ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 395 เจ็บปวดใจ
โจวเสาจิ่นรีบหันหน้าหนีไปอีกทาง ทว่ายังคงหลบนิ้วมือของเฉิงฉือไม่พ้น
นางอดกล่าวเคืองๆ อย่างช่วยไม่ได้ “ท่านน้าฉือทำเช่นนี้ได้อย่างไร เจ็บมากเลยนะเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ประคองใบหน้าของนางเอาไว้ “ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ็บจริงๆ หรือไม่!”
นัยน์ตาของเขาเป็นประกายสุกใสประหนึ่งสายน้ำ สะท้อนภาพของนางได้อย่างชัดเจน
โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกตัวว่าทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากเพียงใด
ดวงหน้าของนางพลันแดงเรื่อคล้ายเมฆชมพูยามเช้า ผลักเฉิงฉือออกไป
จริงจังบ้างผ่อนคลายบ้างถึงจะทำให้เด็กน้อยรู้สึกสบายใจด้วยแล้วก็ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสองด้วยได้
เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ ปล่อยนางออกตามน้ำไป แล้วชงชาให้ทั้งคู่ใหม่ เอ่ยขึ้นว่า “มาเถิด ลองมาชิมดูว่าชานี้ชงได้เป็นอย่างไรบ้าง”
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
เมื่อครู่ท่านน้าฉือประคองดวงหน้าของนาง นิ้วมือเรียวยาวและอบอุ่น การแสดงออกดูจริงใจและก็…แฝงความรู้สึกลึกล้ำเอาไว้เล็กน้อย…
นางนึกถึงคำพูดของเฉิงฉือในวันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
ข้าก็แค่ควบคุมตัวเองไม่ได้…
ควบคุมอะไรไม่ได้
อย่างเช่นการประคองดวงหน้าของนางเอาไว้เช่นนี้น่ะหรือ
ใบหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว แต่บริเวณที่เคยถูกเฉิงฉือสัมผัสนั้นกลับทิ้งความรู้สึกอบอุ่นเอาไว้…
นางราวกับนั่งอยู่บนเบาะเข็ม รีบดื่มน้ำชาอย่างรีบร้อนแล้วลุกขึ้นมา “เวลาไม่เช้าแล้ว พรุ่งนี้ท่านน้าฉือยังต้องออกไปข้างนอกอีก ข้าไม่รบกวนท่านแล้วดีกว่า ท่านก็รีบพักผ่อนนะเจ้าคะ!”
กล่าวจบ นางก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
เฉิงฉือมองเงาหลังที่ร้อนรนของนางแล้วก็ยิ้มออกมาเงียบๆ
มีการเปลี่ยนแปลงบ้างถึงจะดี!
กลัวแต่ว่านางจะมึนๆ งงๆ ไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด
ฉับพลันนั้นเขาก็นึกถึงคำว่า ‘แทะเล็มเหยื่อ’ คำนั้นขึ้นมา
ช่างเป็นภาพที่ชัดเจนจริงๆ!
เฉิงฉือเอามือไพล่หลัง กลับห้องไปด้วยความอิ่มเอมใจ
***
โจวเสาจิ่นวิ่งมาตลอดทั้งทาง กระทั่งถึงเฉลียงทางเดินของเรือนหลักถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าไหวซานและคนที่ปู ‘ก้อนอิฐ’ ยังอยู่ในห้องนอนของนางอยู่
นางลอบเสียใจเล็กน้อย
ไม่น่าวิ่งมาที่เรือนหลักเลย น่าจะไปที่เรือนด้านหลังไปเบียดเสียดอยู่กับพวกชุนหว่านสักคืนหนึ่ง
ความคิดเพิ่งจะกวาดผ่านหัวสมอง นางก็ร้อง ‘เพ้ย’ ใส่ตัวเองอยู่ในใจครั้งหนึ่ง
ในเมื่อท่านน้าฉือยกบ้านหลังนี้ให้นางแล้ว เช่นนั้นมันก็เป็นของนางแล้ว
บ้านของนางเอง เหตุใดจะต้องวิ่งหนี เหตุใดจะต้องไปเบียดเสียดกับพวกชุนหว่านคืนหนึ่งด้วย
หากต้องเบียดเสียด ก็ควรจะเป็นท่านน้าฉือต่างหากที่ต้องไปเบียดเสียดกันถึงจะถูก!
ชั่วพริบตานั้นเมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เฉิงฉือก็อยู่อย่างเบียดเสียดกับพวกบ่าวไพร่อยู่แล้ว นางคิดๆ แล้วก็หัวเราะคิกคักออกมา ความทุกข์ใจก่อนหน้าสลายสิ้น
ม่านประตูเรือนหลักถูกเลิกขึ้น ชุนหว่านเดินออกมา
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่คุณหนูรองเป็นอะไรไปเจ้าคะ กลับมาแล้วก็ไม่เข้ามา ข้ายังปรึกษากับเสี่ยวถานอยู่เลยว่าควรจะไปตามหาท่านดีหรือไม่”
หรือว่าคนที่มาปู ‘ก้อนอิฐ’ เหล่านั้นจะไปกันหมดแล้ว?
เมื่อคิดขึ้นมาได้ โจวเสาจิ่นก็ลอบด่าไปคำหนึ่ง
เนื่องจากซ่อนอยู่ในห้องของนางเงียบๆ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าไม่บอกให้ใครรู้เลยสักคน จึงเป็นธรรมดาที่ต้องเลี่ยงพวกชุนหว่านด้วย การที่คนข้างกายของนางไม่รู้ก็ปกติแล้วมิใช่หรือ
โจวเสาจิ่นยังคงรู้สึกติดใจสงสัยอยู่เล็กน้อย พูดคุยกับชุนหว่านสองสามประโยคอย่างใจลอยแล้วก็เข้าไปในห้องนอน
ห้องนอนของนางมีสภาพไม่ต่างไปจากตอนที่นางออกไปเลยสักนิด บนพื้นเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน แม้แต่ฝุ่นสักนิดก็ไม่มี หากมิใช่เพราะโจวเสาจิ่นแน่ใจว่าเฉิงฉือใส่ของลงไป เกรงว่านางคงคิดว่าเหตุการณ์ที่ตนเห็นก่อนหน้านี้เป็นเพียงความฝันเป็นแน่
ชุนหว่านยังคงเจื้อยแจ้วอยู่ตรงนั้น “ซางมามาบอกว่าพ่อบ้านเซี่ยงคำนึงถึงว่าคุณหนูรองเติบโตอยู่ทางใต้ จึงตั้งใจหาผ้าห่มผ้าไหมมาให้เป็นพิเศษ เรียกให้เสี่ยวถานและข้าไปเลือก ข้าเลือกผืนที่มีน้ำหนักสองจินมาให้คุณหนูผืนหนึ่ง เหมาะสำหรับห่มในฤดูกาลนี้เป็นอย่างยิ่ง พ่อบ้านเซี่ยงยังซื้อผืนที่มีน้ำหนักหนึ่งจินและสามจินมาด้วย เดิมทีแล้วคิดจะซื้อผืนที่มีน้ำหนักสี่จินและห้าจินมาด้วยสักสองสามผืน แต่เนื่องจากถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ร้านค้าต่างเก็บเข้าคลังเก็บของไปหมดแล้ว จึงไม่ได้ซื้อมาด้วย บอกว่ารอให้ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้วค่อยไปดูอีกทีเจ้าค่ะ…”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าให้อย่างส่งๆ ล้างหน้าล้างตาอีกครั้งอย่างลวกๆ แล้วขึ้นเตียงนอน
อาจเป็นเพราะเข้าเดือนสี่แล้ว บนเสารอบเตียงนอนสลักลายดอกไม้ลงน้ำมันเคลือบสีดำแขวนผ้าม่านไหมโปร่งแสงลายคลื่นน้ำสีเขียวอ่อนเอาไว้ แสงไฟระยิบระยับจากตะเกียงส่องทะลุเข้ามา ลายคลื่นน้ำเหล่านั้นจึงราวกับมีชีวิตขึ้นมา ประหนึ่งว่านางซ่อนตัวอยู่ในทะเลสาบอันเงียบสงบก็ไม่ปาน
ข้าก็แค่ควบคุมตัวเองไม่ได้…
น้ำเสียงของเฉิงฉือที่เบาและอ่อนหวานดั่งสุรารสดีที่บ่มมานานปี อีกทั้งยังเจือรอยยิ้มดังสะท้อนอยู่ข้างหูของนาง…นางยังจำความรู้สึกตอนที่ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาเป่ารดต้นคอของนางได้อย่างแจ่มชัด…
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนมึนงงและตัวอ่อนปวกเปียกไปกว่าครึ่งร่าง จากนั้นนางก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ ฝังศีรษะเข้ากับหมอนใบใหญ่ กอดหมอนใบใหญ่กลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียง
ท่านน้าฉือบอกว่า…ควบคุมตัวเองไม่ได้!
เขาก็ชอบนางขึ้นมาบ้างแล้วใช่หรือไม่!
โจวเสาจิ่นนึกถึงการปกป้องอย่างเงียบๆ ของเขาที่ศาลาซานจือ นึกถึงการยิ้มน้อยๆ อย่างเงียบๆ ของเขาในห้องพระที่เรือนหานปี้ซาน นึกถึงความผ่อนปรนให้ตอนอยู่บนหาดทรายที่แม่น้ำเฉียนถัง…ยังเล่นหมากเป็นเพื่อนนางอย่างเอาใจ…แววตาของเขาที่มองนางเมื่อครู่นั่นอีก…ใบหน้าของนางจึงร้อนผะผ่าว
ท่านน้าฉือเองก็ต้องชอบนางเหมือนกันอย่างแน่นอน!
แต่ความชอบนี้จะเป็นความชอบแบบเดียวกับของนางหรือไม่นะ
หรือว่า…ก็แค่เห็นว่านางหน้าตาดี ก็เลยตื่นเต้นเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
ท่านน้าฉือบอกว่าให้นางอย่าเก็บเรื่องนี้ไปใส่ใจมิใช่หรือ
เขาจะต้องไม่อยากเอ่ยถึงมันอีกแล้วเป็นแน่
โจวเสาจิ่นหน้าซีดเผือด ดีดตัวลุกขึ้นมานั่ง กอดหมอนใบใหญ่ค่อยๆ มองลายคลื่นน้ำเป็นประกายที่อยู่บนผ้าม่านอย่างช้าๆ ในใจพันกันวุ่นวายไปหมด
แต่นางก็ชอบเขาเหมือนกัน จะทำอย่างไรดี
นางไม่อยากให้ท่านน้าฉือลืมเรื่องนี้ไป…แต่ถ้าไม่ลืมมันไปเสีย แล้วจะให้ทำอย่างไร
จะสมยอมให้ท่านน้าฉือทำเรื่องเช่นนั้นกับนางอีกครั้งหนึ่งอย่างนั้นหรือ
มิต้องพูดถึงเรื่องที่นางและเขาเป็นคนละรุ่นกัน ต่อให้เป็นคนรุ่นเดียวกัน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้ว่าเฉิงสวี่เคยชอบนางมาก่อน ยังจะอนุญาตให้นางแต่งกับท่านน้าฉืออยู่อีกหรือ
ไม่ถูก ถ้าหากนางและท่านน้าฉือเป็นคนรุ่นเดียวกัน การที่เฉิงสวี่ชอบนางก็เป็นเฉิงสวี่ที่ทำไม่ถูก นางย่อมแต่งกับท่านน้าฉือได้อยู่แล้ว…ชาติก่อนนางก็คงไม่ต้องโดนเฉิงสวี่หยามเกียรติ…นางก็คงจะได้แต่งงานกับท่านน้าฉืออย่างมีความสุขไปแล้ว…ตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรของนางท่านน้าฉือก็รู้หมดทุกอย่างแล้ว ท่านน้าฉือยังจะต้องการนางอยู่หรือไม่
ยิ่งคิดโจวเสาจิ่นก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวัง หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมาเป็นสาย
***
เช้าวันต่อมาเมื่อชุนหว่านเลิกผ้าม่านขึ้น ก็เห็นโจวเสาจิ่นที่ร้องไห้มาทั้งคืนจนดวงตาบวมเป่งแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
นางตกใจเป็นอย่างมาก ยืดตัวขึ้นกำลังจะไปตะโกนเรียกฝานมามา
โจวเสาจิ่นคว้ามือของนางเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าอย่าเอะอะโวยวายไป ระวังจะทำให้ผู้อื่นรู้เรื่องเข้า เจ้าไปต้มไข่ไก่มาสักฟองหนึ่งและช่วยประคบตาให้ข้าสักหน่อยก็พอ”
ชุนหว่านไม่กล้าให้คนอื่นเข้ามา สั่งการอยู่ตรงหน้าประตูให้จี๋เสียงไปต้มไข่ไก่มาให้ ส่วนตัวเองหยิบผ้าเช็ดหน้ามาให้โจวเสาจิ่นเช็ดดวงตา พลางกล่าวว่า “คุณหนูรองมีเรื่องไม่สบายใจ หากไม่เล่าให้บ่าวฟังก็ต้องเล่าให้ฝานมามาฟังนะเจ้าคะ! ท่านดูตัวท่านสิเจ้าคะ ร้องไห้จนสภาพเป็นเช่นนี้ ประเดี๋ยวเจอฮูหยินตอนรับสำรับเช้าแล้วฮูหยินถามขึ้นมาจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
โชคดีที่ฮูหยินเป็นมารดาเลี้ยง นี่หากว่าเป็นมารดาแท้ๆ เกรงว่าคนที่รับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูอย่างพวกนางเหล่านี้จะต้องโดนอบรมสั่งสอนกันถ้วนหน้าเป็นแน่
โจวเสาจิ่นร้องไห้จนรู้สึกวิงเวียนศีรษะไปหมด จึงไม่อยากเอ่ยอะไรเลยแม้สักประโยค ปล่อยให้ชุนหว่านเจื้อยแจ้วไปคนเดียว
ไม่นาน จี๋เสียงก็ถือไข่ไก่เข้ามา ชุนหว่านรีบช่วยประคบให้นางขณะที่มันยังร้อน ประคบไปกว่าครู่ใหญ่ก็ยังไม่เห็นผล ทางด้านของหลี่ซื่อกลับให้คนมาสอบถามว่าจะให้ตั้งสำรับเช้าที่ไหน ชุนหว่านลุกขึ้นอย่างร้อนใจ โจวเสาจิ่นจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปบอกฮูหยินสักหน่อย บอกว่าเมื่อคืนข้าหลับดึกจึงยังไม่ตื่นนอน”
ชุนหว่านเองก็คิดวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว จำต้องแจ้งบ่าวของหลี่ซื่อกลับไปตามนั้น
หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “สุดท้ายแล้วก็เพราะเป็นบ้านของตัวเอง ตอนที่นางไปถึงเมืองเป่าติ้งใหม่ๆ ยังแปลกที่ จึงนอนไม่หลับอยู่หลายวัน แต่นี่เพิ่งย้ายเข้ามาวันแรก นางก็นอนได้อย่างมืดฟ้ามัวดินแล้ว ข้าเองกว่าจะหลับได้ก็กลางดึกค่อนคืนไปแล้ว!”
หลี่มามากล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ตระกูลเฉิงช่างรักและเอ็นดูคุณหนูรองจริงๆ ท่านดูของประดับตกแต่งและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในบ้านหลังนี้สิเจ้าคะ ทางด้านของต้ากูไหน่ไนเทียบไม่ติดเลยทีเดียว ได้ยินสาวใช้พูดกันว่า ในห้องโถงของเรือนหลักยังประดับนาฬิกาของชาวตะวันตกเอาไว้ด้วยเรือนหนึ่ง แกว่งไกวไปมาส่งเสียงติ๊กต็อกๆ ใช้กระจกใสครอบเอาไว้ ของที่อยู่ด้านในเป็นประกายสีทอง ราวกับใช้ทองคำแท้ทำขึ้นมาก็ไม่ปาน ของเช่นนั้นล้วนมิได้ขนย้ายออกไป ไม่รู้ว่านายท่านสี่ตระกูลเฉิงทิ้งของอะไรไว้ที่เรือนหลักบ้าง”
เนื่องด้วยคำพูดประโยคนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดความสงสัยแล้ว หลี่ซื่อจึงเตือนคนของตัวเองว่าหากมิได้รับคำสั่งจากนางไม่อนุญาตให้ไปที่เรือนหลัก ต่อให้ทางด้านนั้นมีความเคลื่อนไหวอะไรแต่หากคนของโจวเสาจิ่นไม่เรียกก็ไม่อนุญาตให้เข้าไป
นางได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ถลึงตาใส่หลี่มามาครั้งหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “คำพูดนี้ให้พูดต่อหน้าข้าเท่านั้น หากอยู่ต่อหน้าผู้อื่นก็เป็นเช่นนี้ เจ้าก็กลับเมืองเป่าติ้งไปก่อนก็แล้วกัน!”
ที่ผ่านมาหลี่ซื่อไม่เคยพูดเช่นนี้กับหลี่มามามาก่อน นางตกใจจนตัวสั่นไปหมด ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
หลังจากกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว โจวชูจิ่นก็มาหา
หลี่ซื่อประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง สั่งการสาวใช้ย้ำๆ ว่า “ยังไม่รีบเชิญต้ากูไหน่ไนเข้ามาอีก นางเพิ่งจะครบรอบเดือนไปเอง!”
สาวใช้เด็กวิ่งออกไปรวดเร็วดุจควัน หลี่ซื่อรีบจัดแต่งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ให้แม่นมอุ้มโจวโย่วจิ่นออกไปต้อนรับ
อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน ทว่าน้องสาวกลับพักอาศัยอยู่อีกที่หนึ่ง โจวชูจิ่นจะวางใจได้อย่างไร
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะรอให้ถึงเช้าได้ หลังจากที่รับมื้อเช้าไปอย่างลวกๆ และสนทนาปราศรัยกับหลี่ซื่อไปสองสามประโยคแล้ว หลี่ซื่อก็ไปที่เรือนหลักเป็นเพื่อนนาง
พอเห็นว่าโจวเสาจิ่นพักอยู่ที่เรือนหลัก โจวชูจิ่นก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
น้องสาวมิใช่คนเช่นนี้…
หลี่ซื่อหันไปส่งสายตาให้นางครั้งหนึ่ง กระซิบเอ่ยเสียงค่อยว่า “เรื่องนี้ประเดี๋ยวค่อยคุยกัน”
โจวชูจิ่นเห็นหลี่ซื่อมิได้มีความขุ่นเคืองใจอะไร จึงวางใจลงมา เข้าไปในห้องโถงพร้อมกับหลี่ซื่อ
โจวเสาจิ่นได้รับข่าวกะทันหัน จึงหลบไม่ทัน จึงประจันหน้ากับหลี่ซื่อและพี่สาวพอดี
“นี่เจ้าเป็นอะไร” โจวชูจิ่นรีบก้าวออกไปกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้อย่างรวดเร็ว ฝืนเอาไว้ถึงได้ไม่หันไปมองหลี่ซื่อ เอ่ยขึ้นว่า “รีบให้ข้าดูเดี๋ยวนี้!”
โจวเสาจิ่นเอามือปิดตาเอาไว้ไม่ยอมให้โจวชูจิ่นดู เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนเช้าตื่นมาก็เป็นเช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ…”
เนื่องจากหลี่ซื่ออายุมากกว่าทั้งสองคนเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “หรือว่าภายในห้องยังมีกลิ่นของน้ำมันเคลือบเงาอยู่?”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “น่าจะเป็นเช่นนั้น! ก่อนข้าเข้านอนยังดีๆ อยู่เลยเจ้าค่ะ!”
โจวชูจิ่นจึงสั่งการชุนหว่านว่า “เจ้ารีบไปบอกหม่าชื่อสักคำ ให้เขาไปเชิญท่านหมอมาสักคนหนึ่ง”
เหมือนกับชาติที่แล้ว สุดท้ายแล้วหม่าชื่อยังคงติดตามโจวชูจิ่นไปอยู่ที่ตระกูลเลี่ยวด้วยในฐานะคนติดตามเจ้าสาวของโจวชูจิ่น แต่สิ่งที่ไม่เหมือนชาติก่อนก็คือ ยังมิได้ย้ายไปตระกูลเลี่ยวหม่าชื่อก็ได้รับความไว้วางใจจากโจวชูจิ่นแล้ว หลังจากที่ย้ายไปตระกูลเลี่ยวแล้วจึงยิ่งกลายมาเป็นแขนซ้ายแขนขวาคนสำคัญของโจวชูจิ่น ไม่เพียงดูแลจัดการสินเดิมของโจวชูจิ่นเท่านั้น ยังดูแลทรัพย์สินของเลี่ยวเส้าถังที่บิดามารดาของเขามอบให้ตอนแต่งงานอีกด้วย
ถ้อยคำที่กล่าวไปนั้น…ประเดี๋ยวถ้าท่านหมอมาแล้วจะปิดบังอย่างไรดี
ชุนหว่านรู้สึกร้อนรนอยู่ในใจ ทว่าไม่แสดงออกมาให้เห็นบนใบหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว รีบเร่งฝีเท้าก้าวออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็ว
โจวเสาจิ่นเชิญหลี่ซื่อและโจวชูจิ่นนั่งลง
โจวชูจิ่นมองสำรวจเครื่องเรือนภายในห้องไม่หยุด ยังเข้าไปดูในห้องนอนด้วย ถึงได้วางใจลงมาได้ เอ่ยถามนางยิ้มๆ ว่า “นี่ผู้ใดเป็นคนตกแต่งห้องให้หรือ ถ้าหากว่าปลูกดอกอวี้หลาน[1]เอาไว้ตรงหน้าประตูด้วยสักต้นหนึ่ง ก็คงจะคล้ายกับห้องที่เจ้าอยู่ที่เรือนหว่านเซียงเจ็ดถึงแปดส่วนไปแล้ว”
หน้าประตูของนางปลูกดอกทับทิมเอาไว้ ล้วนกำลังออกดอกตูมแล้ว บางส่วนก็เริ่มเผยกลีบดอกสีแดงเพลิงออกมาให้เห็น
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ดอกอวี้หลานของทางเหนือไม่เหมือนกับของพวกเราที่ทางใต้ แม้จะดอกใหญ่ทว่าก็ไม่มีกลิ่นหอม มิสู้ปลูกดอกทับทิมดีกว่าเจ้าค่ะ!”
หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ปลูกดอกทับทิมก็ดี! ดอกอวี้หลานโดนลมซัดสาดก็เหี่ยวเฉา ทว่าดอกทับทิมนั้นยิ่งเบ่งบานก็ยิ่งเป็นสีแดงเพลิงสดใส”
ยังเหมือนเป็นการอำนวยพรให้มั่งมีบุตรชายและความสุขอีกด้วย
เพียงแต่ว่าประโยคนี้ไม่อาจพูดต่อหน้าโจวเสาจิ่นที่ยังไม่ออกเรือนได้
โจวชูจิ่นเข้าใจความหมายดี จึงมองน้องสาวพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
……………………………………………………………….
[1]ดอกอวี้หลาน ดอกแม็กโนเลีย