ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 404 สานสัมพันธ์
โจวชูจิ่นกับเฉิงเซิงเกิดในปีเดียวกัน ทั้งสองคนต่างเติบโตมาด้วยกันในซอยจิ่วหรู หนำซ้ำต่างเป็นหญิงสาวที่ฉลาดแพรวพราวยวดยิ่ง ยามอยู่ที่ซอยจิ่วหรูจึงสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก ตอนนี้ได้พบหน้ากัน ย่อมต้องสนิทสนมกว่าคนอื่นๆ เป็นธรรมดา ส่วนเฉิงเจิงเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลเฉิงในรุ่นนี้ นอกจากจะสง่าผ่าเผยและมีกิริยาสูงส่งแล้ว เหตุเพราะสามีเป็นมหาบัณฑิตสำนักฮั่นหลินและผู้ช่วยจานซื่อของสำนักจานซื่อ นางจึงมีขั้นยศเป็นกงเหริน[1] ขั้นสี่เจิ้งแล้ว
หากจะกล่าวว่าเฉิงเซิงกับคนอื่นๆ เป็นเด็กที่เพิ่งฝึกอ่านหัดเขียน เฉิงเจิงก็เป็นเด็กหนุ่มที่เริ่มฝึกเขียนความเรียงแปดตอน[2] แล้ว
ไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไร ก็สมควรให้เฉิงเจิงเป็นผู้นำ
โจวชูจิ่นคล้องแขนของเฉิงเซิง พลางยิ้มแย้มสนทนากับเฉิงเจิงขณะเดินไปยังห้องรับแขก
เฉิงเซียวเลยถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลัง
โชคดีที่ยังมีโจวเสาจิ่นอยู่เป็นเพื่อนนาง
จึงไม่ถือเป็นการเสียมารยาทมากนัก
เมื่อเทียบกับเฉิงเจิงที่งดงามเฉิดฉาย หรือเฉิงเซิงที่สดใสมีชีวิตชีวา เฉิงเซียวดูสงบเสงี่ยมมากกว่า
แต่นางมีผิวขาวเนียนละเอียด รอยยิ้มอ่อนโยน และกิริยาท่าทางที่สุขุมนุ่มลึก ในทางกลับกันจึงดูเป็นมิตรมากกว่าเฉิงเจิงและเฉิงเซิง
นางกล่าวยิ้มๆ กับโจวเสาจิ่นว่า “ข้าเห็นว่าหลังจากชูจิ่นแต่งงานแล้วก็ดูสดใสมากกว่าก่อน เห็นได้ว่ามีชีวิตที่น่าพอใจยิ่ง ก่อนหน้านี้ข้ายังรู้สึกเป็นห่วงชูจิ่น ท่านป้าผู้นั้นของข้า นิสัยค่อนข้างแข็งกร้าว มิใช่ผู้ที่เข้าหาได้ง่ายๆ เช่นนั้นเลย”
เฉิงเซียวแต่งงานกับญาติผู้พี่ของตนเอง ซึ่งก็คือหยวนหมิงคุณชายห้าของตระกูลหยวน
นอกจากนี้ตระกูลหยวนกับตระกูลฟางเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน คนในตระกูลหลายต่อหลายรุ่นล้วนแต่งงานระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นในชาติก่อนหรือชาตินี้ โจวเสาจิ่นก็ไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฉิงกับตระกูลฟางอย่างกระจ่างแจ้งนัก
นางยิ้มพลางกล่าวว่า “ปีที่แล้วตอนที่ข้าไปเยี่ยมบิดาของข้าที่เป่าติ้ง ได้เดินทางผ่านเจิ้นเจียง ก็เคยไปเยี่ยมเยียนฮูหยินตระกูลพี่เขยด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยินตระกูลพี่เขยปฏิบัติตัวอย่างสุภาพยิ่ง พี่สาวเองก็ได้รับความโปรดปรานจากนาง กลับกันไม่เห็นว่าอุปนิสัยของฮูหยินตระกูลพี่เขยจะแข็งกร้าวแต่อย่างใดเลยเจ้าค่ะ”
เฉิงเซียวได้ยินแล้วก็ยกยิ้มขึ้นมา สายตาที่มองดูโจวเสาจิ่นฉายแววสนใจมากขึ้นหลายส่วน
โจวเสาจิ่นรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
นี่นางกำลังพูดว่าตาบอดทั้งๆ ที่ลืมตาอยู่เสียแล้ว
แต่ท่านน้าฉือบอกว่า นี่คือถ้อยคำปราศรัย ทุกคนไม่ควรถือเป็นจริงเป็นจังตั้งแต่แรก หากผู้ใดถือเป็นจริงเป็นจัง ผู้นั้นก็คือคนโง่เขลา… ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือจะเดินทางถึงที่ใดแล้ว ได้กินข้าวนอนหลับตรงเวลาหรือไม่นะ
นางใจลอยไปครู่หนึ่ง แล้วชวนเฉิงเซียวคุยด้วยความมั่นใจขึ้นว่า “คราวนี้พี่สาวเซียวมาจิงเฉิงได้พาลูกน้อยมาด้วยหรือไม่เจ้าคะ ตอนที่ข้าอยู่ที่ซอยจิ่วหรูบางครั้งก็เห็นอวิ๋นเกอเอ๋อร์บุตรชายของพี่ชายสือ เขาเดินวิ่งเป็นแล้ว น่ารักยิ่งนักเจ้าค่ะ”
พอพูดถึงบุตรชาย ดวงหน้าของเฉิงเซียวก็อาบด้วยรอยยิ้มอย่างยากจะระงับ ตอบว่า “เดิมทีก็อยากพาเขามาด้วย แต่แม่สามีของข้าไม่อยากจากหลาน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ ข้าได้แต่ติดตามพี่เขยของเจ้ามาก่อน ไว้จัดเตรียมทางด้านนี้ให้เรียบร้อยแล้ว ค่อยไปรับหรงเกอเอ๋อร์มา”
หรงเกอเอ๋อร์คือชื่อเล่นของบุตรชายเฉิงเซียว
น้ำเสียงของนางติดเสียดายเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวว่า “ตอนที่ท่านพี่เพิ่งมาถึงจิงเฉิง ก็สับสนวุ่นวายจนทำอะไรไม่ถูกเจ้าค่ะ พี่สาวเซียวจัดการเรื่องต่างๆ ให้ลงตัวแล้วค่อยไปรับหรงเกอเอ๋อร์มาก็ดีเหมือนกัน ถึงเวลานั้นอยากจะซื้อของกินจุบจิบอะไรก็มีที่ให้ซื้อแล้ว ข้าเพียงรู้สึกว่าจิงเฉิงกว้างใหญ่เกินไป จะซื้อของอะไรล้วนไม่สะดวก”
เฉิงเซิงที่เดินอยู่ข้างหน้าได้ยินแล้วหันกลับมา ยิ้มร่าพลางกล่าวว่า “พี่หญิงใหญ่ ท่านดูสิเจ้าคะ มิใช่ข้าคนเดียวที่กล่าวอย่างนี้กระมัง เสาจิ่น ข้าขอให้พี่หญิงใหญ่พาพวกข้าเที่ยวจิงเฉิง พวกโรงงิ้วหรือตลาดขายสินค้าจากทางเหนือทางใต้ถึงจะไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร แต่แหล่งขายเข็มกับด้ายเหล่านั้นจะไม่รู้จักไม่ได้ เสาจิ่น ถึงตอนนั้นเจ้าไปกับพวกข้าเถอะ! พี่รองเองก็ไม่คุ้นเคยกับจิงเฉิงเท่าใดนัก!”
ชาติก่อนพวกนางแทบไม่เคยติดต่อพบปะกันเลย
ชาตินี้ยังคงถูกคั่นขวางกันไว้ด้วยเฉิงสวี่อีกผู้หนึ่ง
โจวเสาจิ่นหมายจะปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ ตอบว่า “ข้าสั่งการไปแล้ว อีกไม่กี่วันตั้งใจจะไปดูต้นไม้ดอกไม้ที่เฟิงไถเจ้าค่ะ”
เฉิงเซิงเห็นนางกล่าวเช่นนี้ ก็หัวเราะคิกขึ้นมา พลางกล่าวว่า “ข้ายังคิดว่านิสัยของเจ้าเปลี่ยนไปแล้วเสียอีก ที่ไหนได้ยังขี้ขลาดอยู่นี่เอง! ถ้าเจ้ามากับพวกข้าและพี่หญิงใหญ่ ใครยังจะรังแกเจ้าได้อยู่หรือ อีกไม่นานสามีของพี่รองของเจ้าจะเข้าไปศึกษาเล่าเรียนในสำนักกั๋วจื่อเจี้ยนแล้ว บางทีอาจจะเป็นสหายร่วมสำนักกับพี่เขยของเจ้าก็ได้ สามีของข้าผู้นั้นยังมิได้ตัดสินใจว่าจะเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาซวงเฮ่อหรือสำนักกั๋วจื่อเจี้ยน ต้องปรึกษาหารือกับพวกผู้ใหญ่ในตระกูล… ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเราพี่น้องจะอยู่จิงเฉิงกันครบหน้า จะไม่ให้ไปมาหาสู่กันได้อย่างไร เจ้าระมัดระวังตัวเกินไปแล้ว!”
ตระกูลโจวมีสมาชิกตระกูลน้อยยิ่งนัก ต้องการความช่วยเหลือจากญาติที่เกี่ยวดองกันเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้สามพี่น้องตระกูลเฉิงเป็นฝ่ายที่เริ่มแสดงความต้องการเป็นมิตรก่อน ทั้งยังมีสายสัมพันธ์จากอดีต หลังจากที่ได้รับความเอื้อเฟื้อจากเฉิงฉือ โจวชูจิ่นก็ตั้งใจจะสานสัมพันธ์กับตระกูลเฉิง พอได้ยินแล้วก็กล่าวกับเฉิงเซิงยิ้มๆ ว่า “เจ้ายังไม่รู้จักเสาจิ่นของพวกข้าดี แค่เดินบนถนนก็กลัวจะเหยียบมดตายแล้ว ท่าทางของเจ้านี้มองดูก็รู้แล้วว่าคงรบเร้าให้พี่หญิงใหญ่พาเจ้าไปเที่ยวซนทั่วทุกที่ นางจะกล้ารับคำชวนของเจ้าได้อย่างไร! ข้าว่าเจ้าชวนนางไปวัดเสียยังจะดีกว่า นางชอบไปสถานที่เช่นนั้นมากกว่า”
จู่ๆ เฉิงเจิงที่ไม่ได้พูดอะไรกับโจวเสาจิ่นมาโดยตลอดก็ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าชอบปลูกต้นไม้ดอกไม้มากหรือ ข้าเองก็ไปซื้อดอกไม้ที่ย่านเฟิงไถอยู่บ่อยๆ เจ้าตัดสินใจไปเฟิงไถเมื่อใด ถึงตอนนั้นก็ชวนข้าไปด้วยแล้วกัน ฤดูใบไม้ผลิทางตอนเหนือมาถึงช้ากว่าทางตอนใต้ หากวางสภาพอากาศเช่นนี้ไว้ทางตอนใต้ นั่นก็คือฤดูกาลที่ดอกไม้ใบหญ้างอกงาม นกขมิ้นโบยบินและต้นหลิวพลิ้วไหวริมตลิ่งแล้วละ ข้าจะได้พาบุตรชายสองคนไปด้วยพอดี แนะนำให้รู้จักกับญาติๆ ทั้งยังให้พวกเขาออกมาเที่ยวเล่นได้ด้วย ช่วงก่อนหนิงเกอเอ๋อร์ป่วยเป็นอีสุกอีใสมิใช่หรือ จะได้ให้เขาคลายเครียดสักหน่อย”
บุตรชายสองคนของเฉิงเจิงนั้น คนโตชื่อว่ากู้หนิง คนรองชื่อว่ากู้จง
ท่าทางแสดงความต้องการเป็นมิตรอย่างโจ่งแจ้งของนาง ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ทันตั้งตัว ฉับพลันบรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบกริบขึ้นมา
โจวเสาจิ่นอยากจะถามเฉิงเจิงเหลือเกินว่า ท่านปฏิบัติกับข้าอย่างนี้ ฮูหยินหยวนทราบหรือไม่
โชคดีที่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างเป็นผู้ที่ฉลาดมีไหวพริบ
โจวชูจิ่นรีบตอบยิ้มๆ ว่า “ดีเจ้าค่ะ” แล้วกล่าวแกมเสียใจว่า “เสียดายที่ข้าเพิ่งออกเดือน ไม่เช่นนั้นก็ไปกับพวกท่านได้!”
พอมีคนเอ่ยปากพูด บรรยากาศก็พลันสดใสขึ้นมา
เฉิงเซียวยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “วันเวลาต่อจากนี้ยังอีกยาวไกล รอให้ลูกๆ โตขึ้นสักหน่อย ข้าจะไปปีนเขาเซียงซานกับเจ้า ได้ยินมาว่าทิวทัศน์ทางโน้นสวยงามยิ่งนัก ให้พวกนางไปตามหาร้านขายของเย็บปักถักร้อยนั้นทั่วทั้งถนน ส่วนโรงงิ้วกับตลาดขายของจากทางเหนือทางใต้เหล่านั้นไม่ต้องรู้ว่าอยู่ที่ใด เพียงตามหาแหล่งขายเข็มกับด้ายให้เจอ ข้าก็ไม่เชื่อแล้วว่าเข็มไม่กี่เล่มกับด้ายไม่กี่เข็ดจะทำให้เจ้าลำบากจนมีสภาพเช่นนี้ได้! ข้าว่าเจ้าอยากจะเที่ยวจิงเฉิงมากกว่ากระมัง อย่ามาลากข้าเข้าไปด้วยเลย!” ประโยคสุดท้าย กลับเป็นการพูดเย้าแหย่เฉิงเซิง
เฉิงเซิงตอบว่า “พี่หญิงรองไม่ไว้หน้าข้าแม้แต่น้อยเลยจริงๆ!”
เป็นการยอมรับถ้อยคำของเฉิงเซียวกลายๆ
โจวชูจิ่นและคนอื่นๆ หัวเราะร่วนขึ้นมา
โจวเสาจิ่นเองก็เม้มปากกลั้นยิ้ม ทว่าในใจกลับคาดหวังให้เฉิงฉือกลับมาเร็วขึ้นสักหน่อย
ไม่รู้ว่าพวกเฉิงเจิงต้องการทำอะไร
คนทั้งกลุ่มนั่งลงในห้องรับแขก สาวใช้เด็กยกน้ำชาและของว่างมาขึ้นโต๊ะ จากนั้นเฉิงเจิงก็ถามถึงพิธีครบร้อยวันของกวนเกอ แล้วกล่าวอีกว่า “ถึงเวลานั้นพวกข้าสามพี่น้องจะต้องมาร่วมงานรื่นเริงนี้อย่างแน่นอน”
ซอยซิ่งหลินก็ดี หรือซอยซวงอวี๋ก็ดี ล้วนไม่มีอิสตรีที่ดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ภายในเรือน นอกจากนี้งานเฉกเช่นพิธีอาบน้ำครบสามวัน พิธีครบเดือนหรือพิธีครบร้อยวันที่ต้อนรับการกำเนิดของบุตรชายในตระกูลประเภทนี้ล้วนแล้วแต่มีอิสตรีที่มาร่วมงาน หากสามพี่น้องตระกูลเฉิงมาร่วมแสดงความยินดีได้ จะทำให้โจวชูจิ่นได้หน้าได้ตาต่อหน้าบรรดาญาติๆ ของตระกูลเลี่ยวไม่น้อย
โจวชูจิ่นกล่าวขอบคุณยิ้มๆ
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม
สามพี่น้องตระกูลเฉิงอยู่รับประทานมื้อเที่ยงที่ซอยอวี๋ซู่ หลังจากนัดหมายกันไปเที่ยวชมดอกไม้ผลิบานที่เฟิงไถในอีกสองวัน แล้วอีกสองวันไปเดินเที่ยวย่านถนนการค้าต้าจ้าหลันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงได้ร่ำลากลับจวน
ตระกูลสามีของเฉิงเซิงมิได้มีประวัติเก่าแก่เท่ากับตระกูลสามีของเฉิงเจิงหรือเฉิงเซียว นางมิได้อยู่ร่วมกับคนของตระกูลเผิง แต่นางกับเผิงเจ่าผู้เป็นสามีอาศัยอยู่ในเรือนสินเดิมของนาง ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากซอยซิ่งหลิน ส่วนเฉิงเซียวกับเฉิงเจิงต่างอาศัยอยู่ที่บ้านเดิมของตระกูลสามีในจิงเฉิง ทั้งสองตระกูลล้วนอยู่ในละแวกใกล้ประตูเฉาหยาง สองพี่น้องส่งเฉิงเซิงกลับไปก่อน แล้วจึงมุ่งไปทางประตูเฉาหยาง
เฉิงเซียวย่นหัวคิ้วขณะกล่าวว่า “พี่หญิงใหญ่ ท่านอาฉือหมายความว่าอย่างไร ไฉนต้องการให้พวกเราไปมาหาสู่กับพี่น้องตระกูลโจวด้วยเจ้าคะ แต่ไรมาท่านอาฉือไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย! เกิดเรื่องบางอย่างที่ข้าไม่รู้ใช่หรือไม่”
พวกนางเป็นพี่น้องร่วมอุทร เวลาพูดคุยกันจึงไม่ปิดบังกันมากกว่า
เฉิงเจิงได้ยินแล้วเพียงรู้สึกยุ่งยากใจ
เป็นมารดาที่ตามใจบุตรชายมากเกินไป
มารดาปฏิบัติกับพวกนางอย่างเที่ยงธรรมไม่ลำเอียงได้ แต่พอถึงน้องชาย กลับรู้จักแต่จะประคบประหงมตามใจอย่างเดียว ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ มิใช่ว่าควรฉวยโอกาสดัดนิสัยไม่ดีของน้องชายและหาทางอบรบสั่งสอนเขาให้ดี หรอกหรือ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังออกตัวปกป้องและกล่าวหาว่าโจวเสาจิ่นไม่ถูก พวกเฉิงเจิ้งและคนอื่นๆ ไม่ถูก หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถ้าน้องชายไม่เปลี่ยนเป็นหนุ่มเสเพลไม่เอาไหนก็ต้องเปลี่ยนเป็นผู้ที่ไร้ความสามารถเสียแล้ว!
แต่เรื่องที่น่าอับอายเช่นนี้นางจะเล่าให้น้องสาวฟังได้อย่างไร
ในโลกนี้ไม่มีความลับใดที่เก็บรักษาเอาไว้ได้
หากพูดให้น้อยลงสักประโยคได้ก็พูดให้น้อยลงสักประโยคเสียดีกว่า
เฉิงเจิงพรูลมหายใจยาวเหยียด เมื่อรู้สึกอารมณ์ของตนดีขึ้นเล็กน้อยถึงได้ตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “สงสัยท่านย่าฝากฝังเอาไว้กระมัง หลังจากน้องสาวเซิงมาจิงเฉิงแล้ว ท่านแม่ก็รีบตามมาจิงเฉิง เป็นเสาจิ่นที่แสดงความกตัญญูต่อหน้าท่านย่า ทั้งยังติดตามท่านย่าไปเขาผู่ถัว นางกำพร้ามารดามาตั้งแต่เด็ก เจ้าก็เห็นแล้วว่า อุปนิสัยของนางอ่อนโยนและเป็นคนเงียบๆ ทั้งยังเชื่อฟังอยู่ในโอวาท เกรงว่าคงจะทำให้ท่านย่าหายเหงาได้เป็นอย่างมาก ตอนนี้พวกนางพี่น้องอยู่จิงเฉิง ด้วยหลักและเหตุผลแล้วพวกเราควรจะดูแลพวกนางสักหน่อย ถือเป็นการตอบแทนนางที่สร้างความสุขในบั้นปลายชีวิตของท่านย่าแทนพวกเราก็แล้วกัน”
เฉิงเซียวนึกถึงท่าทางของโจวเสาจิ่นที่ค้อมศีรษะน้อยๆ ขณะนั่งฟังพวกนางสนทนากันอย่างเงียบๆ และเชื่อฟังแล้ว ก็อดคลี่ยิ้มขึ้นมาพลางกล่าวว่า “เสาจิ่นนิสัยดีจริงๆ ข้าก็ชอบนางมากเช่นกัน”
เฉิงเจิงครุ่นคิดแล้วก็บอกเฉิงเซียวว่าเรือนที่โจวเสาจิ่นพำนักอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนนั้นเป็นเรือนที่เฉิงฉือมอบให้นาง
เฉิงเซียวตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เฉิงเจิงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วว่าท่านย่ากับท่านอาฉือให้ความสำคัญกับนางมากเพียงใดกระมัง! ต่อไปก็ปฏิบัติกับนางเหมือนเป็นน้องสาวคนเล็กคนหนึ่งก็พอ”
เฉิงเซียวพยักหน้าหงึกๆ แล้วกล่าวยิ้มๆ อย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านอาฉือชักจะลำเอียงเกินไปแล้ว ตอนที่ข้าออกเรือนเพียงมอบสินเจ้าสาวให้ข้าแค่ห้าพันเหลี่ยง ไม่ได้! รอท่านอาฉือกลับมาแล้ว ข้าต้องขอเรือนสักหลังหนึ่งจากเขาถึงจะถูก ข้าได้ยินท่านสามบอกว่า ท่านอาฉือเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยผู้หนึ่ง ปีที่แล้วแม้ไม่ค่อยได้ทำมาค้าขายแต่กลับทำเงินได้อย่างน้อยหนึ่งแสนเหลี่ยง ลมสารทฤดูนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตีให้โดน!”
นางเอ่ยถึงท่านสาม ซึ่งก็คือหยวนเปี๋ยอวิ๋นบุตรชายคนที่สามของหยวนเหวยชาง
คราวก่อนในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของเฉิงซวี่ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรอง ตามประสบการณ์จากชาติที่แล้วทำให้โจวเสาจิ่นเข้าใจผิดว่าหยวนเปี๋ยอวิ๋นเป็นบุตรชายคนโตของหยวนเหวยชาง
หยวนเปี๋ยอวิ๋นกับเฉิงฉือมีนิสัยใจคอที่เข้ากันได้ดี ความสัมพันธ์จึงดียิ่งนัก
เฉิงเจิงอดหัวเราะร่วนไม่ได้ กล่าวว่า “ผู้ที่ไม่รู้จะคิดว่าเจ้าแต่งงานกับตระกูลที่ตกอับแร้นแค้นตระกูลหนึ่งเอานะ เจ้าขาดเงินขนาดนี้เชียว?”
“ข้ามิได้ขาดแคลนเงินทอง แต่ใครๆ ก็ไม่ชอบที่มีเงินน้อยนี่นา!” เฉิงเซียวกล่าวยิ้มๆ “มิใช่ว่าเจ้าไม่รู้จักตระกูลหยวนสักหน่อย มากคนก็มากคำนินทา ระหว่างบรรดาสะใภ้ทั้งหลายไม่ว่าจะสนิทสนมกันเพียงใดก็ไม่สนิทสนมไปกว่าการพูดคุยเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับหรืออนาคตของพี่น้องจากตระกูลเดิม ข้าอายุยังน้อย ยังมิได้สั่งสมประสบการณ์มากเท่ากับเจ้าหรือท่านย่า เจ้าปล่อยให้ข้ากลิ้งเกลือกในโลกมนุษย์ต่อไปเถอะ!”
ถ้อยคำนี้ทำให้เฉิงเจิงขำพรืดอย่างกลั้นไม่อยู่
แต่พอหัวเราะออกมาแล้ว ในใจของนางกลับเสมือนไต่อยู่บนความกังวลสายหนึ่งอย่างอธิบายไม่ได้
อนาคตของพี่น้อง…
หากเฉิงสวี่ประพฤติตัวเช่นนี้ต่อไป จะมีอนาคตที่ดีได้หรือ
ถ้าหากเฉิงสวี่ดูแลตระกูลไม่ได้ จวนหลัก…จะต้องกลับไปดูสีหน้าของจวนรองอีกอย่างนั้นหรือ!
บางทีผู้ที่พวกนางพี่น้องพึ่งพาได้คงมิใช่พี่น้องจากตระกูลเดิม แต่เป็นบุตรชายของตนเสียแล้ว!
เฉิงเจิงลูบหน้าผากของตน
………………………………………………………………….
[1] กงเหริน คือ บรรดาศักดิ์ของภรรยาขุนนางขั้นสี่
[2] ความเรียงแปดตอน หรือ ความเรียงจื้ออี้ (制艺) เป็นเรียงความประเภทหนึ่งที่ใช้ในการสอบขุนนาง โดยแบ่งเนื้อหาเรียงความเป็นแปดตอนดังชื่อ