ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 379 เยี่ยมเยือน
โจวชูจิ่นทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ ตื่นเต้นจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
นางคิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะเป็นพ่อสื่อให้โจวเสาจิ่น ยิ่งไม่คาดคิดว่าเฉิงฉือจะเลือกตระกูลที่ดีถึงเพียงนี้ให้โจวเสาจิ่นด้วย
นับตั้งแต่ที่นางรู้ว่าเฉิงสวี่หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่น นางก็แอบร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว รู้สึกอยู่ตลอดว่าเรื่องราวในโลกใบนี้ช่างอยุติธรรมต่อน้องสาวยิ่งนัก เห็นๆ กันอยู่ว่าเฉิงสวี่ผู้นั้นกระทำการหยามเกียรติน้องสาวของนาง สุดท้ายไม่เพียงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังไปสู่ขอสตรีจากตระกูลชั้นสูงอย่างมีความสุขอีกด้วย แต่น้องสาวนางกลับต้องกล้ำกลืนฝืนทนคำดูถูกออกมาจากเมืองจินหลิง
และไม่รู้ว่าคนที่ซอยจิ่วหรูจะแอบนินทาว่าร้ายน้องสาวลับหลังอย่างไรบ้าง
นางฝันให้น้องสาวได้แต่งงานกับตระกูลสักตระกูลที่ดียิ่งกว่า ให้พวกเขาได้รู้ว่าน้องสาวของนางเดินได้อย่างมั่นคง นั่งได้อย่างหลังตรง สง่างามและดียิ่งกว่าผู้ใด ไม่มีตระกูลเฉิงแล้ว ก็ยังคงแต่งงานกับตระกูลใหญ่ตระกูลโตได้เช่นกัน มีชีวิตที่สามีเป็นที่เคารพยกย่องภรรยาจึงได้รับเกียรติ มีบุตรชายมีชื่อเสียงเลื่องลือมารดาจึงได้รับการเทิดทูนเช่นนั้นได้เหมือนกัน
ไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่เรื่องที่ว่าซ่งซิ่วจือผู้นั้นคือเจี้ยหยวนของเหลี่ยงหูของปีก่อนและเป็นบุตรชายคนโตของขุนนางใหญ่ ก็ควรจะไปดูตัวสักหน่อยแล้ว
นางรีบเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านน้าฉืออยากให้ข้าเขียนจดหมายไปบอกท่านพ่อหรือไม่เจ้าคะ”
ตระกูลโจว ตระกูลเฉิง และตระกูลซ่งล้วนเป็นตระกูลบัณฑิต แม้นกล่าวว่าเฉิงฉือและนายท่านผู้เฒ่าซ่งมีความประสงค์จะให้เกี่ยวดองกัน แต่โจวเจิ้นจะคิดอย่างไร และซ่งจิ่งหรานจะคิดอย่างไร หาไม่แล้วหากฝ่ายหนึ่งตอบตกลงทว่าอีกฝ่ายหนึ่งกลับไม่พึงพอใจ ก็อาจทำให้คนที่เป็นพ่อสื่อขุ่นเคืองใจได้ ระหว่างเรื่องนี้จึงต้องมีคนมาทำหน้าที่เป็นคนกลางสักคนหนึ่ง ต่อให้ปฏิเสธ ก็ต้องหาเหตุผลที่ฟังขึ้นไร้ข้อกังขามาสักเหตุผลหนึ่ง อย่าได้ทำให้พ่อสื่อคนกลางขุ่นเคืองใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสถานะและตำแหน่งของคนเป็นพ่อสื่อคนกลางเหล่านี้มิได้ด้อยไปกว่าทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายแล้ว ตระกูลทั้งสองฝั่งจึงยิ่งต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
เฉิงฉือเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้อย่าเพิ่งบอกบิดาของเจ้าจะดีกว่า” เขาเล่าเรื่องของตระกูลซ่งให้โจวชูจิ่นฟัง และยังกล่าวอย่างเป็นกังวลเล็กน้อยว่า “หากมิใช่ว่าซ่งซิ่วจือมีความโดดเด่นมากพอล่ะก็ ด้วยเรื่องภายในบ้านที่วุ่นวายเหล่านั้นของพวกเขาแล้ว ข้าไม่มีทางมีความคิดเช่นนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงอยากให้เสาจิ่นลองไปดูตัวดูก่อน หากตัวนางเองยินดี และซิ่วจือก็ชอบพอเช่นกัน เมื่อนางแต่งเข้าไป ต่อให้มีญาติที่ตัดไม่ขาดอย่างตระกูลหวัง แต่เมื่อมีสามีคอยปกป้อง คนตระกูลหวังนั่นก็เป็นได้เพียงแมลงวันที่บินมาสร้างความรำคาญต่อหน้าเสาจิ่นเป็นครั้งคราวตัวหนึ่งเท่านั้น”
โจวชูจิ่นเห็นเฉิงฉือให้ความสำคัญกับน้องสาวของตัวเอง อีกทั้งยังบรรยายได้อย่างออกรสเช่นนั้นแล้ว ก็หัวเราะคิกออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าล้วนอ่อนโยนขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “ท่านน้าฉือเป็นบุรุษ เกรงว่าคงไม่ค่อยได้สนใจเรื่องภายในบ้านนัก ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นตระกูลที่ดูดีอย่างไร ก็ล้วนแล้วแต่มีคัมภีร์ที่ยากจะอ่านของตัวเองกันทั้งนั้น กล่าวอย่างไม่ปิดบังท่าน ตอนนี้ท่านคงเห็นว่าข้าได้แต่งงานเป็นอย่างดีกระมัง แต่เรื่องของตระกูลเลี่ยวนั้นหากได้พูดออกมาต้องทำให้ท่านปากอ้าตาค้างเป็นแน่เจ้าค่ะ” นางหน้าแดงด้วยความอับอาย เล่าเรื่องที่พ่อสามีรีดไถเงินทองของพวกเขาให้เฉิงฉือฟัง “…สถานการณ์อย่างตระกูลซ่งนี้ถือได้ว่าดีแล้วเจ้าค่ะ อย่างน้อยนายท่านผู้เฒ่าซ่งและขุนนางใหญ่ซ่งล้วนเป็นคนที่มีความคิดเปิดกว้าง มิได้ปิดตาทั้งสองข้างเนื่องด้วยสาเหตุจากความโปรดปรานรักใคร่ ฮูหยินซ่งเป็นคนอ่อนโยนจิตใจกว้างขวาง ซ่งซิ่วจือผู้นั้นก็เป็นบุตรชายคนโตที่ประสบความสำเร็จมีอนาคต เป็นคนที่นายท่านผู้เฒ่าซ่งดูแลมาด้วยตัวเอง หากเรื่องนี้ประสบผลสำเร็จจริง เสาจิ่นทั้งไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้แม่สามีชิงชัง และไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้พ่อสามีไม่ชอบ อีกทั้งยังเป็นสามีภรรยาคู่ผูกผมที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกด้วย ยังจะมีการเกี่ยวดองที่ดีมากไปกว่านี้อีกหรือเจ้าคะ” กล่าวจบ นางก็เอ่ยเย้าขึ้นว่า “มีคำกล่าวหนึ่งบอกไว้ว่าความรักลึกซึ้งไม่อาจคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ตามความเห็นของข้าแล้ว พระพุทธองค์ให้พวกเรามายังโลกใบนี้ ก็เพื่อให้พวกเรามารับความลำบาก หากมีเรื่องอะไรที่สวยงามสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ สิ่งนั้นย่อมไม่อยู่ยืนยาว ก็เพียงมีครอบครัวที่เกินธรรมดาสามัญอย่างที่ควรจะเป็นครอบครัวหนึ่งเท่านั้น บางทีนี่อาจจะเป็นกรรมของเสาจิ่น เมื่อผ่านพ้นกรรมนี้ไปแล้ว ชีวิตของเสาจิ่นก็จะได้งดงามและสงบสุขแล้วเจ้าค่ะ”
สามีภรรยาคู่ผูกผมที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน?
เฉิงฉือฟังแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย ครุ่นคิดว่า ก็นี่เป็นวัตถุประสงค์ของเขาเองมิใช่หรือ
ช่วยหาตระกูลดีๆ ที่เป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดต่อกันมาให้โจวเสาจิ่น ได้แต่งงานกับสามีหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันและสุภาพอ่อนโยนดุจหยกสักคนหนึ่ง ได้ใช้ชีวิตของตัวเองไปอย่างมีความสุข รอให้เมื่อตื่นขึ้นมาจากฝันกลางดึก หากว่านึกถึงเขาขึ้นมา จะได้เม้มปากกลั้นยิ้ม ลอบหัวเราะตัวเองที่ตอนนั้นช่างโง่เขลายิ่งนักมิใช่หรือ
เฉิงฉือกดข่มความไม่พอใจสายนั้นเอาไว้ในใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไรจริงๆ ดังนั้นจึงมาปรึกษาเจ้า ข้าอยากให้เสาจิ่นลองไปดูตัวดูก่อน ถ้าหากถูกใจ ค่อยไปคุยกับขุนนางใหญ่ซ่งและบิดาของเจ้าก็ยังไม่สาย จะได้ไม่วุ่นวายจนทุกคนทราบเรื่องแล้วกระพือออกไปเป็นระลอกคลื่นลูกใหญ่ ทำให้เสาจิ่นถูกนินทาว่าร้ายได้”
เช่นนี้ช่างดียิ่งนัก!
โจวชูจิ่นมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของโจวเสาจิ่นเป็นอย่างยิ่ง
บุรุษสิบคนที่ได้เห็นน้องสาว ก็มีถึงเก้าคนแล้วที่อาจจะตกหลุมรักน้องสาวของนาง
คนที่เกิดมามีหน้าตางดงามก็มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ
รอให้ต่างคนต่างเข้ากันได้ดีแล้ว ด้วยนิสัยอ่อนโยนว่าง่ายของเสาจิ่นแล้ว ระหว่างสามีภรรยาย่อมจะให้เกียรติซึ่งกันและกัน รักใคร่กลมเกลียวกันดั่งฉินและเซ่ออย่างแน่นอน
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งพึงพอใจ ลุกขึ้นหมายจะคุกเข่าลงโขกศีรษะให้เฉิงฉือสักครั้ง กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “ท่านน้าฉือ ขอบคุณท่านยิ่งนักที่เป็นพ่อสื่อให้เสาจิ่น จิตใจเกื้อหนุนที่ท่านมีให้เสาจิ่นนั้น ข้าจะซาบซึ้งไปตลอดชีวิต…”
เฉิงฉือรีบหยุดนางเอาไว้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “รอให้เรื่องนี้สัมฤทธิผลแล้วเจ้าค่อยคุกเข่าโขกศีรษะให้ข้าสักครั้งหนึ่งก็ยังไม่สาย”
ทว่าในใจกลับเอ่ยว่า หากเปลี่ยนเป็นข้ามาสู่ขอเสาจิ่นแทน เกรงว่าเวลานี้เจ้าคงจะกระโดดลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าข้าแล้วกระมัง!
ในใจของเฉิงฉือทั้งขมฝาดทั้งฝืดเฝื่อน
ถึงเวลานั้นเขาก็เป็นได้เพียงท่านน้าของเสาจิ่นเท่านั้นแล้ว
โจวชูจิ่นรู้สึกว่าร่างกายยังเป็นอุปสรรคอยู่เล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็คุกเข่าลงไปไม่ได้เสียที ยังคิดว่าเป็นเพราะตัวเองอยู่เดือน บวกกับที่เฉิงฉือกล่าวได้อย่างจริงใจยิ่ง นางจึงจำต้องยอมแพ้ หันไปยิ้มให้เฉิงฉืออย่างขออภัย ตัดสินใจให้เป็นตามที่เฉิงฉือกล่าวมา รอให้เรื่องสัมฤทธิผลแล้วค่อยไปกล่าวขอบคุณท่านน้าฉือดีๆ อีกครั้งก็ยังไม่สาย
จะให้ดีที่สุดคือไปพร้อมกับเลี่ยวเส้าถัง
เช่นนั้นถึงจะดูเป็นทางการสักหน่อย
เฉิงฉือจึงเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งบอกเสาจิ่นก็แล้วกัน นางหน้าบาง ถึงเวลาจะได้ไม่รู้สึกอับอาย ที่ข้ามาหาเจ้า ก็เพราะอยากให้เจ้าหาข้ออ้างสักข้อให้นางไปหาข้าสักครั้งหนึ่ง…”
ความบังเอิญ มักจะทำให้คนรู้สึกว่ามีวาสนาต่อกัน
ถ้าหากเสาจิ่นและซ่งซิ่วจือพบกันโดยบังเอิญถึงสองครั้ง สำหรับเสาจิ่นแล้ว จะต้องรู้สึกว่าซ่งซิ่วจือพิเศษอยู่บ้างเล็กน้อยอย่างแน่นอน
โจวชูจิ่นเองก็คิดถึงข้อนี้อยู่เหมือนกัน
นางรู้สึกซาบซึ้งใจต่อเฉิงฉือจนยากจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ กล่าวซ้ำๆ ว่า “ท่านน้าฉือวางใจเถิด ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซ่งซิ่วจือผู้นั้นก็คงจะคิดเช่นกันว่าเรื่องแต่งงานของตนกับน้องสาวเป็นเรื่องที่สวรรค์กำหนดมา
เฉิงฉือเห็นโจวชูจิ่นเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายแล้ว ก็ลอบถอนหายใจอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้
หรือว่านิสัยของเสาจิ่นจะเหมือนกับมารดาของนาง?
แต่ยามคนที่ซอยจิ่วหรูเอ่ยถึงฮูหยินจวงล้วนกล่าวชื่นชมนางเป็นอย่างมากกันทั้งนั้น ฮูหยินจวงไม่น่าจะเป็นเหมือนเสาจิ่นไปได้!
ไม่รู้ว่าเด็กน้อยผู้นั้นไปเหมือนผู้ใดมา
เขากล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “เรื่องสินเจ้าสาว เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าถูกใจซอยอวี๋เฉียนก็เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้เจ้า เตรียมจะมอบเป็นสินเจ้าสาวให้เสาจิ่นตั้งแต่ต้น ที่ต้าซิ่งข้ายังมีไร่นาพื้นที่ร้อยกว่าหมู่อยู่ผืนหนึ่ง ที่เมืองเป่าติ้งก็มีที่ดินอีกสองผืน ที่ประตูซีจื๋อเหมินทางด้านนี้ก็มีร้านค้าอีกสองสามร้าน ถึงเวลานั้นจะมอบให้เสาจิ่นพร้อมกันทีเดียว พวกเครื่องประดับทองและเงินต่างๆ เจ้าก็ไม่ต้องสนใจเช่นกัน เพียงแต่ช่วยจัดเตรียมของใช้ที่นางใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวันต่างๆ ให้นางก็พอ…”
หรือว่านี่จะเป็นการชดเชยให้เสาจิ่นจากจวนหลัก?
สีหน้าของโจวชูจิ่นแข็งค้างเล็กน้อย
เฉิงฉือมองแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างสลดหดหู่ใจ
นี่ตนเป็นอะไรไปแล้วกันแน่
เพราะยิ่งใกล้บ้านเกิดจึงขลาดกลัว[1]อย่างนั้นหรือ
ดังนั้นจึงอยากรีบสลัดเรื่องนี้ออกไปโดยเร็ว มอบหมายเรื่องทั้งหมดให้โจวชูจิ่นอย่างรีบร้อน ให้นางเอาไปจัดการต่อ ส่วนตัวเองเมื่อไม่เห็นจะได้ไม่ต้องรู้สึกทุกข์ใจอย่างนั้นหรือ
เฉิงฉือเองก็ไม่อธิบายอะไร ลุกขึ้นกล่าวขอตัว
โจวชูจิ่นเต็มตื้นไปด้วยความเสียใจ
ต่อให้เป็นการชดเชยที่จวนหลักมอบให้เสาจิ่น แต่นั่นก็ถือเป็นน้ำใจของจวนหลักเช่นกัน
เหตุใดตนต้องทำตัวเป็นเม่นพองขนไม่ผ่อนปรนให้ผู้คนด้วย
พวกเขายินดีมอบให้ พวกนางก็รับเอาไว้จะเป็นไรไป
จวนหลักรู้สึกว่าไม่ติดค้างอะไรเสาจิ่นแล้ว พวกนางเองก็ได้รับประโยชน์เป็นสิ่งของแล้วเช่นกัน
พึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย ก็ดีแล้วมิใช่หรือ
นางกล่าวแก้สถานการณ์ยิ้มๆ ว่า “มิกล้าให้ท่านน้าฉือต้องสูญเสียเงินทอง ท่านพ่อคอยสะสมสินเจ้าสาวให้น้องสาวมาโดยตลอดอยู่แล้วเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือไม่อยากกล่าวให้มากความ หันไปยิ้มให้โจวชูจิ่น เอ่ยขึ้นว่า “รอให้เจ้าเตรียมการเสร็จแล้ว เจ้าก็ให้เสาจิ่นไปหาข้าสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”
โจวชูจิ่นขานรับคำเสียงนอบน้อม ทันใดนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องของเฉิงลู่ ขอบคุณท่านน้าฉือยิ่งนักที่ช่วยเหลือ ถึงเวลาข้าจะบอกให้นางนำจดหมายไปส่งให้ท่านด้วยเรื่องของเฉิงลู่ ท่านเห็นว่าดีหรือไม่เจ้าคะ”
เป็นคนฉลาดปราดเปรื่องผู้หนึ่งจริงๆ
เสาจิ่นหวาดกลัวเฉิงลู่ยิ่งนัก หากรู้ว่าเรื่องของเฉิงลู่เป็นฝีมือของเขา จะต้องหลั่งน้ำตาให้เขาด้วยความซาบซึ้งใจเป็นแน่ ไม่ต้องพูดถึงให้นางนำจดหมายไปส่งให้เขา ต่อให้ให้นางรินน้ำชาเทน้ำร้อน จัดที่นอนเก็บผ้าห่ม หรือทำงานของบ่าวไพร่เหล่านั้นให้เขานางก็ไม่มีทางปริปากบ่นอย่างแน่นอน มีแต่จะรู้สึกซาบซึ้งและเป็นหนี้บุญคุณเท่านั้น
โจวชูจิ่นรู้ว่าจะล่อลวงเสาจิ่นอย่างไรเป็นอย่างดี
ในใจของเฉิงฉือรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเล็กน้อย แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองออกจะจุกจิกไปสักหน่อย จึงพยักหน้ายิ้มๆ ปล่อยให้โจวชูจิ่นส่งเขาจนถึงประตู
เนื่องจากไม่อาจต้องลมได้ เมื่อออกจากประตูแล้ว จึงให้เสาจิ่นไปส่งเขา
นางเอ่ยถามเฉิงฉืออย่างเริงร่าว่า “ท่านน้าฉือคุยอะไรกับพี่สาวของข้าบ้างเจ้าคะ”
เฉิงฉือมองท่าทางไร้เดียงสาและไม่ระแวดระวังของนางแล้ว ในใจรู้สึกปวดแปลบเล็กน้อย ทว่าใบหน้ายังคงไม่แสดงอาการอะไรเช่นเดิม กึ่งเย้าแหย่กึ่งทอดถอนใจกล่าวขึ้นว่า “ปรึกษาว่าจะเอาเจ้าไปขายให้ได้ราคาดีๆ อย่างไรดี!”
โจวเสาจิ่นย่อมไม่เชื่อ ย่นจมูกเล็กจิ้มลิ้มน่ารักนั้นพร้อมกับร้อง “ชิ” ออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ท่านไม่บอกข้า ข้าจะไปถามท่านพี่เองเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นย่อมไม่บอกนางเช่นกัน!
เฉิงฉือขยี้ศีรษะของนาง กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าจะไปแล้ว! เจ้าเองก็รักษาตัวดีๆ ด้วย”
โจวเสาจิ่นโกรธจนหน้าแดงก่ำ ตะโกนร้องเสียงดังว่า “ท่านน้าฉือ ท่านทำเช่นนี้อีกแล้ว! ทำผมของข้ายุ่งเหยิงไปหมด ทำให้ข้าต้องลำบากทำผมใหม่อีกแล้ว”
เฉิงฉือยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า “ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว”
โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้ กล่าวว่า “ท่านน้าฉือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่ ท่าทางของท่านดูไม่ค่อยเบิกบานใจเท่าไรนัก…”
เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ ช่างความรู้สึกไวจริงๆ!
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเหล็กหรืออย่างไร!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ที่วิ่งไปวิ่งมาเช่นนี้แต่ก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงอย่างอับอาย
เฉิงฉืออดไม่ได้ลูบศีรษะของนางอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตากลมโต ตะโกนร้องอย่างไม่ยินยอมว่า “ท่านน้าฉือ”
เฉิงฉือหัวเราะฮ่า ก้าวเท้ายาวๆ ออกจากซอยอวี๋ซู่ไปอย่างกระฉับกระเฉง
ในใจครุ่นคิดว่า ต่อไปคงไม่อาจลูบศีรษะของนางได้อีกจริงๆ แล้ว
โจวเสาจิ่นทำหน้ายับยู่ยี่พร้อมกับกระทืบเท้าไม่หยุด
โจวชูจิ่นกลับตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เฝ้ารอเลี่ยวเส้าถังกลับมาอย่างยากเย็น สองสามีภรรยาไปแอบพูดคุยกันหลังผ้าม่าน
เลี่ยวเส้าถังเองก็รู้สึกว่างานแต่งนี้ดี กล่าวว่า “ตอนข้าอยู่ที่สำนักฮั่นหลินก็เคยได้ยินคนที่สำนักฮั่นหลินเหล่านั้นเอ่ยถึงบัณฑิตที่โดดเด่นขึ้นมาเป็นครั้งคราวเช่นกัน จึงเคยได้ยินเกี่ยวกับบุตรชายคนโตของขุนนางใหญ่ซ่งมาก่อน กล่าวกันว่าเขาไม่เพียงฉลาดมีพรสวรรค์ ยังขยันเล่าเรียน ระมัดระวังกิริยามารยาท หากน้องรองได้แต่งกับเขา ก็นับว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเจ้าไม่วางใจ ข้าจะคิดหาวิธีไปพบคนผู้นี้ดู เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้ยินมาก็ไม่น่าเชื่อถือเท่าได้เห็นด้วยตาตัวเอง”
โจวชูจิ่นยิ้มร่าพร้อมกับพยักหน้า เอ่ยขึ้นว่า “ท่านไปดูสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ท่านได้เจอแล้ว ข้าจะได้วางใจลงได้”
เลี่ยวเส้าถังยิ้มตาหยี กอดโจวชูจิ่นไว้แนบอก กล่าวขึ้นว่า “ถึงเวลานั้นเจ้าก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงแล้ว ข้าจะพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มงกุฎหงส์และชุดคลุมสยาเพ่ย[2]มาให้เจ้า แล้วเจ้าค่อยมีน้องชายน้องสาวมาให้กวนเกอเอ๋อร์อีกสักสองสามคน ชีวิตนี้ต่อให้ได้เป็นเทพเซียนข้าก็ไม่ยอมแลกแล้ว”
กระบอกตาของโจวชูจิ่นรื้นชื้นขึ้นเล็กน้อยขณะเอนกายพิงอยู่ในอ้อมกอดของเลี่ยวเส้าถัง
……………………………………………………………
[1] ใกล้บ้านเกิดจึงขลาดกลัว (斤乡情怯) กล่าวถึงความรู้สึกซับซ้อนที่มีทั้งความคาดหวังและหวาดกลัวของนักเดินทางยามเดินทางกลับบ้านเกิดหลังจากที่จากบ้านเกิดไปนานหลายปี เมื่อยิ่งใกล้บ้านมากเท่าไหร่อารมณ์ความรู้สึกก็จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น
[2] มงกุฎหงส์และชุดคลุมสยาเพ่ย เป็นเครื่องแต่งกายของภริยาขุนนาง