ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 386 ย้ายบ้าน
โจวเสาจิ่นซุกใบหน้าอยู่ในผ้าห่มผืนนุ่ม น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ไม่นาน ผ้าห่มก็เปียกชื้นเป็นหนึ่งวงใหญ่ ทำให้ใบหน้าของนางเปียกชื้นไปหมด
นางย้ายไปมุมอื่น แล้วร้องไห้ต่อ
ชุนหว่านยืนอยู่ข้างๆ เตียงด้วยความสับสนมึนงงไปหมด โน้มตัวลงมาดูด้วยความกังวลทว่าไม่กล้าแสดงออก เอ่ยถามเสียงเบาว่า “คุณหนูรอง นี่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ รู้สึกไม่สบายที่ตรงไหนหรือเปล่า อยากให้ข้าไปบอกต้ากูไหน่ไนสักคำ และเชิญท่านหมอมาสักคนหรือไม่…”
“ไม่ต้อง!” เสียงของโจวเสาจิ่นอ่อนแรงไม่ชัดเจน ทว่าน้ำเสียงรีบร้อนยิ่ง “ไม่อนุญาตให้บอกท่านพี่! หากเจ้าบอกท่านพี่ ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีก”
เช่นนั้นนางจะทำอย่างไรดี
จะให้ทนมองคุณหนูรองนอนร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจอยู่บนเตียงเช่นนี้เฉยๆ อย่างนั้นหรือ
ชุนหว่านจะเดินหน้าจะถอยหลังล้วนลำบาก ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “หรือไม่ ข้าจะใช้น้ำตาลกรวดต้มน้ำหลีจื่อมาให้คุณหนูรองสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”
โดยปกติแล้วเมื่อร้องไห้เสร็จมักจะรู้สึกคอแห้งกันทั้งนั้น
โจวเสาจิ่นไม่ส่งเสียงใด
ชุนหว่านจึงถือว่านางตอบตกลงแล้ว จึงออกจากห้องชั้นในไปอย่างเบามือเบาเท้า
เสี่ยวถานและอีกหลายคนกำลังรออย่างกระวนกระวายอยู่หน้าประตู เมื่อเห็นนางปรากฏตัวออกมาก็เข้าไปรุมล้อมนาง กระซิบถามว่า “คุณหนูรองว่าอย่างไรบ้าง”
“ไม่ยอมพูดอะไรเลย” สีหน้าของชุนหว่านดูหนักอึ้งเล็กน้อยขณะส่ายหน้าไปมา กล่าวว่า “ตอนที่หมอหลวงเฉาตรวจชีพจรให้คุณหนูรองนั้น พวกเราล้วนออกไปข้างนอกกันทั้งหมด ภายในห้องมีเพียงหลี่มามาและหมอหลวงเฉาผู้นั้นเท่านั้น…ถ้าหากว่าไม่ได้การจริงๆ คงต้องไปถามหลี่มามาแล้วกระมัง”
จี๋เสียงที่อายุยังน้อยเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบายใจว่า “หรือว่าอาการป่วยของคุณหนู…”
“เจ้าอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อนเชียว” ปี้เถาทำหน้าเคร่งเอ่ยตำหนินางเสียงเบา “ถ้าหากอาการป่วยของคุณหนูรักษาไม่ได้ นายท่านสี่ฉือและต้ากูไหน่ไนจะยังนั่งคุยกันอย่างใจเย็นอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร”
“แต่เหตุใดคุณหนูรองถึงร้องไห้อย่างแสนเสียใจขนาดนั้นด้วย” เสี่ยวถานขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยต่อว่า “หรือว่านายท่านสี่ฉือจะพูดอะไรบางอย่าง”
ชุนหว่านได้ยินแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นทันที สั่งให้จี๋เสียงไปต้มน้ำหลีจื่อให้โจวเสาจิ่น ให้ปี้เถาไปเฝ้าที่หน้าประตู แล้วลากเสี่ยวถานไปที่เฉลียงทางเดิน กระซิบถามเสียงเบาว่า “เจ้าได้ยินอะไรมา”
พวกนางรออยู่ที่ห้องข้างเป็นเวลานานแต่ก็ไม่มีใครจากเรือนปีกเรียกพวกนางเข้าไปสักที
เวลานั้นเป็นเสี่ยวถานที่ชะโงกศีรษะเข้าไปเมียงมองความเคลื่อนไหว
เสี่ยวถานลังเลครู่หนึ่ง ถึงได้กดเสียงลงต่ำเอ่ยขึ้นว่า “เวลานั้นในลานบ้านเงียบเชียบไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ข้าเหมือนกับจะได้ยินเสียงร้องไห้ของคุณหนูรอง…แต่ก็ร้องๆ หยุดๆ ข้าจึงได้ยินไม่ชัดเจนนัก…ส่วนเรื่องถัดจากนั้นเจ้าเองก็รู้หมดแล้วเช่นกัน กล่าวคือ พอพวกเราเข้าไปหลังจากที่นายท่านสี่เดินออกไป คุณหนูรองก็มีสภาพเช่นนั้นแล้ว!”
“ทำให้คนกังวลแทบตายจริงๆ เลย!” เรื่องของซ่งมู่ ชุนหว่านตัดสินใจว่าจะเก็บเอาไว้ในท้อง แน่นอนว่าไม่อาจเอ่ยถึงอยู่แล้ว แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว ชุนหว่านก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่ามีเรื่องอะไรที่ควรค่าให้โจวเสาจิ่นต้องร้องไห้ขนาดนี้ด้วย
นางได้แต่กล่าวขึ้นว่า “ช่างเถิด! ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็มีคนที่สูงกว่าแบกรับอยู่ด้านบน หากคุณหนูรองเป็นอะไรจริงๆ มิใช่ว่ายังมีนายท่านสี่ฉือและต้ากูไหน่ไนอยู่หรือ พวกเราสนใจเพียงเรื่องปรนนิบัติดูแลคุณหนูให้ดีก็พอ”
เสี่ยวถานกลับเอ่ยถามขึ้นว่า “ควรจะไปปรึกษาฝานมามาและซางมามาหรือไม่”
“ยังไม่ดีกว่า!” ชุนหว่านคิดว่าหากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้ผู้อื่นสงสัยเรื่องของซ่งมู่ได้ “พวกนางล้วนเป็นมามามีอายุกันแล้ว หากพรุ่งนี้คุณหนูรองยังร้องไห้เช่นนี้อยู่อีก พวกเราค่อยไปหารือกับฝานมามาและซางมามาก็ยังไม่สาย มามาทั้งสองท่านจะได้ไม่รู้สึกว่าพวกเราไม่มีความอดทนด้วย”
เสี่ยวถานยังคงรู้สึกว่าควรจะบอกซางมามาสักคำ แต่ในเมื่อชุนหว่านแสดงออกว่าคัดค้านอย่างชัดเจน นางก็ไม่อาจรั้นต่อไปได้อีก
ตัดสินใจให้เป็นไปตามที่ชุนหว่านกล่าวมา รออีกสักหนึ่งวันแล้วค่อยว่ากันอีกที
บางทีคุณหนูรองอาจจะเพียงรู้สึกเสียใจชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นก็เป็นได้
ภายในห้องค่อยๆ เงียบสงบลงมา โจวเสาจิ่นเองก็ร้องไห้จนเหนื่อยแล้วเช่นกัน
ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกนางขยำจนเป็นก้อน
ท่านน้าฉือ…ช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว!
ทำกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร!
บีบคั้นนางจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
ยังพูดอะไรทำนองว่าให้นางเป็นเด็กดี อย่าคิดอะไรไร้สาระ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยังมีเขาอยู่นั่นอีก…
นางไม่เชื่อเขาแล้ว!
โจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำ
ตอนเขาพูดขยับเข้ามาใกล้นางเสียขนาดนั้น ลมหายใจกวาดผ่านใบหูของนาง ทั้งร้อนและอุ่น คันยุบยิบอยู่ตรงบริเวณลำคอของนาง นางรู้สึกขนลุกขนชันไปหมดทว่าไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยแม้แต่นิดเดียว…
เหตุใดต้องทำให้นางได้พานพบกับเฉิงสวี่ด้วย
ทำไม?
หยาดน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด พาดตัวอยู่ข้างเตียงอาเจียนออกมา
“เสาจิ่น!” คนที่พุ่งตัวเข้ามาคือโจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาว นางกระวีกระวาดกอดน้องสาวเอาไว้ในอ้อมอก ตำหนิชุนหว่านและคนอื่นๆ เสียงดังลั่นว่า “คุณหนูรองเป็นถึงขั้นนี้แล้ว พวกเจ้ายังจะยืนทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้นทำอะไรกัน ยังไม่รีบไปเชิญท่านหมอมาอีก…”
นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกน้องสาวคว้ามือเอาไว้แน่นเสียก่อน
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมาด้วยใบหน้าขาวซีด ดวงตาทั้งบวมและแดงขณะเผยรอยยิ้มออกมารอยยิ้มหนึ่ง มองแล้วทำให้คนรู้สึกปวดแปลบใจยิ่ง “เมื่อครู่ร้องไห้จนสำลักเท่านั้น…”
โจวชูจิ่นไม่เชื่อ
นางไล่คนรับใช้ในห้องออกไป เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยว่า “เป็นเพราะคุณชายซ่งใช่หรือไม่”
“มิใช่เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นรีบกล่าว “ท่านพี่อย่าได้คาดเดาส่งเดช ไม่เกี่ยวกับคุณชายซ่งเจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นโกรธที่นางไม่คิดจะสู้เลย
โจวเสาจิ่นยิ้มขื่นอย่างไร้เรี่ยวแรง
ตำแหน่งแพะรับบาปนี้ คุณชายซ่งคงต้องแบกรับเอาไว้แล้ว!
อย่างไรเสียนางก็ทำผิดต่อคุณชายซ่งแล้ว คงได้แต่ต้องสร้างความยุ่งยากให้คุณชายซ่งต่อแล้ว
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้าอยากอาบน้ำเจ้าค่ะ!”
“เวลานี้น่ะหรือ” โจวชูจิ่นตะลึงงัน “นี่ก็ใกล้จะถึงเวลารับมื้อเย็นแล้ว…”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “พี่เขยใกล้จะกลับมาแล้ว! ท่านพี่ไม่ต้องใส่ใจข้า ข้าเพียงรู้สึกว่าเนื้อตัวสกปรกยิ่งเท่านั้น”
โจวชูจิ่นมองคราบอาเจียนที่อยู่ข้างเตียง จึงไม่คัดค้านอีก สั่งการให้ชุนหว่านปรนนิบัติโจวเสาจิ่นอาบน้ำ
โจวเสาจิ่นจุ่มร่างของตัวเองลงไปในอ่างน้ำจนมิดทั้งร่าง กระทั่งใกล้จะขาดอากาศหายใจแล้วถึงได้ส่งเสียงคำรามหนึ่งพร้อมกับโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ
ชุนหว่านได้ยินแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก พูดซ้ำๆ ไม่หยุดว่า “คุณหนูรองทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ! หากสำลักน้ำขึ้นมาไม่ได้การแน่แล้ว!”
โจวเสาจิ่นทำเช่นนั้นอีกหลายครั้ง กระทั่งน้ำเข้าจมูกถึงได้พาดตัวอยู่บนขอบอ่างไม้ ปล่อยให้ชุนหว่านและคนอื่นๆ ช่วยกันสระผมให้นาง
จี๋เสียงมองผิวขาวดุจหิมะแรกอันแวววาวของนางแล้วอดกล่าวชมขึ้นมาไม่ได้ว่า “คุณหนูรองช่างงดงามจริงๆ เจ้าค่ะ”
ชุนหว่านถลึงตาใส่จี๋เสียงครั้งหนึ่ง
ไม่รู้เพราะเหตุใด คุณหนูรองไม่ชอบให้ผู้อื่นชมนางว่างดงาม
นางลอบมองสำรวจโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นหลุบตาลงต่ำ แผงขนตายาวบนเปลือกตานั้นทิ้งเงาสายหนึ่งเอาไว้ ดูราวกับไม่ได้ยินก็ไม่ปาน
ชุนหว่านโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง รีบช่วยสระผมให้โจวเสาจิ่นอย่างว่องไว
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าหัวสมองของตัวเองราวกับถูกแป้งเปียกโปะจนแน่น จึงไร้หนทางไปครุ่นคิดสิ่งใดได้
เมื่อหลายวันก่อน นางยังวางแผนชีวิตในอนาคตของตัวเองเสียดิบดีอย่างลิงโลดอยู่เลย แต่ว่าตอนนี้ นางกลับไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเดินไปทางไหนดีแล้ว
ตกลงท่านน้าฉือคิดจะทำอะไรกันแน่
นางไม่ต้องเจอเขาอีกเลยจะเป็นไปได้หรือไม่
มิใช่…ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ ได้หรือไม่…นางเพียงอยากจะลืมทุกอย่างไปให้หมด…และได้เห็นเขาเป็นครั้งคราวจากที่ไกลๆ ก็พอ…
นางยังจะเป็นแม่ชีได้อย่างราบรื่นอยู่หรือไม่
ถ้าหากนางเป็นแม่ชีแล้ว ท่านน้าฉือยังจะทำกับนางเช่นนั้นอยู่ นางควรจะทำอย่างไร
หรือว่า…หรือว่าก็ทำอย่างที่เขาทำเช่นนั้นไปเลย?
จู่ๆ นางก็รู้สึกปวดที่บริเวณเอวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ราวกับว่ายังหลงเหลือความรู้สึกที่เฉิงฉือรัดเอวของนางเอาไว้แน่นนั้นอยู่
โจวเสาจิ่นอดขบฟันไม่ได้
นางอยากกลับเมืองเป่าติ้งแล้ว!
โจวชูจิ่นผลักประตูเข้ามา
“เหตุใดเจ้ายังอยู่ในอ่างน้ำอยู่อีก” นางถามอย่างประหลาดใจ “แม้อากาศจะค่อยๆ กลับมาอบอุ่นแล้ว แต่ก็เจ้าก็ไม่อาจทำตัวเช่นนี้ได้ รีบไปสวมเสื้อผ้าเสีย ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”
โจวเสาจิ่นปล่อยให้ชุนหว่านช่วยเช็ดตัวให้นาง เอ่ยถามพี่สาวที่อยู่หลังฉากกั้นว่า “พี่เขยยังไม่กลับมาหรือเจ้าคะ ท่านพี่มาหาข้ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ”
“พี่เขยของเจ้าบอกว่าวันนี้มีสหายที่คัดลอกหนังสือด้วยกันที่สำนักฮั่นหลินเชิญไปกินข้าวด้วย จะกลับมาช้าหน่อย” โจวชูจิ่นนั่งลงตรงหน้ากระจก ด้านหนึ่งก็เล่นเครื่องประดับของโจวเสาจิ่นเล่นอย่างสนใจไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็กล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่าว “ข้ามาหาเจ้าก็เพราะอยากคุยกับเจ้าเรื่องย้ายบ้าน…”
“ย้ายบ้าน?” โจวเสาจิ่นชะโงกศีรษะออกมาจากฉากกั้นมองโจวชู่จิ่นด้วยความประหลาดใจครั้งหนึ่งแล้วดึงศีรษะกลับไป ปล่อยให้ชุนหว่านสวมชุดชั้นในให้นางพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ย้ายไปอยู่ที่ใดหรือเจ้าคะ หรือว่าแม่สามีของท่านให้พวกท่านย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของตระกูลเลี่ยวที่จิงเฉิง? มิใช่ว่าก่อนหน้านี้ไม่อยากให้พวกท่านใกล้ชิดกับญาติพี่น้องของตระกูลเลี่ยวที่จิงเฉิงมากเกินไปหรอกหรือ”
“มิใช่ข้าที่ต้องย้ายบ้าน!” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เป็นเจ้า ฮูหยินและโย่วจิ่นที่ต้องย้ายบ้าน ย้ายไปอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนของท่านน้าฉือ”
“อะไรนะเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นสวมรองเท้าแล้วก็วิ่งออกมา “ในสวนแตงใต้ต้นลูกไหน[1]เช่นนี้ เหตุใดข้าต้องย้ายไปอยู่ซอยอวี๋เฉียนด้วย ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ!”
ชุนหว่านไล่ตามออกมาคลุมเสื้อเพ่ยจื่อตัวหนึ่งลงบนไหล่ของนาง
โจวเสาจิ่นนึกถึงจุมพิตเมื่อครู่แล้ว ใบหน้าร้อนผะผ่าว
นี่คือแผนของเขาอย่างนั้นหรือ
เขาช่างกล้าคิดนัก!
ยังคิดจะให้นางย้ายไปอยู่กับเขาอีก!
นางไม่อยากไปอยู่กับเขา!
เขาต้องคิดจะรังแกนางเป็นแน่…นางไม่ได้โง่เสียหน่อย
“อารมณ์ของเจ้านี้เหตุใดถึงเหมือนพลุเหมือนปะทัดก็ไม่ปาน” โจวชูจิ่นมองน้องสาวผู้ที่อ่อนโยนว่านอนสอนง่ายมาตลอดจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเอาแต่ใจเป็นเด็กขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางหลุดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวว่า “วันนี้พอท่านน้าฉือออกมาจากห้องของเจ้าก็ไปหาข้า เอ่ยถึงเรื่องที่แม่สามีข้าจะเข้าเมืองหลวงขึ้นมา ความหมายของท่านน้าฉือก็คือ หลังจากที่แม่สามีของข้าเข้าเมืองหลวงมาแล้ว จะต้องไปมาหาสู่กับญาติตระกูลเลี่ยวที่อยู่จิงเฉิงอย่างแน่นอน อีกทั้งบ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านที่แม่สามีข้าใช้เงินสินเดิมซื้อให้ข้าและพี่เขยของเจ้า เดิมทีคนพวกนั้นก็อิจฉาตาร้อนกันอยู่แล้ว พอเห็นพวกเจ้าพักอยู่กับข้าที่นี่ เกรงว่าถึงเวลานั้นอาจจะเอาไปพูดอะไรต่อมิอะไรก็เป็นไปได้หมด ท่านน้าฉือคงไม่อยากให้เจ้าและฮูหยินได้รับเรื่องน่ากวนใจพวกนี้ของตระกูลเลี่ยว ดังนั้นถึงได้เชิญพวกเจ้าย้ายไปอยู่ที่โน่นด้วย…”
เป็นคนมาสองชาติภพ ความยากลำบากของพี่สาวในตระกูลเลี่ยวนั้น ไม่มีผู้ใดเข้าใจกระจ่างแจ้งได้เท่าโจวเสาจิ่นอีกแล้ว
ชาติก่อน ช่วงเวลาที่นางพักอยู่ในบ้านของพี่สาวนั้นก็ได้รับสายตาดูถูกจากคนตระกูลเลี่ยวมาไม่น้อย
นอกจากนี้ตอนที่นางเพิ่งเข้ามาอยู่ที่ซอยอวี๋ซู่แรกๆ ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจเล็กน้อย กล่าวคือ ที่นี่คับแคบเพียงนี้ หากฮูหยินใหญ่เลี่ยวมาถึงจิงเฉิงแล้วจะให้พี่สาว พี่เขยและกวนเกอออกจากเรือนหลักและให้เข้าไปอยู่ที่เรือนปีกตะวันตกซึ่งใช้เป็นเรือนเก็บของนั้นหรือไม่
เรื่องย้ายออกนั้นนางคิดว่าเป็นเรื่องสมควรยิ่ง แต่นางไม่อยากย้ายไปอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน
ขนาดว่านางอยู่ซอยอวี๋ซู่ท่านน้าฉือยังกล้าทำรุ่มร่าม ถ้าหากนางย้ายไปอยู่ซอยอวี๋เฉียน จะมิกลายเป็นเนื้อบนเขียงของท่านน้าฉือไปแล้วหรอกหรือ
แต่ถ้าไม่ย้ายออกไป ก็มีแต่จะทำให้พี่สาวและพี่เขยลำบากใจ
นางกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ให้ท่านน้าฉือไปอยู่ที่ซอยซิ่งหลิน หากไม่ได้ก็ย้ายไปอยู่เป็นเพื่อนนายท่านผู้เฒ่ารองก็ได้!”
โจวชูจิ่นได้แต่หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า “ปกติข้าดูไม่ออกเลยว่าเจ้าจะใจกล้าได้ถึงเพียงนี้ ท่านน้าฉือจะไปอยู่ที่ไหนเจ้าก็ยังกล้าไปจัดแจงด้วย เขาปรารถนาดีให้เจ้าไปอยู่บ้านของเขา แต่เจ้าก็ดี กลับต้องการไล่ท่านน้าฉือไปอยู่ที่ซอยซิ่งหลิน…เขานี่ช่างดีจริงๆ เลยที่เลี้ยงคนไม่เชื่องผู้หนึ่งเอาไว้…”
“อะไรที่ว่าเลี้ยงไม่เชื่องเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นอับอาย พึมพำกล่าวขึ้นว่า “ข้า…ข้าก็เพียงรู้สึกว่าที่บ้านของท่านน้าฉือไม่มีนายหญิงของบ้านอยู่ด้วย ข้าและฮูหยินเป็นสตรี จู่ๆ ก็เข้าไปอยู่เช่นนี้ ดูไม่ค่อยดีนักก็เท่านั้น…”
“เรื่องนี้ต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ!” โจวชูจิ่นยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะไม่หยุด เอ่ยว่า “ท่านน้าฉือคิดเผื่อเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว หลังจากที่พวกเจ้าย้ายเข้าไปอยู่แล้ว เขาจะย้ายไปอยู่ที่บ้านของเขาหลังที่ตั้งอยู่ใกล้กับประตูเฉาหยางหลังนั้น ไม่ได้จะอยู่ด้วยกันกับพวกเจ้าอยู่แล้ว!
………………………………………………………………….
[1] ในสวนแตงใต้ต้นลูกไหน (瓜田李下) หมายถึง อยู่ในสถานการณ์ที่น่าสงสัย