ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 391 ความลับ
มิใช่ว่าโจวเสาจิ่นไม่เคยเห็นทองคำแท่งมาก่อน
แต่ทองคำแท่งที่นางเคยเห็นล้วนเป็นทองคำแท่งขนาดเล็ก ที่ยาวไม่เกินสามชุ่นกว้างไม่เกินหนึ่งชุ่น เวลาวางอยู่บนฝ่ามือก็เล็กจนดูคล้ายกับของเล่นประเภทนั้น นางไม่เคยเห็นทองคำแท่งที่มีขนาดใหญ่เท่าก้อนอิฐสำหรับสร้างกำแพงบ้านอย่างที่เห็นอยู่ในเวลานี้มาก่อน
โจวเสาจิ่นมองจนตะลึงงันไปบ้างไม่มากก็น้อย รู้สึกราวกับตัวเองกำลังอยู่ในความฝันก็ไม่ปาน
ตกลงท่านน้าฉือขนย้ายเงินจากกองกลางมาเป็นจำนวนเท่าใดกันแน่
จะถูกจับได้หรือไม่
นางรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย!
ไหวซานกลับเอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่านสี่ ตอนนี้มีเพียงเท่านี้เ พวกหลงจู๊จ้าวได้ออกไปขนย้ายตลอดทั้งคืนแล้วขอรับ”
ยัง…ยังมี….
โจวเสาจิ่นตัวสั่นมองเฉิงฉือด้วยความหวาดกลัว
เฉิงฉือเห็นนางราวกับถูกทำให้ตกใจกลัวไปแล้ว รีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “แค่นี้ก็พอแล้ว”
ถ้าหากผ่านไปช่วงหนึ่งแล้วเด็กน้อยมีรอยร้าวกับตนอีก ด้วยความชอบที่เสาจิ่นมีต่อเขาแล้ว คาดว่าเรื่อง ‘กินให้อิ่มจากถุงเงินกองกลาง’ นี้คงยังจะได้กระทำอีกสักครั้งหนึ่ง
ไหวซานไม่รู้เรื่องนี้ นึกถึงท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดของเฉิงฉือเมื่อครู่ที่ต้องการให้เขาคิดหาวิธีไปขนทองคำแท่งบางส่วนเข้ามา แต่เพียงพริบตาเดียวก็บอกว่าไม่ต้องรีบแล้ว อดที่จะชำเลืองมองไปที่โจวเสาจิ่นอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้
ไม่รู้ว่าคุณหนูรองอยากได้ทองคำพวกนี้ไปทำอะไร
เอามาแล้วไม่เก็บไว้ในห้องเก็บของ กลับฝังเอาไว้ใต้พื้นกระเบื้องของห้องนอนเช่นนี้…เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก
เฉิงฉือกลัวว่าโจวเสาจิ่นจะรู้สึกหวาดกลัว กระซิบกล่าวกับนางเสียงเบาว่า “พวกเราออกไปกันเถอะ ปล่อยให้พวกเขาจัดการให้เสร็จ”
“เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นขานรับอย่างเชื่อฟัง หันศีรษะกลับไปมองทองคำแท่งพวกนั้นอีกครั้งหนึ่ง ถึงได้รู้สึกว่านี่คือความจริง ตามเฉิงฉือออกมาจากห้องนอน ตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยแล้วก็คว้าจับแขนเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้แน่น
มองมือขาวนวลเล็กของนางที่จับตนเอาไว้แล้ว เฉิงฉือรู้สึกหัวใจอ่อนยวบ ถามนางเสียงอบอุ่นว่า “ทำให้เจ้าตกใจกลัวแล้วใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นรีบส่ายศีรษะ แต่แล้วก็พยักหน้าเบาๆ กล่าวเสียงค่อยว่า “ท่านผู้นำตระกูลจวนรองจะจับได้หรือไม่เจ้าคะ”
เฉิงฉือหยุดฝีเท้าลงยืนนิ่ง หันกลับมามองนาง มุมปากแฝงรอยยิ้มซุกซนเล็กน้อย โน้มตัวลงมาถามว่า “เป็นห่วงข้าหรือ”
โจวเสาจิ่นหน้าแดง
จะพูดคุยก็เพียงพูดคุยก็พอ ท่านน้าฉือจะเข้ามาใกล้นางขนาดนี้ไปทำไมกัน
อีกเพียงนิดเดียวก็จะชนแก้มของนางอยู่แล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่อาจร้องตะโกนเสียงดังออกมาได้…นางนึกถึงคำพูดของเขาที่ว่า ‘ยากที่จะควบคุมตัวเองเอาไว้ได้’ ประโยคนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงหน้าจึงยิ่งแดงก่ำมากยิ่งขึ้น
เฉิงฉือได้ในสิ่งที่เขาอยากได้แล้ว รู้ว่าหากตนขยับเข้าไปมากกว่านี้ เด็กน้อยก็จะตั้งกำแพงใจขึ้นมาอีก
นางยิ้มพลางยืดตัวขึ้นตั้งตรง จับมือของนางเอาไว้ เอ่ยขึ้นว่า “ไปกันเถอะ กลับไปเล่นหมากกัน”
ยังจะเล่นอีกหรือ
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
เฉิงฉือยิ้มพลางโน้มตัวไปข้างหน้าอีกครั้ง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าจะบอกเจ้าเรื่องพรรคเจ็ดดารา!”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ตกตะลึงงัน เลือดในกายกลับพรั่งพรูพวยพุ่งขึ้นไปไม่หยุด รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
พรรคเจ็ดดารา…ชื่อนี้ช่างตั้งได้แปลกประหลาดนัก! เหมือนกับชื่อของจอมยุทธ์ที่มีเขียนเอาไว้ใน ‘สามผู้กล้าห้าผู้ทรงธรรม’ เหล่านั้น…นี่คงมิใช่ความลับของท่านน้าฉือหรอกกระมัง
โจวเสาจิ่นปล่อยให้เฉิงฉือจับมือนางเดินนำไปข้างหน้าอย่างเบื้อใบ้
ชั่วขณะที่เฉิงฉือก้าวเท้าออกมาจากปากประตูห้องโถงจังหวะนั้นได้ชำเลืองมองไปทางเรือนปีกตะวันออกอย่างไม่ตั้งใจครั้งหนึ่ง ทว่าก็ปล่อยมือของโจวเสาจิ่นออก
หลี่ซื่อเห็นเฉิงฉือมองมาทางนี้ ก็ตกใจเป็นการใหญ่ คิดจะถอยออกมาเพื่อซ่อนตัวตามสัญชาตญาณ จากนั้นไม่นานก็คิดได้ว่าตนเพียงผลักหน้าต่างออกเป็นช่องเล็กๆ ช่องหนึ่งเท่านั้น เฉิงฉือน่าจะมองไม่เห็น ถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก ตบหน้าอกตัวเองเบาๆ บังเกิดความรู้สึกคล้ายกับได้รอดชีวิตออกมาจากมหันตภัยร้าย หลังจากที่มองดูเฉิงฉือและโจวเสาจิ่นเดินเรียงหน้าคนหนึ่งหลังคนหนึ่งออกจากเรือนหลักไปแล้ว ก็กลับมานั่งในห้องนอน กระซิบถามหลี่มามาว่า “เจ้าคงเห็นชัดเจนแล้วว่าบ่าวข้างกายของนายท่านสี่คนที่เคร่งขรึมไม่พูดไม่ยิ้มผู้นั้นนำคนขนหีบเข้าไปห้าหีบแล้วกระมัง”
หลี่มามาพยักหน้า น้ำเสียงเบายิ่งกว่าของหลี่ซื่อเสียอีก “ข้าลอบนับดูแล้ว หีบไม่มากนัก ไม่มีทางนับผิดอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่ออดพึมพำกล่าวไม่ได้ว่า “ตกลงนายท่านสี่มีของอะไรอยู่ในเรือนหลักที่ไม่ทันได้ขนออกไปกันนะ”
คำพูดของเฉิงฉือทำให้นางเข้าใจผิด นางเข้าใจว่าเฉิงฉือกำลังนำของออกมามิใช่กำลังนำของเข้าไปเก็บข้างใน
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางตัดสินใจแล้วว่าจะแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด รอให้เสร็จพิธีครบรอบร้อยวันของกวนเกอนางก็จะพาเสาจิ่นกลับเมืองเป่าติ้งแล้ว จะสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน
นางย้ำกำชับหลี่มามาว่า “เจ้าเองก็ต้องปิดปากให้สนิท”
หลี่มามากล่าวยิ้มๆ ว่า “บ่าวชราทราบแล้วเจ้าค่ะ เรื่องนี้หากพูดออกไป มิใช่เรื่องตลกล้อเล่นเป็นแน่”
นายท่านสี่ของตระกูลเฉิงเรียกคุณหนูรองออกไปกลางดึกสงัดแล้วให้คนเข้ามาขนย้ายของ ของพวกนี้จะต้องมิใช่ของธรรมดาเป็นแน่ เรื่องพวกนี้นางยังพอมีแววตาอยู่
หลี่ซื่อวางใจลงมาได้ เป่าดับไฟที่ตะเกียง กล่าวกับหลี่มามาว่า “นอนเถิด! พรุ่งนี้ยังต้องไปหาต้ากูไหน่ไนตั้งแต่เช้าตรู่อีก” จากนั้นก็คิดถึงกวนเกอที่ยิ่งโตก็ยิ่งน่ารักน่าทะนุถนอมและคิดถึงบุตรสาวที่มักจะพาดตัวอยู่ข้างๆ นั่งเฝ้าเขาตาไม่กะพริบแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ขึ้นเตียงไปด้วยความรู้สึกเปรมปรีดิ์มีความสุข
***
โจวเสาจิ่นตามเฉิงฉือกลับมาที่ห้องหนังสือของเรือนชั้นนอกอีกครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือให้หลั่งเย่ว์ย้ายชุดชงน้ำชาเข้ามา ชงชาด้วยตัวเอง
นี่คงหมายความว่าต้องสนทนากันยาวแล้ว!
โจวเสาจิ่นมีความรู้สึกทำนองว่าเวลายังเช้าอยู่ พวกเรายังมีเวลาสนทนากันได้อีกนานขึ้นมา
นี่ทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
นางนั่งอยู่ข้างๆ อย่างยิ้มแย้ม มองเฉิงฉือชงชาด้วยท่วงท่าสง่างามและเชี่ยวชาญอยู่เงียบๆ
เฉิงฉือมองสีหน้าสงบนิ่งของนางแล้ว อารมณ์ก็ดีตามไปด้วย
ยื่นชาส่งให้โจวเสาจิ่นจอกหนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “เจ้ารู้เรื่องของบรรพบุรุษของพวกข้าหรือไม่”
โจวเสาจิ่นถือจอกชาเอาไว้ พยักหน้าหงึกดั่งลูกไก่จิกข้าวสาร ถึงได้ประคองจอกชาวางไว้ใต้จมูกเพื่อสูดดมกลิ่นชา
เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับกล่าวอธิบายว่า “เป็นชาต้าหงเผาของฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว รออีกสักสองสามวันก็จะมีชาหลงจิ่งและชาปี้หลัวชุนก่อนวันชิงหมิงของปีนี้ออกมาแล้ว”
โจวเสาจิ่นลิ้มรสไปหนึ่งจิบ
รสชากลมกล่อมและติดลิ้นนาน
อร่อยจริงๆ!
นางควรจะรู้มาตั้งนานแล้วท่านน้าฉือชงขาเก่งยิ่ง
ช่างน่าขุ่นเคืองที่เขายังจะชอบสั่งให้ตนช่วยชงชาให้เขาอยู่บ่อยๆ อีก
โจวเสาจิ่นค่อนขอดอยู่ในใจ ทว่าก็รู้สึกมีความสุขและใจเต้นอย่างอธิบายไม่ได้ ยื่นจอกชาออกไปตรงหน้าเฉิงฉืออย่างซุกซน กล่าวอย่างออดอ้อนว่า “ขออีกหนึ่งจอกเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือหลุดหัวเราะ
เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ เห็นตนเป็นบริกรในโรงน้ำชาไปแล้วหรืออย่างไร
แต่เสียงหวานหยดย้อยและการชำเลืองมองเขาด้วยท่าทางเอาแต่ใจกึ่งหนึ่งและยียวนกึ่งหนึ่งของโจวเสาจิ่นนั่น น่ารักจนทำให้หัวใจของเฉิงฉือกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นตามขึ้นมาด้วย
ที่แท้เมื่อเด็กน้อยออดอ้อนเอาแต่ใจขึ้นมาก็มีท่าทางเป็นเช่นนี้นี่เอง!
เขาหัวเราะอย่างรักใคร่ ชงชาให้โจวเสาจิ่นใหม่อีกหนึ่งจอกอย่างไหลไปตามน้ำ
โจวเสาจิ่นเองก็มีความกล้าแค่นี้ กล้ายียวนเฉิงฉือสักครั้งเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่ไม่กล้าทำให้เฉิงฉือร้อนใจจริงๆ
หลังจากที่นางดื่มชาจอกที่สองเสร็จแล้ว ก็นั่งมองเฉิงฉืออยู่ตรงนั้นเงียบๆ รอให้เขาเอ่ยปากพูดเอง
ช่างรู้ความจริงๆ!
จะมีคนไม่ชอบนางได้อย่างไร
ในหัวสมองของเฉิงฉือมีภาพของหยวนซื่อลอยเข้ามา แต่ไม่นานก็โยนนางทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เอ่ยขึ้นว่า “คนเป็นจำนวนมากต่างรู้ว่าบรรพบุรุษของข้าสละชีวิตเพื่อราชวงศ์ แต่กลับไม่รู้ว่าราชสำนักในเวลานั้นได้เกิดความวุ่นวายระส่ำระสาย สูญสิ้นซึ่งคุณธรรมความดีงามไปแล้ว ต่อให้บรรพบุรุษของข้าจะมีความสามารถเปลี่ยนวิกฤตกาลได้ แต่สถานการณ์สิ้นหวังเกินไป ได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถเท่านั้น”
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วสีหน้าเคร่งขึ้นเล็กน้อย นั่งยืดตัวตรงขึ้น
น้ำเสียงของเฉิงฉือหยุดลงครู่หนึ่ง กล่าวช้าๆ ว่า “แต่เลี่ยฮ่องเต้เสมือนกับว่าทรงสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนย้ายตัวออกห่างของดาวเหนือ[1]ก็ไม่ปาน ไม่เพียงไม่เพิ่มความเข้มแข็งและแข็งแกร่ง ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้เรื่องเลวร้ายยิ่งขึ้น ทรงใช้ชีวิตสุขสำราญไปกับการกินดื่ม กระทั่งท้องพระคลังว่างเปล่า ไม่ต้องกล่าวถึงเบี้ยรายเดือนของบรรดาขุนนางใหญ่ทั้งหลาย แม้แต่ค่าใช้จ่ายทางทหารก็ค้างชำระอยู่บ่อยๆ บรรพบุรุษของข้าเห็นแล้วร้อนใจ อีกทั้งยังพบว่าตระกูลใหญ่ตระกูลโตในเจียงหนานใช้โอกาสตอนที่บ้านเมืองวิกฤตสมรู้ร่วมคิดกับขุนนางลอบซื้อเกลือเถื่อนอย่างไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจ ภายใต้สถานการณ์ที่ไร้ทางเลือกจึงให้การเลี้ยงดูชาวยุทธ์สองสามคนเพื่อเอามาใช้งาน ได้ก่อตั้งพรรคหนึ่งขึ้นมานามว่า ‘พรรคเจ็ดดารา’ ในนามของน้องชายตัวเองเพื่อซื้อขายเกลือเถื่อน หารายได้จากตรงนี้ไปสนับสนุนให้กับกองกำลังทหาร”
“หา!” โจวเสาจิ่นปากอ้าตาค้าง ละล่ำละลักกล่าวว่า “กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ…ตระกูลเฉิงเกิดขึ้นมาจากการค้าขายเกลือเถื่อนอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือหัวเราะออกมา กล่าวว่า “มิใช่! ตระกูลเฉิงก็คือตระกูลเฉิง พรรคเจ็ดดาราก็คือพรรคเจ็ดดารา”
โจวเสาจิ่นนึกถึงความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างแปลกประหลาดของเซียวเจิ้นไห่และเฉิงฉือขึ้นมา กล่าวอย่างตรึกตรองว่า “ท่านน้าฉือ ยามอยู่จินหลิงท่านคือนายท่านสี่ของซอยจิ่วหรู แต่ยามอยู่ข้างนอกท่านคือเฉิงสี่และเฉิงจื่อชวนใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางเข้าใจขึ้นมาในทันใด กล่าวเสียงดังว่า “ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่ากิจการทั่วไปที่ท่านดูแลอยู่นั้น ความจริงแล้วก็คือ ‘พรรคเจ็ดดารา’ ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ”
ดวงตาของนางเป็นประกายขึ้นมา
รู้สึกว่าจุดต่างๆ ที่ไม่เข้าใจมากมายเหล่านั้นล้วนได้คำตอบทั้งหมดแล้ว!
เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ ในเวลาสำคัญมักจะเฉลียวฉลาดอยู่เสมอ เหตุใดยามปกติถึงไม่เห็นนางมีไหวพริบเช่นนี้บ้าง
“เจ้าเบาเสียงลงหน่อย!” เฉิงฉือยิ้มพร้อมกับลูบศีรษะของโจวเสาจิ่น กล่าวต่อว่า “ไม่เลวๆ ถือได้ว่าฉลาดมีไหวพริบครั้งหนึ่งแล้ว”
การคลึงเคล้นศีรษะนางของเขาเจือไว้ด้วยความชมเชยอยู่ด้วยเล็กน้อย โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าจะไม่คิดบัญชีกับเฉิงฉือด้วยเรื่องนี้ก็แล้วกัน
นางยู่ปากถลึงตาใส่เฉิงฉือครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เดิมทีข้าก็ฉลาดอยู่แล้ว เป็นท่านน้าฉือที่ฉลาดมากเกินไป ข้าถึงได้ดูไม่ค่อยฉลาดนัก!”
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าดังลั่น
หลังจากหัวเราะเสร็จแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “ยามออกหน้าในนามคนตระกูลเฉิงจากซอยจิ่วหรูของจินหลิงก็จะเป็นนายท่านสี่ตระกูลเฉิงผู้เป็นจิ้นซื่อขั้นสองผู้นั้น แต่ยามข้าปรากฏตัวออกมาในนามของหัวหน้าพรรคเจ็ดดาราก็จะเป็นเฉิงสี่”
นางบิดนิ้วมือขณะเอ่ยถามว่า “ไม่มีคนจับได้เลยหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าคิดว่าผู้นำฝูงในยุทธภพเหล่านั้นเป็นทายาทของตระกูลผู้มีชื่อเสียงในเจียงหนานหรืออย่างไร พวกเขาก็เป็นเพียงกลุ่มโจรที่สิ้นหวังเท่านั้น เห็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของทางการก็เดินอ้อมไปอีกทางแล้ว จะเสนอตัวมาสร้างปัญหากับคนอย่างพวกเราไปทำไม”
จริงด้วย!
บางครั้งผู้พิพากษาหนึ่งคนสั่งบุกรังโจรผู้ร้ายหนึ่งกลุ่มได้ นับประสาอะไรกับคนอย่างตระกูลเฉิงที่อยู่เหนือกว่าผู้พิพากษาและเจ้าเมือง คนที่มีอำนาจโยกย้ายผู้พิพากษาและเจ้าเมืองได้กันเล่า
โจวเสาจิ่นยิ้มกว้าง
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเฉิงฉือกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันใด เอ่ยขึ้นว่า “แต่ในยุทธภพก็มีตระกูลเก่าแก่ที่โดดเด่นเช่นกัน นอกจากนี้มีหลายตระกูลที่เคยให้คำสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อพรรคเจ็ดดารามาตั้งแต่ตอนบรรพบุรุษของข้ายังมีชีวิตอยู่ ได้ตระกูลเฉิงช่วยอุ้มชูขึ้นมา” กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาเยือกเย็นลงเล็กน้อย “แต่กาลเวลาผันผ่าน ต่อหน้าผลประโยชน์แล้วชาวยุทธ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลเก่าแก่เหล่านั้นก็มีแผงลูกคิดความเห็นแก่ตัวของตัวเอง เนื่องจากตระกูลเฉิงเป็นเพียงตระกูลบัณฑิตตระกูลหนึ่ง เวลานั้นบรรพบุรุษของข้าเองก็เพียงยืมตัวพวกเขามาเพื่อสั่งสมเงินทองเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะอุ้มชูพวกเขา ตอนที่บรรพบุรุษของข้าเพิ่งเสียชีวิตใหม่ๆ นั้นยังดี เนื่องด้วยเขาเป็นคนสร้างพรรคเจ็ดดาราขึ้นมา คนที่ให้ความเคารพเขาอย่างสุดซึ้งยังมีมาก รวมถึงมีการปรับราชวงศ์เปลี่ยนรัชสมัย คนเหล่านั้นจึงยังซื่อสัตย์ แต่ด้วยใต้หล้าที่สงบมากเกินไป พวกเขาบ้างก็ไปตั้งกลุ่มก้อนเป็นของตัวเอง บ้างก็มีใจคิดจะขึ้นมาแทนที่”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่าอันตรายและเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง รีบกล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “เช่นนั้นก็ยกให้พวกเขาไปเถิด! ตระกูลเฉิงเป็นตระกูลบัณฑิตมีเกียรติที่สืบทอดต่อกันมาช้านาน ดำเนินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องด้วยการเล่าเรียนหนังสือ เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่บรรพบุรุษเลือกกระทำเพราะไม่มีทางเลือก ถ้าพวกเขาอยากได้ก็ให้พวกเขาไปเถิด จะได้ถือโอกาสขีดเส้นแบ่งกับเรื่องพวกนี้ให้ชัดเจนด้วยพอดี!”
เฉิงฉือยิ้มอย่างขมขื่น
เป็นเรื่องที่แม้แต่เสาจิ่นยังรู้และมองได้ทะลุปรุโปร่ง แต่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองอย่างเฉิงซวี่กลับวางไม่ลง มองไม่ทะลุ
แต่นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาชอบเสาจิ่นกระมัง!
เฉิงฉือชงชาให้โจวเสาจิ่นใหม่อีกจอกหนึ่ง พลางกล่าว “เวลานั้น ตระกูลเฉิงดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ…”
โจวเสาจิ่นนึกออกแล้ว
หลังจากที่บรรพบุรุษของตระกูลเฉิงสละชีวิตเพื่อแผ่นดินไปแล้ว ทายาทของตระกูลเฉิงก็เกือบจะสูญสิ้นไม่เหลือ เกือบจะไร้ซึ่งคนมาจุดธูปเผาเทียนให้บรรพชนแล้ว
………………………………………………………………..
[1] ดาวเหนือ เป็นที่เชื่อกันว่าดาวเหนือเป็นราชาแห่งดวงดาว คนที่ชีวิตมีดาวเหนือติดตามชีวิตจะรุ่งโรจน์เจริญรุ่งเรือง