ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 374 เด็กฉลาดแสนรู้
ซ่งมู่อยู่ด้วย ต่อให้บ่าวชายเด็กผู้นั้นจะมีความคิดอะไรก็ไม่กล้าพูดอยู่แล้ว!
เขาก้มศีรษะลง เอ่ยขึ้นว่า “บ่าวไม่ทราบขอรับ!”
“ช่างเป็นคนโง่เขลาผู้หนึ่งจริงๆ!” ซ่งเซินด่าว่า
ซ่งมู่รู้สึกแปลกใจขึ้นมา
นับตั้งแต่ที่น้องชายของเขาผู้นี้กลับมาจากไปรับท่านปู่ที่เมืองจิงโจวเป็นต้นมา ไม่ว่าจะอ้าปากหรือปิดปากล้วนเอ่ยถึง ‘พี่นางฟ้า’ ที่เมืองจินหลิงของเขาผู้นั้นอยู่เสมอ อย่างเช่น ญาติผู้พี่ที่ทุกคนต่างชื่นชมล้วนไม่งดงามเท่า ‘พี่นางฟ้า’ ของเขา ของว่างที่คนในบ้านทำล้วนไม่อร่อยเท่าของที่ ‘พี่นางฟ้า’ ของเขาทำ ท่านแม่พูดจาไม่อ่อนโยนน่าฟังเท่า ‘พี่นางฟ้า’ ของเขา…ยังข่มขู่เขาบ่อยๆ ว่า ท่านปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ ข้าจะไม่ให้ ‘พี่นางฟ้า’ ของข้าแต่งกับท่านแล้วอีกด้วย
ซ่งมู่ได้ยินได้ฟังจนหูชาไปหมด ทว่าไม่เคยเก็บมาใส่ใจ
เด็กน้อยจะไปรู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีกัน ผู้ใดดีกับเขา เขาก็รู้สึกว่าคนผู้นั้นอะไรก็ดีไปหมด ผู้ใดไม่ดีกับเขา เขาก็รู้สึกว่าคนผู้นั้นไม่มีตรงส่วนไหนเป็นที่น่าพอใจ
แต่ครั้งนี้หลังจากที่ซ่งเซินกลับมาจากบ้านของ ‘พี่นางฟ้า’ ผู้นั้นกลับไม่เอ่ยถึงเรื่องจะยก ‘พี่นางฟ้า’ ผู้นั้นมาเป็นภรรยาของเขาอีกแล้ว…น้องชายของเขาเขารู้จักดีที่สุด พูดจาน่าฟังสักหน่อยก็คล้อยตามด้วยจิตใจที่หนักแน่น พูดจาไม่น่าฟังก็ต่อต้านขัดขืน การยอมประนีประนอมอย่างง่ายดายเช่นนี้ ดูไม่เหมือนนิสัยของน้องชายเลยนี่นา
เขาอดไม่ได้กล่าวยิ้มๆ ว่า “ ‘พี่นางฟ้า’ ของเจ้าพูดอะไรกับเจ้าบ้างหรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจ…”
ซ่งเซินได้ยินแล้วก็ร้อง “เหอะ” เสียงเย็นครั้งหนึ่ง ชำเลืองมองเขาอย่างหยิ่งทะนงหนึ่งครั้ง เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่บอกท่านหรอก!”
ซ่งมู่หัวเราะฮ่าดังลั่น กล่าวว่า “เป็นเพราะ ‘พี่นางฟ้า’ ของเจ้าไม่สนใจเจ้า เจ้าไม่รู้จะอธิบายกับข้าอย่างไร ฉะนั้นถึงได้กล่าวเช่นนี้กระมัง เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ถือเอาคำพูดไร้สาระของเจ้าก่อนหน้าเหล่านั้นมาคิดเป็นจริงเป็นจังหรอก”
ก่อนหน้านี้ซ่งเซินมักจะพูดอยู่ตลอดว่าโจวเสาจิ่นดีกับเขาอย่างไรบ้าง หากเขาออกหน้าเป็นพ่อสื่อให้ซ่งมู่ โจวเสาจิ่นจะต้องเอาไปไตร่ตรองอย่างใส่ใจแน่นอน
ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่ชายใช้กลยุทธ์ยุแยงเขา ซ่งเซินก็ยังคงติดกับดักอย่างช่วยไม่ได้ ตะโกนกล่าวเสียงดังว่า “ใครว่าเล่า! เป็นเพราะ ‘พี่นางฟ้า’ ถามข้าว่าเหตุใดข้าถึงอยากให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ของข้า ข้าจึงบอกไปว่า หากท่านมาเป็นพี่สะใภ้ของข้าก็จะได้มาอยู่บ้านของพวกข้า ‘พี่นางฟ้า’ บอกว่า…”
เขาบอกเล่าคำพูดทั้งหมดของโจวเสาจิ่นให้ซ่งมู่ฟังอย่างออกรสออกชาติ ยิ่งไปกว่านั้นยังกลัวว่าซ่งมู่จะคิดว่าโจวเสาจิ่นพูดจาเถรตรงเกินไป จึงเติมพริกเติมเกลือเพิ่มเข้าไปว่า “…ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบิดามารดาและการทาบทามจากแม่สื่อ การที่ข้าไปพูดกับนางเช่นนั้นไม่ถูกต้อง”
ซ่งมู่รู้สึกเลื่อมใสโจวเสาจิ่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ซ่งเซินนั้นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยยอมรับว่าตัวเองมีความผิดมาก่อน
เขาพลันรู้สึกสนใจในตัวโจวเสาจิ่นขึ้นมาเป็นอย่างมากในทันทีทันใด
“เจ้าบอกว่า ‘พี่นางฟ้า’ ของเจ้าเป็นคุณหนูที่มาอาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูของตระกูลเฉิง” ซ่งมู่กล่าวยิ้มๆ “นางแซ่อะไร ปีนี้อายุเท่าไร แล้วมาจิงเฉิงได้อย่างไร”
ซ่งเซินเหลือบตามองซ่งมู่อย่างยียวนไปครั้งหนึ่ง ร้อง “หึ” ออกมาอย่างเย้ยหยันไปหนึ่งเสียง
ซ่งมู่จึงกล่าวขึ้นว่า “หากเจ้าบอกข้า ครั้งหน้าเวลาเจ้าไปเจอ ‘พี่นางฟ้า’ ของเจ้า ข้าจะทำให้หัวเข่าของเจ้าดูเหมือนถูกลงโทษให้นั่งคุกเข่ามา”
“จริงหรือขอรับ!” ดวงตาของซ่งเซินเป็นประกาย
ซ่งมู่ปรายตามองซ่งเซินครั้งหนึ่งไม่ได้กล่าวอะไร
ซ่งเซินหัวเราะอย่างขัดเขิน เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่เป็นสุภาพบุรุษ คำพูดย่อมมีน้ำหนัก ข้าไม่ควรไปสงสัยในตัวท่านพี่”
ซ่งมู่อดไม่ได้ลูบผมของซ่งเซินเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “นับว่าเจ้ารู้ความ ไม่อย่างนั้นจะลงโทษให้เจ้าคัด ‘คัมภีร์สามอักษร’ เพิ่มอีกสองจบ”
ซ่งเซินได้ยินแล้วก็ดึงแขนเสื้อของพี่ชายเอาไว้กล่าวออดอ้อนว่า “ท่านพี่ๆ ท่านพี่ผู้แสนดี ท่านให้ข้าคัดน้อยลงอีกสักสองจบเถิดนะขอรับ! ต่อไปข้าจะเชื่อฟังคำของท่านอย่างแน่นอน”
สำหรับซ่งเซินแล้วคำพูดนี้ก็เสมือนกับการดื่มน้ำ ซ่งมู่ยังคงนิ่งไม่ขยับ เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอยากให้ท่านพ่อกลับมาแล้วลงโทษให้เจ้าไปคัดที่หอบรรพชน หรือว่าจะคัดอยู่ในห้องหนังสือของข้าที่นี่”
ซ่งเซินไม่กล่าวอะไรอีก ก้มศีรษะลงไปคัดอักษรอย่างเชื่อฟัง
ซ่งมู่ส่ายศีรษะยิ้มๆ อย่างอ่อนใจ
***
ทางด้านซอยอวี๋ซู่หยางมามาที่เฝ้าเวรยามอยู่กลับดีใจเป็นอย่างยิ่ง แอบกล่าวกับฝานมามาว่า “คิดไม่ถึงว่าสะใภ้ใหญ่และคุณหนูรองของพวกเราจะมีเกียรติถึงเพียงนี้ ฮูหยินซ่งถึงกับมาเยี่ยมพวกนางสองพี่น้องด้วยตัวเอง แต่เหตุใดข้าดูแล้วเหมือนกับว่าฮูหยินซ่งผู้นั้นจะมาเยี่ยมคุณหนูรองเป็นการเฉพาะเลยเล่า”
นางก็อายุประมาณหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าชุนหว่านและสาวใช้คนอื่นๆ เป็นเด็กอีกรุ่นหนึ่ง พูดคุยไม่ค่อยถูกคอนัก ส่วนหลี่มามาเป็นคนของหลี่ซื่อ หากกล่าวอะไรผิดไปแล้วไปเข้าถึงหูของหลี่ซื่อคงไม่ดีแน่ ซางมามาก็เป็นคนเฉียบแหลมเกินไป ดวงตาคู่นั้นราวกับมองทะลุเข้าไปในจิตใจของเจ้าได้ คิดไปคิดมา มีเพียงฝานมามาคนข้างกายของคุณหนูรองเท่านั้นที่ดีที่สุด ทั้งเป็นคนสุภาพและเป็นมิตร กระทำอะไรก็ระมัดระวัง พูดจาก็น่าฟัง เวลาว่างนางจึงมาพูดคุยเล่นกับฝานมามา
ฝานมามาไม่ชอบคนที่ชอบนินทาผู้อื่น กล่าวยิ้มๆ ว่า “เหตุใดข้าถึงมองไม่ออกว่าเป็นเช่นนั้นเลยเล่า ฮูหยินซ่งกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ซอยจิ่วหรูมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ตอนที่ต้ากูไหน่ไนยังไม่ออกเรือนนั้นเคยให้การรับรองฮูหยินซ่งพร้อมกับคุณหนูรอง ที่ฮูหยินซ่งมาในครั้งนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะอยากมาตอบแทนน้ำใจให้กันสักครั้งหนึ่งก็เท่านั้นกระมัง”
หยางมามายังปรารถนาจะกล่าวอะไรอีก ทว่าทางด้านซอยซิ่งหลินและซอยซวงอวี๋ส่งพ่อบ้านมา กล่าวว่าได้รับเทียบที่โจวเสาจิ่นสองพี่น้องฝากเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่พวกเขาเพิ่งกลับมาจากซีย่วน ยังยุ่งอยู่กับงานราชการ จึงไม่เชิญสองพี่น้องไปรำลึกความหลังแล้ว ให้เลี่ยวเส้าถังไปรับประทานอาหารด้วยสักมื้อยามมีเวลาว่างก็พอ แล้วก็ส่งของขวัญมีราคาเป็นสองเท่าของพวกเขากลับมาให้เป็นการตอบแทน
โจวเสาจิ่นรู้ดีว่านี่เป็นเพราะทั้งสองครอบครัวต่างไม่มีนายหญิงของบ้านอยู่ที่นี่ด้วย แม้นพวกเขาจะเป็นผู้อาวุโส แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงญาติฝั่งมารดา เฉิงเซ่าและเฉิงจิงล้วนรับของขวัญของพวกนางเอาไว้แล้ว เวลามีเรื่องอะไรก็ให้เลี่ยวเส้าถังไปแจ้งสักคำก็พอ
เลี่ยวเส้าถังจึงหาเวลาว่างไปคารวะเฉิงจิงและเฉิงเซ่า
เฉิงจิงถามเลี่ยวเส้าถังว่าจะลงสนามสอบเมื่อใด ส่วนเฉิงเซ่าถามเขาว่าเมื่อไรจะได้มาช่วยเขารวบรวมการเขียน ‘แผนผังเมืองหลวง’…เลี่ยวเส้าถังกลับก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “ผู้อาวุโสทั้งสองท่านล้วนจิตใจดีและมีความรอบรู้ ชอบชี้แนะให้คำแนะนำคนรุ่นเด็กกว่า”
“เช่นนี้ดียิ่งเจ้าค่ะ!” โจวชูจิ่นเองก็คาดหวังให้สามีของตัวเองได้มีหน้ามีตาขึ้นมา ตอนที่สาวใช้ช่วยเขาล้างหน้าล้างตานั้นนางก็ยืนอยู่ข้างๆ คอยยื่นผ้าเช็ดหน้าอะไรต่างๆ ให้ เอ่ยขึ้นว่า “คนที่เข้าออกซอยซวงอวี๋เหล่านั้นล้วนเป็นจิ้นซื่อหรือไม่ก็จวี่เหรินกระมัง คุณชายใหญ่ไปแล้วน่าจะได้ทำเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ เป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน แต่อย่างที่มีคำกล่าวสืบต่อกันมาว่า คนที่ยืนหยัดจนผ่านพ้นความยากลำบากไปได้เท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จได้ มิใช่ว่าใครที่ไหนก็มีโอกาสเหมือนคุณชายใหญ่ที่ได้โอกาสไปช่วยรวบรวมการเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่งตั้งแต่อายุน้อยๆ เช่นนี้ คิดเสียว่าความยากลำบากพวกนั้นเป็นการจ่ายค่าเล่าเรียนส่วนตัวก็แล้วกันเจ้าค่ะ…”
การรวบรวมเขียนหนังสือเล่มใหญ่อย่าง ‘แผนผังเมืองหลวง’ นั้น ไม่มีทางกระทำสำเร็จโดยคนไม่กี่คนได้ บัณฑิตอาวุโสหลายท่านของสำนักฮั่นหลินล้วนเข้าร่วมด้วย เพียงแต่ว่าองค์ฮ่องเต้ทรงระบุมาว่าให้เฉิงเซ่าเป็นหัวหน้าผู้รวบรวมก็เท่านั้น และมีบัณฑิตอาวุโสที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงหลายท่านของสำนักฮั่นหลินมาช่วยกันรวบรวมเขียนหนังสือ เลี่ยวเส้าถังไปก็เพียงช่วยเรื่องซ่อมแซมแผนที่เก่าๆ จดบันทึกความคิดต่างๆ หรือไม่ก็คัดลอกต้นฉบับเท่านั้น ส่วนเรื่องการรวบรวมเขียนหนังสือนั้น แน่นอนว่ามาไม่ถึงคราวของเขาอยู่แล้ว
เลี่ยวเส้าถังหัวเราะฮ่าดังลั่น เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าใจเหตุผลในข้อนี้ดี ข้าย่อมไม่รู้สึกว่าอยุติธรรมอย่างแน่นอน เดิมทีความรู้ของข้าก็เทียบไม่ได้กับคนเหล่านั้นอยู่แล้ว การต้องทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นถือเป็นเรื่องสมควรแล้ว ก็เหมือนที่เจ้ากล่าวมา โอกาสเช่นนี้มิใช่ได้มาง่ายๆ มิใช่ว่าใครๆ ก็ได้โอกาสเช่นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ เหมือนข้าได้” กล่าวถึงตรงนี้ เขาพึมพำเอ่ยว่า “ทางด้านของท่านน้าฉือนั้น พวกเราควรจะหาทางไปกล่าวขอบคุณสักครั้งหรือไม่”
“รอท่านน้าฉือกลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถิดเจ้าค่ะ!” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “พวกเราต้องขอบคุณท่านน้าฉือดีๆ สักครั้งอยู่แล้ว เขาผู้นี้ดูเงียบๆ และเย็นชาไม่น่าเข้าใกล้นัก แต่กลับใส่ใจทุกเรื่อง อย่างการไปเมืองเป่าติ้งในครั้งนี้ ท่านน้าฉือมอบซางมามาให้น้องรองโดยไม่บอกไม่กล่าว ด้วยเพราะเห็นว่าน้องรองขาดมารดามาตั้งแต่เล็ก ข้างกายขาดคนคอยชี้แนะ กลัวว่านางจะเสียมารยาทยามอยู่ต่อหน้าบรรดาญาติพี่น้อง ถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ…น้ำใจครั้งนี้ พวกเราก็ต้องจดจำเอาไว้ในใจด้วยเช่นกันถึงจะถูก”
เลี่ยวเส้าถังขานรับคำยิ้มๆ
วันต่อมาไปช่วยรวบรวมเขียนหนังสือที่สำนักฮั่นหลิน
แต่ไม่รอให้ถึงวันพักของเขา โจวชูจิ่นก็ปวดท้องคลอด
ปวดอยู่หนึ่งคืน ในที่สุดนางก็คลอดทารกชายน้ำหนักเจ็ดจินแปดเหลี่ยง[1]ออกมาผู้หนึ่งอย่างราบรื่นปลอดภัย
เลี่ยวเส้าถังเขียนจดหมายกลับไปแจ้งที่เจิ้นเจียง ขอให้นายท่านใหญ่เลี่ยวตั้งชื่อให้บุตรชาย
โจวชูจิ่นเหนื่อยอ่อนทว่าดวงหน้ากลับเปี่ยมไปด้วยความสุขขณะเอนกายพิงอยู่กับหัวเตียงให้หลี่ซื่อป้อนข้าวหมากไข่ลวกให้นางกิน
ส่วนโจวเสาจิ่นอุ้มทารกผู้นั้นเอาไว้มองตาไม่กะพริบ
หลี่ซื่อมองแล้วก็เอ่ยเย้าหยอกนางว่า “ดูคุณหนูรองของพวกเรา มองหลานชายจนตาค้างตะลึงงันไปแล้ว”
โจวเสาจิ่นมองจนตาค้างตะลึงงันไปแล้วจริงๆ
แม้นเวลาเกิดและวันที่เกิดจะไม่ใช่ แต่เด็กผู้นี้กับเลี่ยวเฉิงฟางในชาติก่อนกลับเหมือนกันราวกับคัดลอกกันออกมาก็ไม่ปาน
นางกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านพี่ พวกเราตั้งชื่อให้เขาว่า ‘เฉิงฟาง’ ได้หรือไม่”
โจวชูจิ่นรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
บุตรชายเป็นหลานชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของตระกูลเลี่ยว เรื่องการตั้งชื่อนี้ เกรงว่าแม้แต่นายท่านใหญ่เลี่ยวยังต้องฟังความเห็นของผู้อาวุโสในตระกูลก่อนเลย
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากผู้อาวุโสในตระกูลตั้งชื่ออื่นให้บุตรชาย เช่นนั้นก็ใช้ชื่อนี้เป็นชื่อเล่นในวัยเด็กของบุตรชายก็แล้วกัน
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ประเดี๋ยวรอพี่เขยของเจ้ากลับมาแล้วข้าจะคุยกับเขาให้”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ ไม่หยุด มองเฉิงฟางด้วยกระบอกตาที่รื้นชื้นขึ้นเล็กน้อย
ในวันพิธีสรงสาม[2] พี่ชายใหญ่ของหลี่ซื่อหรือก็คือนายท่านใหญ่ของตระกูลหลี่เร่งเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยมาจนถึงเมืองหลวง มอบพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรยแห่งเมืองจื่อจินขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือหนึ่งองค์เป็นของขวัญวันพิธีสรงสาม
ทุกคนทั้งประหลาดใจกับการมาถึงของเขา และประหลาดใจกับของขวัญชิ้นใหญ่ของเขาด้วย
หลี่ซื่ออดไม่ได้ตำหนิเขาที่ไม่ปรึกษาหารือกับตนก่อน “…มีใครที่ไหนมอบของขวัญวันพิธีสรงสามมีค่าถึงเพียงนี้บ้างเจ้าคะ”
นายท่านใหญ่ของตระกูลหลี่เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาวสะอาด องคาพยพทั้งห้าบนดวงหน้ามีความคล้ายคลึงหลี่ซื่อเล็กน้อย
เขาสวมชุดเผาจื่อสีม่วงปลายสีเขียวมีลวดลายตัวหนึ่ง เวลายิ้มแล้วดูใจดีเป็นอย่างยิ่ง “ข้าก็ทำเพื่อให้เป็นหน้าเป็นตาแก่เจ้ามิใช่หรือ ในเมื่อพวกนางยอมรับเจ้าเป็นมารดาแล้ว ข้าที่เป็นลุงผู้นี้จึงไม่อาจปฏิบัติกับพวกนางอย่างไม่เท่าเทียมได้”
“แต่ก็ไม่อาจฟาดผู้อื่นด้วยเงินทองนี่นา” หลี่ซื่อพึมพำกล่าว “ของพวกนั้นล้วนถูกหมอตำแยผู้นั้นเอาไปหมดแล้ว นี่มิใช่ว่าท่านให้เสียเปล่าไปแล้วหรอกหรือ”
ตามหลักแล้ว หมอตำแยจะเป็นคนรับผิดชอบจัดการพิธีสรงสาม สิ่งของที่มอบให้วันพิธีสรงสามจึงตกเป็นของหมอตำแยทั้งหมด
นายท่านใหญ่หลี่กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่เข้าใจ ข้าได้ยินมาว่าหมอตำแยผู้นี้เป็นคนที่ตระกูลฟางของแม่สามีของต้ากูไหน่ไนเป็นคนเชิญมา ค่อนข้างมีชื่อเสียงในจิงเฉิง ของขวัญวันพิธีสรงสามล้ำค่าถึงเพียงนี้ หมอตำแยผู้นั้นได้รับแล้วย่อมไม่ลืมเลือน ถึงเวลาเมื่อข่าวคราวแพร่ออกไป ต้ากูไหน่ไนก็ได้หน้าได้รับการสรรเสริญ แม้แต่ตระกูลฟางที่เป็นคนเชิญนางมาก็ได้รับเกียรติไปด้วย”
“นี่ก็ถูก!” หลี่ซื่อเชื่อถือพี่ชายที่อายุมากกว่าตัวเองเกือบจะยี่สิบปีผู้นี้มาโดยตลอด นางจึงไม่ว่าอะไรอีก รั้งให้พี่ชายอยู่รับประทานอาหารด้วย
ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนนายท่านใหญ่หลี่ต้องไม่รั้งอยู่อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ถือได้ว่าน้องสาวมีที่ยืนได้อย่างมั่นคงในตระกูลโจวแล้ว เขาจึงรั้งอยู่รับประทานอาหารด้วยอย่างไม่ต้องเกรงใจ
โจวชูจิ่นให้พ่อบ้านไปสั่งอาหารจากภัตตาคารมาให้การรับรองนายท่านใหญ่หลี่ เมื่อเลี่ยวเส้าถังกลับมาจากสำนักฮั่นหลินก็มานั่งเป็นเพื่อนด้วยตัวเอง รั้งให้นายท่านใหญ่หลี่พักอยู่ที่บ้านสักสองสามวันอีกด้วย
นายท่านใหญ่หลี่มาด้วยความยินดี จากไปด้วยความพึงพอใจ
หลี่ซื่อจึงตั้งใจดูแลโจวชูจิ่นอย่างใส่ใจเพิ่มมากขึ้นไปอีก
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวเลี่ยวเฉิงฟางก็ใกล้จะครบหนึ่งเดือนแล้ว
มีจดหมายส่งมาจากเจิ้นเจียง ตั้งชื่อเล่นให้เด็กน้อยว่า ‘กวนเกอ’ แต่ชื่อจริงยังมิได้กำหนดแน่ชัด นอกจากนี้ฟางซื่อผู้เป็นฮูหยินใหญ่เลี่ยวก็จะเร่งออกเดินทางในเร็ววัน เพื่อมาจิงเฉิงให้ทันวันพิธีครบร้อยวันของเด็กน้อย
………………………………………………………………
[1] น้ำหนักเจ็ดจินแปดเหลี่ยง หนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโลกรัมโดยประมาณ และหนึ่งจินเท่ากับสิบเหลี่ยง น้ำหนักเจ็ดจินแปดเหลี่ยงจึงเท่ากับ 3.9 กิโลกรัมโดยประมาณ
[2] พิธีสรงสาม (洗三礼) คือพิธีอาบน้ำให้ทารกในวันที่สามหลังจากคลอดออกมา โดยมีความเชื่อเพื่อล้างสิ่งสกปรกออกจากทารกและให้ทารกได้เริ่มต้นชีวิตใหม่บนโลกนี้อย่างสะอาดบริสุทธิ์ อีกทั้งยังเป็นการอวยพรให้ทารกมีสุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วย