ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 398 ความเปลี่ยนแปลง
ครั้นได้ยินฝานหลิวซื่อบอกให้กลับเมืองเป่าติ้ง โจวเสาจิ่นก็เก็บน้ำตา แล้วลุกขึ้นมานั่ง
ฝานหลิวซื่อเห็นแล้วก็ดีใจเหลือล้น เสียงที่เอ่ยเรียก ‘คุณหนูรอง’ เมื่อครู่หยุดลงไปโดยปริยาย
โจวเสาจิ่นเช็ดน้ำตาแล้วนั่งตัวตรง สีหน้าเคร่งขรึม แม้ว่าหน้าตายังคงดูอ่อนโยนดังเก่า ทว่าตรงหว่างคิ้วกลับมีความสงบนิ่งเจือรอยเด็ดเดี่ยวเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่ง ราวกับคนที่มีปณิธานแน่วแน่ก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะเผชิญกับอุปสรรคหรือภยันตรายเช่นไร ก็จะฝ่าฟันเข้าไปโดยไม่ลังเล
โจวเสาจิ่นที่เป็นเช่นนี้ ทำให้ฝานหลิวซื่อหวนกระหวัดถึงจวงซื่อขึ้นมาในทันใด
ยามที่จวงซื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็มักจะนั่งอยู่ในห้องบัญชีเล็กๆ ด้วยท่าทางเช่นนี้ขณะสั่งการบ่าวไพร่ในเรือน
ตอนนั้น นางไม่เคยขบคิดมาก่อนเลยว่าถ้อยคำของจวนซื่อจะถูกต้องหรือไม่ คิดแค่ว่าสตรีผู้นี้พึ่งพาได้จริงๆ เท่านั้น ไม่ว่าเรื่องใดก็ตามหากถึงมือของนางจะคลี่คลายลงทั้งสิ้น จัดการได้อย่างเหมาะสมและสมบูรณ์แบบ นางเพียงทำตามก็พอ ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ตนก็มีจวงซื่อผู้สูงส่งผู้นี้หนุนหลัง
เพียงถ้อยคำไม่กี่ประโยค โจวเสาจิ่นก็เปลี่ยนไปแล้ว
ฉับพลันบนร่างของนางมีเงาสะท้อนของจวงซื่อปรากฏขึ้นมารางๆ
ฝานหลิวซื่อจิตใจเลื่อนลอยไปชั่วขณะ
โจวเสาจิ่นเองก็มิได้เอ่ยคำใดเช่นกัน ตะโกนบอกให้เสี่ยวถานเข้ามาปรนนิบัตินางล้างหน้า
ทว่าในใจของฝานหลิวซื่อกลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย นางกระซิบว่า “คุณหนูรอง เรื่องที่ข้ากล่าวมานั้น…”
โจวเสาจิ่นยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว หากผู้อื่นได้ยินเข้าก็คงยุ่งยากเป็นแน่ ข้าอายุยังน้อย ซ้ำยังเป็นรุ่นเด็ก คนอื่นจะคิดเอาว่านายท่านสี่มีเจตนาแอบแฝง… หากว่านายท่านสี่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่นี้ตราบนหลังล่ะก็ ตลอดชีวิตนี้ก็อย่าได้คิดเป็นคนอีกเลย!”
ชาติก่อน นางเคยได้รับความระทมทุกข์เช่นนี้มาก่อน
ชีวิตนี้ นางจะทนยอมให้เฉิงฉือได้รับความทุกข์ใจเหมือนที่นางเคยได้รับได้อย่างไร
ความรู้สึกนั้นยากจะหักห้ามกันได้… หากว่าคนผู้หนึ่งแม้ชื่อเสียงของตนก็ไม่ต้องการแล้ว นางยังจะเอาอะไรไปสงสัยว่าผู้อื่นชมชอบที่หน้าตาของนางหรือตัวนาง
แต่ต่อให้ชมชอบที่หน้าตาของนางแล้วอย่างไร
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่โจวเสาจิ่นรู้สึกจิตใจสงบเช่นนี้
นางแนะนำฝานหลิวซื่อต่ออีกว่า “ไม่ว่าท่านน้าฉือจะมีความคิดเช่นไร ทว่าสิ่งดีๆ ที่เขามีต่อพวกเราเจ้ามิอาจทำเป็นไม่เห็นได้! หากมิใช่เพราะท่านน้าฉือ ข้าจะหนีพ้นเงื้อมมือของเฉิงสวี่ไปได้อย่างไร เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว ข้าก็ซาบซึ้งบุญคุณของเขาไปชั่วชีวิตแล้ว เจ้าเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่มิใช่หรือว่า ข้าถึงวัยปักปิ่นแล้ว ถึงเวลาที่ต้องออกเรือนแล้ว ท่านน้าฉือเป็นเพียงญาติที่เกี่ยวดองกับพวกข้า เนื่องด้วยสายสัมพันธ์ฉันญาติกับท่านพี่ ข้าจึงเรียกเขาว่า ‘ท่านน้า’ ได้ ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่กับท่านพ่อ เขายังจะมายุ่งเรื่องแต่งงานของข้าได้อยู่หรือ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องมายุ่ง ข้ารู้จักวางตัวอยู่ในขอบเขตดี”
สิ่งดีๆ ที่เฉิงฉือมีให้พวกนาง ฝานหลิวซื่อเองก็มิอาจปฏิเสธได้
หลานชายร่วมสายโลหิตของตนถูกโจวเสาจิ่นสั่งสอนไปคำรบหนึ่ง เขามิได้ว่าอะไร หนำซ้ำยังไปขอขมาลาโทษนายท่านด้วยตนเอง
นางเชื่อสายตาตนเอง
ก่อนที่พวกนางจะไปเป่าติ้ง นายท่านสี่มิได้มีความคิดที่ไม่เหมาะสมต่อคุณหนูรองแต่อย่างใด
หาไม่แล้วฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะต้องรู้อย่างแน่นอน
นางนึกถึงภาพฉากที่ตนเห็นเมื่อครู่
ผิวขาวกระจ่างปานหิมะแรก ดวงหน้าพริ้มเพราราวบุปผา องเอวแบบบาง สะโพกงอนงาม เมื่อพิศดูจากข้างหลัง ละม้ายคล้ายผีผาที่แกะสลักจากหยกก็ไม่ปาน… สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้เท่านั้น นางเห็นแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ
นายท่านสี่ก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง
บางทีอาจจะถูกผีสิงจนสติเลอะเลือนไปชั่วขณะก็เป็นได้…
ฝานหลิวซื่อครุ่นคิด
อย่างไรเสียเขาก็ต้องกังวลถึงชื่อเสียงอยู่บ้างกระมัง
ยิ่งกว่านั้นเขาเป็นคนของจวนหลักแห่งซอยจิ่วหรู หากว่านางป่าวประกาศออกไปจริงๆ มีแต่จะทำให้จวนหลักขุ่นเคือง หากเกิดความขุ่นเคืองขึ้นมา เกรงว่าแม้แต่นายท่านก็ต้องลำบากไปด้วยแล้ว
จากนี้ไปขอเพียงนางจับตาดูคุณหนูรองให้มากขึ้นสักหน่อย นายท่านสี่ยังจะกล้าดึงดันต่อไปได้อยู่หรือ
ฝานหลิวซื่อตัดสินใจแล้ว จิตใจก็สงบลงมาเล็กน้อย กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรองวางใจเถิด ข้าจะไม่พูดจาเลื่อนเปื้อนแล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเป็นแม่นมของข้า ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีกับข้า เมื่อก่อนข้ายังเป็นเด็ก มีเรื่องอะไรก็มาไม่ถึงข้า แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน พวกเราเข้ามาอาศัยอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน ก็เหมือนเป็นคนร่วมหัวจมท้ายด้วยกันแล้ว บางเรื่องก็ต้องระวังเอาไว้ หากว่าฮูหยินรู้เข้าเพียงทำให้คนอื่นเห็นเรื่องชวนขัน แต่หากท่านพี่ล่วงรู้ด้วยละก็ มีแต่จะกังวลใจอย่างเงียบๆ ส่วนท่านพ่อทางด้านโน้น คงไม่อาจให้เขาทำลายอนาคตของตนด้วยเรื่องของข้าหรอกกระมัง”
ฝานหลิวซื่อรีบพยักหน้าไม่หยุด รู้สึกกระดากอายอยู่ในใจหลายส่วน
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง กล่าวสำทับนางอีกว่า “ผู้ใดบ้างไม่เคยมีเวลาที่รู้สึกกระดากอาย ท่านน้าฉือยังแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ พวกเราก็อย่าไปสร้างเรื่องให้ยุ่งยากขึ้นเลย เจ้าก็เคยอาศัยอยู่ที่ซอยจิ่วหรูมาก่อน คนจากตระกูลใหญ่โตสูงศักดิ์ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องสอบถามให้กระจ่างหมดทุกอย่าง เช่นนั้นยังจะมองหน้ากันได้อยู่หรือ เรื่องแบบนี้หากแพร่งพรายออกไป ข้ายังจะเหลือเกียรติได้อยู่หรือ”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ฝานหลิวซื่อรีบกล่าว “คุณหนูรองวางใจเถิด ข้ารู้แล้วว่าสมควรทำเช่นไร”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า ตรงหว่างคิ้วมีความอ่อนโยนจากก่อนหน้าฟื้นคืนมา
ฝานหลิวซื่อเห็นแล้วลอบรู้สึกประหลาดใจ
เสี่ยวถานนำสาวใช้เด็กเข้ามาช่วยโจวเสาจิ่นทำผม
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่หน้าโต๊ะคันฉ่องมองดูดวงหน้าน้อยๆ อันงดงามของตนพร้อมกับปรึกษาเสี่ยวถานว่า “…จะรวบเป็นมวยต่ำหรือ ดูเรียบง่ายเกินไปหน่อยหรือไม่ ลองทำทรงผมอื่นดูบ้างได้หรือไม่”
เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนมีทรงผมให้เลือกน้อยยิ่งนัก!
เสี่ยวถานเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “วันนี้คุณหนูรองอยากจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ อยากทำทรงผมอะไร ศีรษะของคุณหนูรองเล็ก หากไม่อยากรวบเป็นมวยต่ำ เช่นนั้นก็เกล้าเป็นมวยคู่แล้วกัน จะได้ปักปิ่นไข่มุกรูปใบแปะก๊วยคู่นั้นที่ต้ากูไหน่ไนมอบให้ท่านได้พอดีเลยเจ้าค่ะ”
ทำไมต้องให้นางทำผมเป็นมวยคู่ตลอดเวลาด้วย
สิ้นปีนี้นางจะเข้าพิธีปักปิ่นและเป็นหญิงสาวคนหนึ่งแล้วนะ!
โจวเสาจิ่นหัวเราะ เหอะๆ อยู่ในใจ ถามขึ้นว่า “เกล้าเป็นมวยห่วงคู่หรือมวยลายก้นหอยคู่แทนได้หรือไม่”
อย่างไรก็ตามทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นทรงผมของเด็กสาว
เสี่ยวถานกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นท่านอยากจะทำทรงผมอะไรกันแน่เจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกถอดใจ ตอบไปว่า “เช่นนั้นก็เกล้าเป็นมวยคู่แล้วกัน”
ทรงผมนี้เข้ากับนางมากกว่า
เสี่ยวถานเม้มปากกลั้นยิ้ม มวยผมนาง แล้วช่วยนางปักปิ่นไข่มุกรูปใบแปะก้วยคู่นั้นที่โจวชูจิ่นมอบให้นาง
โจวเสาจิ่นเลือกสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีกลีบบัวลายเรียบๆ กับกระโปรงจับจีบสิบสองจีบสีชมพูปักลายดอกไม้มงคล พรมน้ำดอกกุหลาบเล็กน้อย แล้วจึงเรียกจี๋เสียงเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถามว่า “เจ้าไปดูว่านายท่านสี่ตื่นแล้วหรือยัง”
ก่อนหน้านี้ระหว่างที่นางกำลังอาบน้ำอยู่ชุนหว่านได้ให้จี๋เสียงรายงานนางแล้วว่า นายท่านสี่ทราบว่านางตื่นแล้ว จึงกลับห้องไปนอนพักผ่อน
จี๋เสียงรับคำแล้วออกไป
โจวเสาจิ่นนั่งอยู่หน้าโต๊ะคันฉ่องพินิจดูตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็หยิบกำไลทองสลักลายดอกโบตั๋นวิจิตรคู่หนึ่งจากกล่องใบเล็กมาสวมใส่ แล้วจึงรู้สึกว่าแต่งกายประทินโฉมได้เสร็จสมบูรณ์ นางหยิบพัดผ้าไหมสีขาวนวลทรงกลมลายดอกกล้วยไม้อันหนึ่ง แล้วไปที่ห้องครัว
ห้องครัวยังมีน้ำแกงเก่าเหลืออยู่
โจวเสาจิ่นบอกให้ต้มน้ำแกงฟักเขียวหม้อหนึ่ง
สักพักห้องครัวก็ยุ่งวุ่นวายขึ้นมา
ไม่นาน จี๋เสียงก็มารายงานว่า “นายท่านสี่ตื่นแล้วเจ้าค่ะ”
เท่ากับว่าหลับไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น!
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “นายท่านสี่มิได้บอกว่าต้องไปทำธุระอะไรเลยหรือ”
จี๋เสียงส่ายศีรษะด้วยใบหน้าเหยเก
นางเป็นสาวใช้เด็กฐานะต่ำต้อยผู้หนึ่ง จะกล้าไปซักถามธุระของนายท่านสี่ได้อย่างไรเล่า!
โจวเสาจิ่นรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
ถ้าหากประเดี๋ยวท่านน้าฉือมีธุระต้องออกไปข้างนอก นางไปหาตอนนี้มิเท่ากับว่าช้าไปแล้วหรอกหรือ ในใจของนางราวกับเรือใบที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางทะเล รู้สึกไม่เป็นสุขยิ่ง อยากไปดูท่านน้าฉือสักหน่อย
มองดูครู่เดียวก็พอ
นางโบกพัดอยู่ในห้องครัว
ข้างนอกดวงอาทิตย์ทอแสงเจิดจ้า
ถ้าหากท่านน้าฉือไม่ต้องออกไปที่ใด… พวกเขาก็รับมื้อเที่ยงด้วยกันได้!
ดีที่น้ำแกงฟักเขียวนั้นไม่ต้องใช้เวลาต้มนาน
นางยกน้ำแกงฟักเขียวไปหาเฉิงฉือ
เมื่อเฉิงฉือเห็นโจวเสาจิ่นเริ่มหลั่งเหงื่อในตอนเช้าก็รู้แล้วว่านางไม่เป็นอะไรมากแล้ว
เขาไม่อยากจะรั้งอยู่ต่อไปในห้องชั้นในที่โจวเสาจิ่นตื่นขึ้นมาแล้วต้องรู้สึกระแวดระวังตัว จึงกลับมาก่อน
แต่พอกลับมาแล้วรู้ทั้งรู้ว่านางไม่เป็นไรแล้ว ทว่าในใจกลับรู้สึกว้าวุ่นตลอดเวลาเหมือนขาดอะไรบางอย่าง
นี่ก็คือหัวใจที่ร้อนรุ่มดั่งมีไฟสุ่มอยู่นั่นเอง!
ก่อนหน้านี้ตอนที่ตัดสินใจจะให้นางแต่งงานออกเรือนไปดีๆ ก็ยังสะกดกลั้นความรู้สึกได้บ้าง พอตอนนี้ตัดสินใจให้นางอยู่ข้างกายตนเอง กลับได้คืบจะเอาศอก ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ พรั่งพรูออกมาประหนึ่งอาชาที่ถูกถอดบังเหียนอย่างไรอย่างนั้น
จวบจนเมื่อชุนหว่านมารายงาน เขาก็บังคับตนเองให้นอนหลับครู่หนึ่ง แล้วตื่นขึ้นมาตอนใกล้จะเที่ยง
ครั้นตื่นขึ้นมาแล้วในใจก็ยังคิดคะนึงถึงเด็กน้อย
ไม่รู้ว่าอาการดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง
หากว่าตนไปเยี่ยมนาง นางจะรู้สึกดีใจหรือไม่สบายใจกันนะ
เขาปรารถนาให้นางมีความสุข มิใช่มารู้สึกเป็นกังวลด้วยเรื่องของเขา คอยชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย…
ความเคยชินที่สั่งสมมานานหลายปียังคงทำให้เฉิงฉือนอนหลับไปเพียงครู่เดียวก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
ขณะที่เตรียมจะรับประทานอาหาร โจวเสาจิ่นก็พรวดเข้ามา
ดวงหน้าน้อยๆ ซับสีแดงเรื่อ ดวงตาวาววับราวอัญมณีล้ำค่า เปล่งประกายแพรวพราว ความปีติยินดีเอ่อท้นออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
เฉิงฉือเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือถึงได้ดีใจขนาดนี้”
โจวเสาจิ่นมองเขายิ้มๆ แล้วชายตามองเขาพลางตอบอย่างหยอกเย้าแกมทะเล้นว่า “ไม่บอกท่านหรอกเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือระบายยิ้มอย่างอ่อนโยน กล่าวว่า “กินข้าวแล้วหรือยัง อยากจะกินกับข้าหรือไม่!”
“ดีเจ้าค่ะๆ!” ขณะที่เด็กน้อยตอบ ก็นั่งลงตรงกันข้ามเขาอย่างไม่เกรงใจ กวักมือเรียกสาวใช้ของนางว่า “ยกสำรับมาวางบนตั่งตัวเล็กก็พอ”
เฉิงฉือถึงได้พบว่าบนถาดของสาวใช้เด็กคนนั้นมีถ้วยตุ๋นน้ำแกงวางอยู่ด้วย
เขาถามยิ้มๆ ว่า “นี่คืออะไรหรือ”
“น้ำแกงฟักเขียวเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นตอบยิ้มๆ “เพิ่งอุ่นมาเจ้าค่ะ”
จี๋เสียงวางถาดลงบนโต๊ะอย่างเงอะงะ แล้วรีบถอยออกไป
เฉิงฉือรู้สึกไม่พอใจ
สาวใช้ข้างกายของเสาจิ่นช่างไม่รู้ความเกินไปเสียแล้ว
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ก็ยังทำได้ไม่ดี
เขามองถ้วยตุ๋นน้ำแกงใบนั้น แล้วยิ้มถามว่า “ให้ข้าหรือ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าพลางยิ้มร่า ตอบว่า “เมื่อคืนท่านเฝ้าไข้ข้าทั้งคืน ข้าจึงให้ห้องครัวต้มน้ำแกงฟักเขียวสักหน่อย ทั้งมีรสอ่อนและชุ่มคอ เหมาะสำหรับคนที่อดหลับอดนอนมาทั้งคืนดื่มเจ้าค่ะ”
เด็กน้อยรู้จักดูแลคนอื่นเป็นเหมือนกัน!
เฉิงฉือยิ้มพลางเปิดฝาถ้วย
โจวเสาจิ่นชี้ฟักเขียวที่ติดเปลือก พลางกล่าวว่า “ข้าอ่านมาจากตำราเล่มไหนไม่รู้ บอกว่าฟักเขียวที่ติดเปลือกมีสรรพคุณให้ความชุ่มชื้น แต่ข้ากินแล้ว เปลือกฟักเขียวนี้ไม่อร่อยจริงๆ เลย ท่านดื่มแต่น้ำแกงก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือยิ้มพลางลูบศีรษะนาง แล้วดื่มแต่น้ำแกงอย่างเชื่อฟัง
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางหยิบผ้าเช็ดหน้าให้เขาเช็ดมือ พลางกล่าวว่า “วันนี้รีบร้อนไปหน่อย ยังดีที่ฐานน้ำแกงเป็นน้ำแกงเก่าที่เคี่ยวทิ้งไว้ในห้องครัว น้ำแกงฟักเขียวนี้จึงพอดื่มได้เจ้าค่ะ ครั้งหน้าข้าจะทำน้ำแกงซี่โครงหมูใส่ฟักเขียวกับลูกเดือยให้ท่านกิน ลูกเดือยช่วยขจัดความชื้นในร่างกายได้ แช่ทิ้งไว้คืนหนึ่ง แล้วเคี่ยวติดต่อกันก็อร่อยแล้วเจ้าค่ะ”
ตอนที่นางพูดถึงเรื่องนี้ปลายคางเชิดขึ้นเล็กน้อย มีความเบิกบานบางอย่างที่เรียบง่ายและงดงาม
เสมือนว่าเพียงเรื่องเช่นนี้ก็ทำให้นางมีความสุขได้แล้ว
เฉิงฉือชอบเวลาที่เห็นนางมีความสุขอย่างนี้
เป็นความสุขที่ไร้ความกังวล และเป็นความสุขที่ถูกคนทะนุถนอมอย่างหนึ่ง
เขาเองก็อยากทำให้นางมีความสุขอย่างนี้ตลอดไปเช่นกัน
เฉิงฉือคุยถึงหัวข้อนี้กับนางต่อ ยิ้มพลางกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะทำอาหารเป็นด้วย!”
โจวเสาจิ่นตอบอย่างภูมิใจว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือจึงเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นให้ข้าสั่งอาหารสักหน่อยได้หรือไม่”
โจวเสาจิ่นแย้มรอยยิ้มออกมาทันควัน ถามว่า “ท่านชอบกินอะไร ข้าจะทำให้ท่านเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือกล่าวว่า “ทำวุ้นเกาลัดได้หรือไม่”
สิ่งที่นางชอบกินที่สุด ย่อมทำได้ดีอยู่แล้ว
โจวเสาจิ่นค่อนข้างประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “ท่านก็ชอบกินด้วยหรือเจ้าคะ”
“ช่วงที่อากาศร้อนๆ กินแล้วรู้สึกไม่เลว”
“จริงเจ้าค่ะๆ!” โจวเสาจิ่นคล้ายกับได้พบเพื่อนที่รู้ใจกันขึ้นมาในทันใด แย้มรอยยิ้มอย่างเริงร่าพลางกล่าวว่า “หากแช่ไว้ในบ่อน้ำจะอร่อยยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ…”
เฉิงฉือมองดูนางอย่างเงียบๆ ยิ้มพลางฟังนางพูดเจื้อยแจ้วด้วยจิตใจที่สงบสุขและอิ่มเอม ทว่าก็ลอบรู้สึกแปลกใจ เสาจิ่นดูเปลี่ยนไปต่างจากเดิมเล็กน้อย!
………………………………………………………………….