ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 396 ดูแล
โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็อดค่อนขอดอยู่ในใจไม่ได้ว่า ปลูกดอกทับทิมอะไรกัน ไม่รู้ว่าเป็นความคิดของผู้ใด ที่นี่ของนางมิใช่บ้านหลังใหม่ของภรรยาสาวของผู้ใดสักหน่อย จะอยากได้ความมั่งคั่งบุตรชายและความสุขไปทำไม นางจะต้องย้ายดอกทับทิมต้นนั้นออกไปปลูกที่อื่นในสักวันหนึ่งให้ได้ แล้วเปลี่ยนเป็นไห่ถังแคระแทน
ชาติก่อนนางเคยติดตามหลินซื่อเซิ่งเข้าวังไปเข้าเฝ้าหลินไท่เฟย ตอนที่เดินผ่านสวนดอกไม้ของวังหลวงจึงเคยเห็นไห่ถังแคระมาก่อน
ชูช่อท้าลม ดอกตูมเป็นสีแดงเรื่อ ดอกบานสีสว่างสดใส คล้ายแต้มเป็นจุดๆ ด้วยสีชาด ทั้งมีกลิ่นหอมและดูงดงาม
เวลานั้นนางคิดจะปลูกสักต้นหนึ่ง
เพียงแต่ว่าไห่ถังแคระนั่นหายากยิ่งนัก นางไปหาซื้อที่เฟิงไถหลายต่อหลายครั้งก็หาไม่ได้ คนปลูกดอกไม้ให้นางทิ้งที่อยู่เอาไว้ รอให้มีของแล้วจะแจ้งให้นางทราบ แต่ตอนนั้นนางยังแทบจะเอาตัวเองไม่รอด ไหนเลยจะกล้าเพ้อคิดอย่างอื่น ได้แต่กล่าวขอบคุณคนปลูกดอกไม้ผู้นั้นแล้วจากไปอย่างเศร้าสร้อยใจ
ชาตินี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องปลูกไห่ถังแคระสักต้นให้ได้ถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นไม่ได้นอนมาทั้งคืน ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าก็ดื่มน้ำเต้าหู้ไปเพียงครึ่งถ้วยเท่านั้น พออยู่พูดคุยกับโจวชูจิ่นและหลี่ซื่อได้ครู่หนึ่งก็มีเหงื่อเย็นผุดออกมาเต็มหน้าผาก โชคดีที่เนื่องจากกวนเกอยังเป็นเพียงทารกโจวชูจิ่นกลัวว่าเขาจะโดนลมจึงไม่กล้าพาเขาออกมาด้วย เมื่อเห็นว่าโจวเสาจิ่นอยู่สุขสบายดีทุกอย่างแล้วจึงลุกขึ้นกล่าวอำลา
เมื่อหลี่ซื่อและโจวเสาจิ่นไปส่งโจวชูจิ่นถึงหน้าประตู ท่านหมอก็มาถึง
โจวเสาจิ่นจำต้องกลับไปที่ห้องใหม่อีกครั้ง ไล่บ่าวรับใช้ภายในห้องออกไป มีฝานหลิวซื่อและหลี่มามาอยู่เป็นเพื่อน กั้นเอาไว้ด้วยผ้าม่าน บนมือมีผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งวางคลุมเอาไว้ให้ท่านหมอผู้นั้นจับชีพจร
ท่านหมอผู้นั้นอายุประมาณห้าสิบปี เลี้ยงหนวดเคราแพะเอาไว้ จับชีพจรข้างซ้ายแล้วก็จับข้างขวา จับชีพจรข้างขวาแล้วก็จับข้างซ้าย พูดด้วยภาษาเก่าแก่อะไรบางอย่างอยู่ครึ่งค่อนวันคนในห้องล้วนฟังไม่เข้าใจ เขียนเทียบยาบำรุงเลือดลมและจิตใจให้หนึ่งเทียบแล้วก็จากไป
ชุนหว่านให้ฝานฉีไปผสมยาตามนั้นมา ทว่าไม่กล้าให้โจวเสาจิ่นดื่ม แสร้งทำเป็นว่าเอายาไปต้ม ทว่ากลับแอบเอาไปเททิ้งในป่าไผ่ด้านหลังเรือน เป็นโจวเสาจิ่นที่ถูกพลิกตัวกลับไปกลับมาจนยิ่งรู้สึกเวียนศีรษะมากขึ้น ไม่รอให้ฝานฉีผสมยามาให้ก็ล้มตัวลงไปนอนพักก่อนแล้ว ไม่นานดวงหน้าก็แดงก่ำ ร่างกายร้อนจัดดั่งน้ำเดือด
ผ้าม่านห้อยลงมาครึ่งหนึ่ง ชุนหว่านและคนอื่นๆ จึงไม่ได้สังเกตเห็น
ตกบ่ายเมื่อเฉิงฉือกลับมา พ่อบ้านเซี่ยงรีบรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าให้เฉิงฉือฟัง
สีหน้าของเฉิงฉือเปลี่ยนเล็กน้อย มุ่งหน้าตรงไปที่เรือนชั้นในโดยไม่คิด
ไหวซานเองก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยเช่นกัน
นับตั้งแต่เฉิงฉืออายุสิบหกปีเป็นต้นมาก็ไม่เคยวู่วามเช่นนี้มาก่อน
เขาจึงกระแอมไอเบาๆ เสียงหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่านสี่ พรุ่งนี้เป็นวันสรงน้ำองค์พระโพธิสัตว์แล้ว เนื่องจากต้ากูไหน่ไนมาหาในช่วงเช้า จะต้องพูดถึงเรื่องของวันสรงน้ำองค์พระโพธิสัตว์อย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าคุณหนูรองและต้ากูไหน่ไนมีแผนการอย่างไรบ้าง ท่านว่าควรจะไปสอบถามดูสักหน่อยหรือไม่ นายท่านสี่ไม่มีบ่าวหญิงข้างกาย ข้าและคนอื่นๆ ยิ่งไม่เข้าเรือนชั้นใน เกรงว่าเรื่องนี้ท่านคงต้องไปสอบถามด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่งแล้วขอรับ!”
เฉิงฉือหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นอย่างมีนัยแฝงว่า “ไหวซาน ข้าค้นพบว่าบางครั้งเจ้าก็ช่างรู้จักพูดยิ่งนัก”
คำชมนี้ทำให้ไหวซานสำลักจนกระแอมไอออกมา
เฉิงฉือถึงได้ยกเท้าก้าวเข้าไปในเรือนชั้นใน
พ่อบ้านเซี่ยงถือโอกาสตอนที่เฉิงฉือและไหวซานกำลังคุยกันนั้นสั่งให้ป้ารับใช้มีไหวพริบผู้หนึ่งไปแจ้งที่เรือนชั้นใน หลี่ซื่อจึงกลับไปที่เรือนปีกตะวันออก
เฉิงฉือครุ่นคิด ตัดสินใจกล่าวทักทายหลี่ซื่อสักคำที่ด้านนอกผ้าม่านของเรือนปีกตะวันออก และเอ่ยถามถึงเรื่องวันสรงน้ำองค์พระโพธิสัตว์ตามมารยาทว่า “…ถ้าหากทางด้านของต้ากูไหน่ไนไม่มีแผนอะไร ท่านมิสู้ร่วมทางไปกับพวกข้า เนื่องจากก่อนหน้านี้ข้ารับปากเสาจิ่นเอาไว้ว่าจะไปเดินงานวัดเป็นเพื่อนนาง ป้ารับใช้สำหรับคุ้มกันความปลอดภัยก็จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาท่านเพียงพาคุณหนูสามติดตามไปกับพวกข้าด้วยก็ได้แล้ว หากว่าท่านอยากไปที่ใด ก็ให้ป้ารับใช้คนคุ้มกันความปลอดภัยไปกับท่านด้วยก็ได้แล้ว”
แม้นหลี่ซื่อจะเป็นมารดาเลี้ยงของโจวเสาจิ่น แต่นางก็เป็นเพียงสตรีที่มีอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น อีกทั้งเนื่องจากแต่งงานกับคนที่อายุมากกว่าตัวเองสิบกว่าปีอย่างโจวเจิ้น จำต้องรักษากิริยาให้สงบเสงี่ยมและรอบคอบอย่างที่สุดในทุกๆ อย่าง ตอนนี้พอได้ยินว่าออกไปเดินเที่ยวงานวัดได้ นอกจากนี้ไม่ว่าอยากจะเดินไปที่ไหนก็เดินไปได้ตามใจชอบอีกด้วยแล้ว หัวใจดวงนี้ก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา กล่าวขึ้นอย่างอดกลั้นไม่อยู่ว่า “ทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว เรื่องนี้ประเดี๋ยวรอให้ข้าหารือกับคุณหนูรองก่อนแล้วค่อยบอกท่านอีกทีก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือแสดงออกกับหลี่ซื่ออย่างเคารพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าเสาจิ่นไม่สบาย ข้ากำลังจะไปดูนางสักหน่อยพอดี เช่นนั้นข้าจะช่วยถามนางให้ท่านก็แล้วกัน!”
หลี่ซื่อยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณ
เฉิงฉือเดินไปที่เรือนหลัก
หลี่มามากระซิบถามเสียงเบาว่า “ฮูหยิน เช่นนี้จะเหมาะสมหรือเจ้าคะ”
“มีอะไรไม่เหมาะสมกัน” หลี่ซื่อมิได้คิดอะไรมาก กล่าวขึ้นว่า “ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร นี่ก็เป็นบ้านของนายท่านสี่ วันนี้เสาจิ่นไม่สบาย นายท่านสี่ตระกูลเฉิงจะไม่ไปดูเลยได้อย่างไร”
แต่ก็ดีมากเกินไปสักหน่อยกระมัง
หลี่มามาพึมพำอยู่ในใจ แต่เมื่อได้ยินหลี่ซื่อกล่าวเช่นนั้น ก็โยนความคิดนั้นทิ้งไปเสีย
เฉิงฉือเข้าไปในห้องนอน ปี้เถาที่นั่งทำงานเย็บปักขณะนั่งเฝ้าโจวเสาจิ่นอยู่หน้าผ้าม่านรีบลุกขึ้นมาในทันใด ทิ้งงานเย็บปักในมือลงในตะกร้าสานที่อยู่บนพื้นแล้วยอบกายพร้อมกับขานคำหนึ่งว่า “นายท่านสี่”
“คุณหนูรองเป็นอย่างไรบ้าง” เฉิงฉือลังเลว่าควรจะเลิกผ้าม่านขึ้นมาดูสักหน่อยหรือไม่
ปี้เถากล่าวว่า “คุณหนูรองกินยาแล้วก็นอนพักได้ครู่หนึ่งแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือมองผ้าม่านที่แขวนอยู่อย่างสงบเงียบนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนไม่ควรจะยืนอยู่ที่นี่ต่อไปอีก แต่เท้าคู่นี้ราวกับถูกยึดเอาไว้แน่น ไม่อยากจากไป
เขาจึงเอ่ยถามถึงโจวเสาจิ่นขึ้นมา “ได้ยินว่าน้ำมันเคลือบเงาสดทำให้หน้าบวม อาการบวมเป็นอย่างไร เทียบยาของท่านหมออยู่ที่ใด เอามาให้ข้าดูหน่อย”
ปี้เถารีบไปหยิบเทียบยามาให้
เฉิงฉืออ่านอย่างละเอียด ยิ่งอ่านหัวคิ้วก็ยิ่งขมวดเข้าหากันมุ่นยิ่งขึ้น
เงยหน้าขึ้นก็พบกับฝานหลิวซื่อและซางมามาที่เร่งเข้ามาหลังจากที่ได้รับข่าวแล้ว
น้ำเสียงของเขาเคร่งขรึมดุดันขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ “เหตุใดถึงไม่เอาป้ายชื่อของข้าไปเชิญหมอหลวงเฉาเข้ามา นี่เป็นหมอที่ไปหามาจากตรอกซอกซอยไหนกัน”
ฝานหลิวซื่อและซางมามาต่างรู้ว่าเฉิงฉืออ่านเทียบยาได้ ได้ยินเช่นนั้นแล้วทั้งสองคนต่างตกใจจนหน้าเผือดสี คนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูคงไม่เป็นอะไรหรอกกระมัง” อีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “เป็นหมอที่พ่อบ้านเซี่ยงช่วยหามาให้เจ้าค่ะ คาดว่าน่าจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในจิงเฉิง”
เฉิงฉือขยำเทียบยาเป็นก้อนกลมแล้วทิ้งลงบนพื้น เอ่ยขึ้นว่า “ไปหยิบป้ายชื่อของข้าแล้วไปเชิญหมอหลวงเฉามาดูอาการ!”
ซางมามาขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วรีบออกจากห้องนอนไป
ฝานหลิวซื่อไม่ค่อยได้ข้องเกี่ยวกับเฉิงฉือมากนัก ทว่าก็รู้ดีว่าเฉิงฉือเป็นคนที่แม้แต่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองเขาก็กล้าชักสีหน้าใส่ เมื่อถูกเฉิงฉือเหลือบตามองด้วยแววตาแวววาวนั่นแล้ว นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างช่วยไม่ได้ ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ
ภายในห้องพลันเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้น
ทว่าเฉิงฉือกลับรู้สึกแปลกใจ พวกเขาเสียงดังกันขนาดนี้ เหตุใดโจวเสาจิ่นยังไม่ตื่นขึ้นมาอีก
เขายื่นมือออกไปแล้วก็ดึงกลับเข้ามา เอ่ยกับฝานหลิวซื่อว่า “เจ้าเข้าไปดูสักหน่อยว่าคุณหนูรองต้องการดื่มน้ำหรือไม่”
ฝานหลิวซื่อมองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง เห็นว่าเฉิงฉือยังคงไม่ขยับ จำต้องเลิกผ้าม่านขึ้นเป็นช่องหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงค่อยว่า “คุณหนูรอง นายท่านสี่มาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือฟังแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าภายในผ้าม่านกลับยังคงเงียบไม่มีความเคลื่อนไหวใด
ฝานหลิวซื่อจึงเอ่ยรายงานอีกครั้งหนึ่ง
เฉิงฉือจึงเลิกผ้าม่านขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นแดงก่ำ นอนอยู่บนเตียงด้วยเหงื่อท่วมศีรษะ
“เสาจิ่น!” เฉิงฉือรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองหยุดเต้น ขยับเข้าไปดึงตัวฝานหลิวซื่อออกไปข้างๆ ก้าวยาวๆ เข้าไปนั่งลงบนหัวเตียง กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ในอ้อมแขน ยื่นมือออกมาแตะหน้าผากของโจวเสาจิ่น
นายท่านสี่กอดคุณหนูรองได้อย่างไร
แม้นจะบอกว่าคุณหนูรองยังไม่ได้ปักปิ่น แต่อย่างไรก็โตเป็นสาวแล้ว…
ขณะที่ฝานหลิวซื่อครุ่นคิดนั้น เฉิงฉือก็เหลือบมองมาด้วยสายตาดุดัน กล่าวขึ้นว่า “เจ้ายังจะยื่นโง่งมอยู่ตรงนั้นทำอันใด ยังไม่รีบไปตักน้ำเย็นเข้ามาอีก คุณหนูรองไข้ขึ้นสูง เกรงว่าคงไม่ได้สติไปแล้ว!” ทว่าประโยคสุดท้ายกลับเป็นการพูดกับโจวเสาจิ่น
“เจ้าค่ะ!” ฝานหลิวซื่อขานรับอย่างลนลาน เดินออกไปจากห้องนอนอย่างไม่มั่นคงนัก
เฉิงฉือตบที่แก้มของโจวเสาจิ่นเบาๆ กระซิบเรียกชื่อนางเบาๆ
โจวเสาจิ่นพยายามลืมตาขึ้นมา มองเฉิงฉือด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักครั้งหนึ่ง เปล่งเสียงหนึ่งว่า “ท่านน้าฉือ” ออกมาอย่างอ่อนแรง
หัวใจของเฉิงฉือประหนึ่งถูกเฉือนออกมาเป็นชิ้นก็ไม่ปาน รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว รีบกล่าวเสียงนุ่มว่า “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พูดก็ต้องใช้แรง ข้าให้ซางมามาไปเชิญท่านหมอแล้ว เจ้าอดทนสักหน่อย ประเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”
โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังฝันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
นางสะลึมสะลือรู้สึกทุกอย่างพร่ามัว ร่างกายคล้ายกับกำลังถูกแผดเผาอยู่ในกองเพลิง รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง…นางคิดถึงพี่สาว…แล้วก็ยังคิดถึงท่านน้าฉือด้วย…แต่พี่สาวมีกวนเกอแล้ว…ท่านน้าฉือก็ไม่รู้ว่าไปไหน…นางรู้สึกอยากร้องไห้เล็กน้อย…ปรากฏว่าพอลืมตาขึ้นมาก็เห็นท่านน้าฉือ
ท่านน้าฉือมองนางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล คล้ายกับว่านางเป็นสมบัติล้ำค่าอะไรสักอย่างก็ไม่ปาน
นางร้องไห้โฮออกมาเสียงหนึ่ง
ล้วนเป็นเพราะท่านน้าฉือ หากมิใช่เขา นางก็ไม่ต้องมาล้มป่วยแล้ว!
นางร้องไห้จนทำให้หัวใจของเฉิงฉืออ่อนยวบไปหมด ปล่อยให้นางซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของตน ตบหลังนางเบาๆ กล่าวปลอบโยนนางเสียงนุ่มว่า “เสาจิ่นรู้สึกไม่สบายตรงที่ใด ท่านหมอใกล้จะมาถึงแล้ว! ไม่ร้องนะไม่ร้อง”
โดยส่วนใหญ่แล้วคนป่วยมักจะรู้สึกอ่อนแอมากกว่าในยามปกติ ไม่มีคนปลอบโยนยังดี แต่เมื่อมีคนปลอบโยนเช่นนี้ โจวเสาจิ่นกลับยิ่งร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจยิ่งกว่าเดิม
เฉิงฉือกล่าวปลอบโยนนางไม่หยุด เมื่อเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจกลับเห็นฝานหลิวซื่อถืออ่างน้ำทองเหลืองยืนปากอ้าตาค้างอยู่ที่หน้าประตู เมื่อนึกได้ว่าพวกนางรับใช้อยู่ข้างกายโจวเสาจิ่นมากมายขนาดนี้ กลับไม่มีใครรู้ว่าโจวเสาจิ่นไม่สบาย ในใจก็ลุกเป็นไฟ สายตาที่มองฝานหลิวซื่อจึงเฉียบคมขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยขึ้นว่า “ยังไม่รีบบิดผ้ามาให้อีก!”
ฝานหลิวซื่อตัวสั่นสะท้าน ทว่าในใจกลับไม่สงบคล้ายกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้าหาฝั่ง บิดผ้าส่งไปให้ผืนหนึ่งด้วยความหวาดกลัว
“เด็กดี! ให้ข้าเช็ดเหงื่อให้เจ้าสักหน่อย เมื่อเช็ดเหงื่อแล้วก็จะรู้สึกสบายตัวขึ้น!” เฉิงฉือกล่าวเสียงอบอุ่น เห็นว่าตรงลำคอของนางก็มีแต่เหงื่อ จึงให้ฝานหลิวซื่อบิดผ้าอีกผืนหนึ่งมาช่วยเช็ดลำคอให้นาง ปรากฏว่าตอนที่เช็ดลำคอให้นางนั้นก็พบว่าเสื้อแขนกุดของนางก็เต็มไปด้วยเหงื่อเช่นกัน ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ช่วยเช็ดเสื้อแขนกุดให้นางด้วย จากนั้นเอ่ยกับฝานหลิวซื่อว่า “หยิบผ้าสะอาดผืนหนึ่งเข้ามาวางไว้บนแขนของข้า”
หัวสมองของฝานหลิวซื่อยังเชื่องช้า คล้ายกับตะเกียงน้ำมันเล็กๆ ดวงหนึ่ง เฉิงฉือสั่งคำหนึ่งนางก็ขยับครั้งหนึ่ง กระทั่งตอนที่นางนำผ้าสะอาดมาวางลงบนแขนของเฉิงฉือนั้น นางถึงได้ค้นพบว่าแขนเสื้อของเฉิงฉือเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ การนำผ้าสะอาดไปวางไว้บนแขนของเขา เวลาโจวเสาจิ่นเอนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา โจวเสาจิ่นจะได้ไม่เปียก
หัวใจของนางสั่นสะท้านอย่างแรง ตอนที่ยกอ่างน้ำออกจากห้องไปนั้นมือของนางสั่นเทาไม่หยุด รู้สึกเพียงว่าอ่างน้ำที่ถืออยู่ในมือนี้ราวกับมีน้ำหนักหนึ่งพันจิน
สติของโจวเสาจิ่นกลับสะลึมสะลือ นางรับรู้อย่างเลือนรางเพียงว่าตัวเองไม่สบาย ท่านน้าฉือมาอยู่เป็นเพื่อนนางไม่ห่าง ท่านหมอมาแล้ว ท่านน้าฉือป้อนยาให้นางดื่ม ยังมาห่มผ้าให้นางด้วย ตอนที่มาห่มผ้าให้นางนั้นนางยังดึงมือของท่านน้าฉือเอาไว้ไม่ยอมปล่อยให้เขาไป ปรากฏว่าเขาก็ไม่ไปจริงๆ…นางจึงหลับไปอย่างสบายใจ
กระทั่งนางตื่นขึ้นมา ดวงอาทิตย์ก็ส่องเข้ามาถึงกลางห้องแล้ว ภายในห้องนอนเงียบเชียบ มีเพียงชุนหว่านที่นั่งสัปหงกอยู่ข้างๆ เตียงเพียงคนเดียวเท่านั้น
โจวเสาจิ่นขยับตัว
ชุนหว่านลืมตาขึ้นมาในทันใด
เมื่อเห็นว่าโจวเสาจิ่นตื่นขึ้นมาแล้ว ดวงตาของนางเมื่อยล้า กระโจนไปที่ข้างเตียง กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “คุณหนูรอง ท่านตื่นแล้ว!”
…………………………………………………………….