กน้อยแต่ก็ยากจะปิดความยินดีเอาไว้ว่า “สะใภ้ใหญ่เจ้าคะ มามาของจวนใต้เท้าซ่ง หรือก็คือคนจากจวนของใต้เท้าซ่งหรือขุนนางใหญ่ซ่งผู้กำกับดูแลกรมการคลังผู้นั้นส่งเทียบมาให้ท่าน บอกว่าฮูหยินซ่งอยากจะมาเยี่ยมเยียนท่านในวันมะรืนที่จะถึงนี้ ท่านเห็นว่าควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
โจวชูจิ่นประหลาดใจ เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินซ่งทราบได้อย่างไรว่าพวกเรามาจิงเฉิง”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ
นางนึกถึงซ่งเซินจอมซนผู้นั้นขึ้นมา
……………………………………………………………..
[1] บุตรสาวเป็นดั่งกระดุมเสื้อของมารดา เปรียบเปรยถึงบุตรสาวเป็นคนที่ใกล้ชิดมารดามากที่สุด เสมือนกับกระดุมเสื้อที่อยู่ใกล้หัวใจของมารดาผู้สวมใส่มากที่สุด