ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 384 ไม่ได้
เฉิงฉือได้ยินแล้วรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั้งใจ
เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้มากี่ปีแล้ว!
ตอนที่โจวเสาจิ่นกลับออกไปจากที่นี่ในวันนั้นยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดไม่ได้เจอไม่กี่วันก็ล้มป่วยลงแล้ว
หรือว่าพอนางกลับไปแล้วจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?
สายตาที่เฉิงฉือมองหลี่มามาดูคมกล้าขึ้นเล็กน้อย สั่งให้ฉินจื่อผิงนำป้ายชื่อของเฉิงจิงไปที่สำนักหมอหลวง
หมอหลวงที่สำนักหมอหลวงจะรับคำสั่งจากองค์ฮ่องเต้ หากไม่มีคำสั่งจากองค์ฮ่องเต้ไม่อาจไปตรวจดูอาการให้คนนอกได้ แต่น้ำใจก็อยู่เหนือกฎเกณฑ์ ยามอยู่นอกเหนือเวลางาน หมอหลวงเหล่านั้นก็อาจจะไปตรวจดูอาการเจ็บป่วยให้ขุนนางระดับสูงและคนในครอบครัวของพวกเขาเป็นการส่วนตัวได้เช่นกัน
แต่บังเอิญว่าไท่เฟยที่ทรงดำรงอยู่คู่กับไทเฮาพระองค์หนึ่งในพระราชวังทรงพระประชวร รักษานานแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น เป็นเหตุให้ไทเฮาทรงเป็นกังวลใจยิ่งนัก องค์ฮ่องเต้จึงพาหัวหน้าหมอหลวงและคนอื่นๆ ไปที่ตำหนักฉือหนิง เวลานี้จึงไม่อาจออกไปรักษาคนไข้เป็นการส่วนตัวตามบ้านได้ ได้แต่ต้องรอพรุ่งนี้แล้ว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีแต่ต้องขอพระราชานุญาตจากองค์ฮ่องเต้ ให้ส่งคนจากสำนักหมอหลวงไปตรวจดูอาการให้เท่านั้นแล้ว
เป็นครั้งแรกที่เฉิงฉือได้สัมผัสถึงความรู้สึกไม่สะดวก
เขาให้ไหวซานนำป้ายชื่อของตนไปที่บ้านอีกหลังของขันทีสนองพระโอษฐ์ตระกูลหลิวที่ตั้งอยู่ที่ซอยเจินเซี่ยน
ตกบ่าย สำนักหมอหลวงส่งหมอหลวงแซ่เฉาท่านหนึ่งเข้ามา ว่ากันว่าเป็นน้องชายร่วมสกุลของหัวหน้าหมอหลวงเฉาแห่งสำนักหมอหลวง เชี่ยวชาญเรื่องโรคของสตรีและเด็ก ฝีมือการรักษายอดเยี่ยมยิ่ง เนื่องจากเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งในสำนักหมอหลวง หัวหน้าหมอหลวงเฉาต้องเข้าวัง เขาจึงถูกทิ้งให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักหมอหลวง
เฉิงฉือครุ่นคิดว่าหากหมอหลวงแซ่เฉาผู้นี้ยังไม่ได้ผล พรุ่งนี้ค่อยเชิญหัวหน้าหมอหลวงเฉาไปดูอาการให้โจวเสาจิ่นอีกที และก็ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องคุณสมบัติที่ธรรมดาสามัญเกินไปของเขาด้วย จึงพาหมอหลวงเฉาไปที่ซอยอวี๋ซู่
หลี่ซื่อคิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือจะมาด้วยตัวเอง อีกทั้งยังพาหมอหลวงที่ดูเคร่งขรึมมาด้วยท่านหนึ่ง
นางทั้งดีใจและประหลาดใจ เชิญทั้งสองคนเข้ามาด้วยความประหม่าและเกรงกลัว
โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นต่างตกใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโจวเสาจิ่น แสร้งล้มป่วยจนเป็นเหตุให้มีหมอหลวงมาหา หากถูกจับได้ขึ้นมาแม้เพียงเล็กน้อย นางจะยังเป็นคนต่อไปได้อย่างไร…โจวชูจิ่นกลับรู้สึกว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากน้องสาวป่วยทางใจจริง ก็ให้หมอหลวงดูอาการสักหน่อย นางเองก็จะได้ไม่ต้องเชิญท่านหมอมาอีก เพียงให้คำชี้แนะนางดีๆ สักครั้งก็พอ แต่ถ้าหากมิใช่อาการป่วยทางใจ ก็ให้หมอหลวงช่วยตรวจดูอย่างละเอียด จะได้สั่งยาได้ถูกกับโรค
หลังจากที่สั่งให้บ่าวรับใช้ในเรือนชั้นในหลบออกไปก่อนแล้ว หลี่มามาก็พาเฉิงฉือและหมอหลวงเฉาไปยังสถานที่พักของโจวเสาจิ่น
หมอหลวงเฉาเข้าไปจับชีพจรอยู่ด้านใน ส่วนโจวชูจิ่นและเฉิงฉือยืนรอผลอยู่ตรงเฉลียงทางเดิน
ลานบ้านกว้างเพียงหนึ่งจั้งกว่าเท่านั้น มุมทางตะวันเฉียงใต้ปลูกต้นไผ่เอาไว้กอหนึ่ง ข้างเฉลียงทางเดินเป็นดอกพุทธรักษาหนึ่งกอใหญ่ กำลังเบ่งบานสีแดงบ้างสีเหลืองบ้างสะพรั่งเต็มไปหมด ทำให้ลานบ้านยิ่งดูเล็กเข้าไปอีก
เฉิงฉือขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด
เขารู้ว่าบ้านของเลี่ยวเส้าถังที่ซอยอวี๋ซู่นี้ค่อนข้างเล็ก แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าจะเล็กขนาดนี้ เล็กยิ่งกว่าที่พักของพวกบ่าวรับใช้ในเรือนฝู่ชุ่ยเสียอีก
เขาเอ่ยถามโจวชูจิ่นว่า “หลายวันมานี้ในบ้านมีเรื่องอะไรหรือไม่”
โจวชูจิ่นเข้าใจความหมายของเขาดี ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ในบ้านทุกอย่างสงบเรียบร้อยดี ไม่ต่างจากช่วงเวลาปกติเลยเจ้าค่ะ! เมื่อวานเสาจิ่นยังเอ่ยกับฮูหยินว่า ให้ฮูหยินใช้โอกาสตอนที่ข้าอยู่เดือนครบแล้วและตอนที่แม่สามีข้ายังไม่มานี้ออกไปเดินเล่นจิงเฉิงสักหน่อยอยู่เลยเจ้าค่ะ!”
เช่นนั้นนางล้มป่วยได้อย่างไร
เฉิงฉือขมวดคิ้วมุ่นจนเห็นรอยย่นสามขีด
โจวเสาจิ่นอยากจะเอ่ยบางอย่างทว่าก็หยุดไป
เฉิงฉือเอ่ยขึ้นว่า “ในนี้ก็ไม่มีคนนอก มีอะไรที่พูดไม่ได้กัน”
โจวชูจิ่นลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ารู้สึกว่าเสาจิ่นป่วยทางใจเจ้าค่ะ…หลังจากกลับมาจากซอยอวี๋เฉียนนางพูดกับข้าว่า ซ่งซิ่วจือเป็นคนดีมาก แต่พอนางเห็นซ่งซิ่วจือ…ก็จะนึกถึงน้องชายสวี่…”
นางไม่มีทางเชื่อตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าตระกูลซ่งจะไม่ชอบน้องสาวตน รู้สึกมีเพียงน้องสาวตนเท่านั้นที่ไม่ชอบผู้อื่น
เรื่องราวกลับตาลปัตรไปอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นนางเองก็รู้สึกยากที่จะยอมรับ
เฉิงฉือชำเลืองมองโจวชูจิ่นครั้งหนึ่ง
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เฉิงสวี่ก็เป็นหลานชายของเขา เริ่มแรกที่โจวเสาจิ่นต้องจากเมืองจินหลิงมาก็เพราะเฉิงสวี่ และตอนนี้ก็เพราะเฉิงสวี่ทำให้หวาดกลัวการแต่งงานอีก…ไม่แปลกที่โจวชูจิ่นจะพูดจาติดๆ ขัดๆ เช่นนี้
นางไม่รู้ความลับของโจวเสาจิ่น ดังนั้นจึงไม่อาจเข้าใจความชิงชังที่โจวเสาจิ่นมีต่อเฉิงสวี่ได้
เขาก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่บ้านแน่ๆ
ถ้าหากเสาจิ่นป่วยทางใจจริง ก็คงจะมาจากสาเหตุนี้
เขาคิดทบทวนทุกเรื่องเผื่อนางเอาไว้หมดแล้ว ลืมเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น
เฉิงฉือรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ตัดสินใจว่ารอพบหมอหลวงเฉาก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
“ตกลงว่าเป็นอะไรกันแน่นั้น รอให้หมอหลวงเฉาออกมาก็จะได้รู้กัน” เขาเอ่ยปลอบโยนโจวชูจิ่นด้วยอาการใจลอยเล็กน้อย กล่าวอีกว่า “เจ้ากลับห้องไปก่อนเถิด! รอให้ทางนี้วินิจฉัยออกมาได้แล้วข้าจะให้สาวใช้ไปบอกเจ้า”
เนื่องจากมีบุรุษจากข้างนอกอยู่ด้วย โจวชูจิ่นจึงไม่สะดวกจะรออยู่ตรงนี้ หันไปย่อกายให้เฉิงฉือ แล้วกลับไปที่ห้อง
ไม่นาน หมอหลวงเฉาก็ออกมา
เฉิงฉือรีบสาวเท้าออกไปต้อนรับ เอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
การที่หมอหลวงเฉาเข้าไปอยู่ในวังหลวงได้นั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนที่รู้จักแต่รักษาโรคแต่ไม่เข้าใจเรื่องราวของคนบนโลกใบนี้
เขามองหลี่มามาที่เดินตามหลังเขามาครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือเข้าใจความหมาย สั่งการหลี่มามาว่า “ไปเตรียมกระดาษและหมึกมาให้หมอหลวงเฉา”
หลี่มามาขานรับคำอย่างนอบน้อมแล้วถอยออกไป
หมอหลวงเฉาถึงได้กล่าวเสียงเบาว่า “ดูจากชีพจรแล้ว คุณหนูไม่คล้ายคนเป็นโรคอะไร ข้าจะเขียนเทียบยาช่วยฟื้นฟูกำลังวังชาสักเทียบให้คุณหนูลองกินดูก่อนสักสองสามวัน หากยังไม่ดีขึ้น ค่อยเปลี่ยนตัวยา”
ความหมายก็คือ โจวเสาจิ่นกำลังป่วยทางใจ
เฉิงฉือโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ตอนนี้เองถึงได้ค้นพบว่าตัวเองกำหมัดจนแน่นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจทราบได้
เขาเชิญให้หมอหลวงเขียนเทียบยา สั่งการให้ฉินจื่อผิงคัดลอกให้โจวชูจิ่นหนึ่งฉบับ และคัดลอกอีกหนึ่งฉบับให้หลี่ซื่อไปเตรียมยา ส่วนตัวเองออกไปส่งหมอหลวงเฉาที่ประตูด้วยตัวเอง
โจวชูจิ่นรีบให้ฉือเซียงไปเชิญเฉิงฉือมาพูดคุยด้วย
เฉิงฉือกลับเลือกที่จะพบโจวเสาจิ่นก่อน
โจวเสาจิ่นไม่ได้คิดจะปิดบังเฉิงฉืออยู่แล้ว
เนื่องจากนางคิดว่าต่อให้ตนไม่พูด เฉิงฉือก็ย่อมรู้อยู่ดี นอกจากนี้นางยังกลัวว่าเฉิงฉือจะกล่าวโทษซ่งซิ่วจือ ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูล
นางรอเฉิงฉืออยู่ที่ห้องรับแขก
เฉิงฉือมองนางที่ก้มหน้าก้มตาด้วยท่าทางยอมให้เขาลงโทษนั้นแล้วก็เปี่ยมไปด้วยโทสะ เอ่ยคำตำหนิต่อว่าอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ความคิดของเจ้าช่างใหญ่โตนัก ถึงกับกล่าวหว่านล้อมให้ซ่งซิ่วจือช่วยเหลือเจ้าได้เชียวหรือ เจ้าไม่ตกลงก็แค่ไม่ตกลง คิดว่าข้าจะบีบบังคับให้เจ้าแต่งออกไปหรืออย่างไร ยังจะเลียนแบบภรรยาที่ชอบสร้างปัญหาเหล่านั้นที่พอไม่ได้ดั่งใจก็เอาแต่นอนอยู่บนเตียงนั่นอีก เจ้าช่างมีความสามารถของผู้ใหญ่จริงๆ!”
โจวเสาจิ่นถูกเขาต่อว่าจนกระบอกตาไหวระริกไปด้วยน้ำตา เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นที่ท่านน้าฉือให้ข้าไปดูตัวกับซ่งซิ่วจือนั้นได้บอกข้าหรือไม่ หากซ่งซิ่วจือผู้นั้นยืนกรานจะแต่งกับข้า ต่อให้ข้าแสร้งป่วย ท่านน้าฉือก็คงจะจับข้ายัดใส่เกี้ยวมงคลไปอยู่ดีกระมัง ชุนหว่านด่าซ่งซิ่วจือจนไม่เหลือชิ้นดีคล้ายคนถูกอาบด้วยเลือดสุนัขไปแล้ว ท่านพี่ก็ไม่ชอบใจ ท่านเองก็คงจะคิดอยู่ในใจว่า ซ่งซิ่วจือผู้นั้นนับเป็นอะไร ถึงกล้าฉีกหน้าท่านอยู่เป็นแน่…ซ่งซิ่วจือไม่ชอบข้า แต่พอเอ่ยปากพูดท่านก็บอกว่าเป็นข้าที่ไปหว่านล้อมให้ซ่งซิ่วจือช่วยเหลือ ความจริงแล้วในใจของท่านไม่เชื่อตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าซ่งซิ่วจือจะไม่ชอบข้า คงไม่ได้คิดเผื่อข้อที่ว่าข้าอาจจะไม่ชอบผู้อื่นมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วกระมัง”
นี่ช่างตรงกับที่ว่าเมื่อกระต่ายตกใจกลัวก็กัดคนได้จริงๆ!
คำพูดของนางทำให้เฉิงฉือโกรธจนกลายเป็นขบขัน เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ดี เจ้าลองบอกข้ามาให้ชัดว่าตกลงเป็นเพราะไม่ชอบคนเช่นซ่งซิ่วจือหรือเป็นเพราะรู้สึกว่าพวกข้าบีบบังคับให้เจ้าแต่งงาน เจ้าก็เลยรู้สึกไม่สบายใจ?”
“ข้าไม่อยากแต่งงานเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกัดริมฝีปาก กล่าวเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าอยากออกบวช…อยากเป็นแม่ชี…”
เฉิงฉือพลันกล่าวอะไรต่อไม่ออก
เขานึกถึงประสบการณ์ในชาติก่อนของโจวเสาจิ่น ในใจพลันรู้สึกปวดตุบตุบ!
เฉิงฉือนวดหน้าผากอย่างอดไม่ได้ กล่าวเสียงค่อยว่า “ลองสักหน่อยก็ไม่ได้หรือ เจ้าอยากออกบวช อยากเป็นแม่ชี เจ้าเคยคิดมาก่อนหรือไม่ว่า เจ้าอายุน้อยกว่าข้า ตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่อาจจะปกป้องคุ้มครองเจ้าได้ แต่หากข้าตายไปแล้วเจ้าจะทำอย่างไร แต่สามีภรรยานั้นไม่เหมือนกัน ได้อยู่ดูแลกันไปตลอดชีวิต หากคนหนึ่งเดินไปถึงวาระสุดท้ายก่อนอีกคนหนึ่ง ก็ยังมีลูกหลานให้พึ่งพา มีญาติพี่น้องให้พึ่งพาได้…”
หยาดน้ำตาของโจวเสาจิ่นไหลออกมา
นางรู้ดีว่า บางคำพูดนางพูดกับท่านน้าฉือได้เพียงคนเดียวเท่านั้น บางคำพูดมีเพียงท่านน้าฉือที่ฟังแล้วเข้าใจนาง
“ข้ากลัวเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นสะอึกสะอื้นกล่าว “ข้าไม่อยากลอง…ท่านอย่าบังคับให้ข้าแต่งงานเลย…หากวันใดที่ท่านปกป้องข้าไม่ได้แล้ว ข้าไม่อยู่ต่อแล้วก็ได้…ชาติก่อนข้าเองก็มีชีวิตอยู่เพียงยี่สิบห้าปีเท่านั้น…” ก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดเพียงนั้น ชาตินี้นางได้พบกับท่านน้าฉือแล้ว หากมีชีวิตอยู่จนถึงอายุยี่สิบห้าปีได้ ชีวิตนี้นางพอใจแล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายอีกแล้ว!
“กล่าววาจาไร้สาระ!” แค่คิดว่าสักวันตนอาจจะไม่มีทางได้ปกป้องดูแลเด็กน้อยผู้นี้อีก เฉิงฉือก็รู้สึกตื่นตระหนกและกระวนกระวายขึ้นมาในทันที กล่าวเสียงดุดันว่า “นี่เจ้าคิดจะมีชีวิตไปอย่างเปล่าประโยชน์หรืออย่างไร หากเจ้าตายไป บิดาของเจ้าจะทำอย่างไร พี่สาวของเจ้าจะทำอย่างไร พวกท่านยายและท่านป้าใหญ่ของเจ้าจะทำอย่างไร หากกล่าววาจาอัปมงคลพวกนี้อีก ข้าก็จะไม่สนใจเจ้าด้วยเหมือนกัน!”
โจวเสาจิ่นยิ้มทั้งน้ำตา
แม้นนำเสียงของท่านน้าฉือจะเคร่งขรึมดุดัน แต่คำพูดที่กล่าวออกมากลับเพื่อเป็นการดีต่อนางทั้งสิ้น นางมิใช่คนที่ฟังอะไรไม่ออกประเภทนั้น
โจวเสาจิ่นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตา แล้วไปชงชามาให้เฉิงฉือถ้วยหนึ่ง
เฉิงฉือดื่มชาไปสองสามอึก อารมณ์ก็สงบลงมา เขาเอ่ยถึงเรื่องอนาคตของโจวเสาจิ่นกับนางอย่างจริงจังว่า “…เรื่องออกบวชนั้นไม่ได้! ต่อให้บวชอยู่ในอารามของที่บ้านก็ไม่ได้! ชีวิตของคนออกบวชนั้นยากจนข้นแค้นเกินไป หากเจ้าอยากสวดภาวนาต่อพระพุทธองค์ ก็ให้รักษาศีลอยู่ที่บ้าน หากเจ้ารู้สึกไม่ไหว จะได้เลิกปฏิบัติเมื่อใดก็ได้ ส่วนเรื่องแต่งงานของเจ้า ข้าจะคุยกับบิดาของเจ้าเอง เจ้าไม่ต้องทำเสียเรื่อง ข้ารับปากว่าจะไม่บีบบังคับให้เจ้าแต่งงานอย่างแน่นอน!”
ทว่าไม่ได้รับปากว่าจะไม่ให้นางแต่งงาน!
โจวเสาจิ่นเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
แม้แต่เหนียงที่สิบเก้าของตระกูลกู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว มารดาที่รักและสงสารนางยังขอให้เฉิงฉือช่วยหาคู่แต่งงานหลังความตายให้นางเลย นับประสาอะไรกับบิดามารดาของนาง!
นางจะต้องได้ไปดูตัวไม่หยุดไม่หย่อนเป็นแน่
นางไม่ชอบคนเช่นซ่งซิ่วจือ ก็ยังมีคนที่ไม่เหมือนซ่งซิ่วจืออีก…
ตราบใดที่นางยังไม่แต่งงาน บิดาก็ไม่มีวันยอมแพ้
เฉิงฉือถอนหายใจ ยังคงไม่ยอมแพ้ เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าบอกความจริงข้ามา เป็นซ่งซิ่วจือที่ไม่ถูกใจเจ้า เจ้ากลัวว่าข้าจะโกรธก็เลยช่วยปิดบังให้ซ่งซิ่วจือผู้นั้น หรือเป็นเจ้าที่ไม่ถูกใจซ่งซิ่วจือ แล้วซ่งซิ่วจือช่วยเหลือเจ้า หรือเป็นพวกเจ้าที่ต่างคนก็ต่างไม่ถูกใจซึ่งกันและกัน?”
ในความเห็นของเขาแล้ว ต่อให้เคียดแค้นมากแค่ไหนก็มีช่วงเวลาที่สงบใจลง ต่อให้บาดแผลเลวร้ายเพียงใดก็มีช่วงเวลาเยียวยารักษาบาดแผล ตอนนี้โจวเสาจิ่นกลัวการแต่งงาน แต่ไม่เสมอไปว่าจะกลัวการแต่งงานไปตลอด
ต่อให้ครั้งนี้เขาจะผิดพลาดไปแล้ว แต่เขาก็ต้องรู้ให้ได้ว่าผิดพลาดที่ตรงไหน จะได้รู้ว่าต่อไปควรจะแก้ไขอย่างไร
โจวเสาจิ่นย่อมไม่กล้าโป้ปดเฉิงฉือ
เพราะถ้าเฉิงฉือเชื่อคำพูดของนางแล้วไปสร้างความลำบากให้ซ่งซิ่วจือจะทำอย่างไร
นางไม่อาจปล่อยให้ซ่งซิ่วจือช่วยเหลือนางแล้วยังต้องตกต่ำอีก!
“เป็นข้าที่ไม่อยากแต่งงานเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวตามตรง “คุณชายซ่งกำลังช่วยเหลือข้าอยู่!”
เฉิงฉือรู้สึกว่านางทำให้เขาโมโหจนจะตายให้ได้อยู่รอมร่อแล้ว
เพียงเจอหน้ากันครั้งเดียว ได้พูดคุยกันไม่กี่ประโยค ซ่งซิ่วจือผู้นั้นก็ยินดีช่วยเหลือนางโดยไม่เห็นแก่ชื่อเสียงที่ต้องเสียหายของตัวเองแล้ว…ต่อไปนางจะไปหาคนที่ทั้งมีคุณสมบัติโดดเด่นและชอบนางมากเช่นซ่งซิ่วจือผู้นี้ที่ไหนได้อีก!
ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ดูแล้วดูอีกกว่าจะตัดสินใจเลือกซ่งซิ่วจือหรอก
เป็นเจี้ยหยวนตั้งแต่อายุยังน้อย นางคิดว่าจะหาเจอเมื่อใดก็ได้อย่างนั้นหรือ
เฉิงฉือเอ่ยขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า กล่าวเสียงค่อยว่า “ข้ารู้เจ้าค่ะว่าคุณชายซ่งไม่เพียงเป็นคนที่ดีมาก ยังเป็นคนฉลาดมีพรสวรรค์ สถานะครอบครัวสูงส่งทว่ากลับถ่อมตนและสุภาพ และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขายังยินดีช่วยเหลือข้าด้วย…”