ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 405 แปลกใจ
ตอนที่เฉิงเจิงกลับถึงบ้าน ก็เป็นเวลาจุดตะเกียงยามเย็นแล้ว
นางไปดูบุตรชายทั้งสองคนก่อน
กู้หนิงวัยสิบขวบกับกู้จงหน้าตาคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก ต่างซึมซับจุดเด่นของเฉิงเจิงสามีภรรยา ขณะอายุยังน้อยก็มีหน้าตาหล่อเหลาเหลือแสนแล้ว ตอนที่เฉิงเจิงเดินเข้ามา สองพี่น้องกำลังยืนตัวตรงอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือขณะคัดอักษร
“ท่านแม่!” สองพี่น้องเอ่ยเรียกเฉิงเจิงเป็นเสียงเดียวกัน ต่างแสดงสีหน้าลิงโลดดีใจ กู้หนิงเพียงวางพู่กันลงแล้วทำความเคารพเฉิงเจิงอย่างนอบน้อม ทว่ากู้จงกลับโผเข้าสู่อ้อมแขนของเฉิงเจิง
เฉิงเจิงลูบศีรษะของบุตรชายคนเล็กอย่างรักใคร่เอ็นดู จากนั้นก็จูงมือของเขาไปหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ “กินข้าวเย็นแล้วหรือยังเอ่ย วันนี้กินอะไรไปบ้าง อร่อยหรือไม่ การบ้านที่อาจารย์สั่งไว้ทำเสร็จแล้วหรือยัง ต้องเล่าเรียนและพักผ่อนให้สมดุลกันถึงจะถูก ระวังสายตาจะเสีย”
กู้หนิงยิ้มพลางรับคำ
ส่วนกู้จงตอบคำถามของเฉิงเจิงอย่างเจื้อยแจ้ว
เมื่อเฉิงเจิงได้ยินว่าบุตรชายทั้งสองคนรับประทานมื้อเย็นกับกู้ซวี่สามี ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เหตุใดพ่อของเจ้าถึงกลับมาเร็วขนาดนี้หรือ”
กู้หนิงยิ้มน้อยๆ พลางตอบว่า “ท่านพ่อบอกว่าวันนี้ไท่จื่อทรงนำหวงไท่ซุนเสด็จไปพายเรือที่ตำหนักนอก พวกเขาไม่มีงานอะไรทำจึงกลับมาก่อนขอรับ”
สำนักจานซื่อเป็นสำนักที่บริหารจัดการงานต่างๆ ขององค์รัชทายาท แม้ขั้นยศไม่สูงนัก แต่ตำแหน่งกลับมีความสำคัญยิ่งยวด กู้ซวี่เป็นเส่าจานซื่อของสำนักจานซื่อ ซึ่งก็คือผู้ช่วยของสำนักจานซื่อ ในยามปกติมีกิจธุระมากมาย มีเวลาพักผ่อนน้อยนิด เวลาที่กลับบ้านตรงเวลาเช่นนี้มีน้อยครั้งนักจนแทบจะนับนิ้วได้
เฉิงเจิงตรวจดูบทเรียนของบุตรชาย เอ่ยชมทั้งคู่สองสามประโยค แล้วบอกว่าอีกสองวันจะพาพวกเขาไปชมดอกไม้ผลิบานที่เฟิงไถ ให้พวกเขาพักผ่อนเร็วขึ้นสักหน่อย จากนั้นจึงซักถามสาวใช้ แล้วไปที่ห้องหนังสือของเรือนชั้นใน
กู้ซวี่กำลังเคลื่อนย้ายดอกกล้วยไม้สองสามกระถางไปวางบนขอบหน้าต่าง
ปีนี้เขาอายุสามสิบสี่ปี รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางสุขุมเยือกเย็น การทำงานในราชสำนักหลายปีทำให้เขาเปลี่ยนเป็นค่อนข้างเงียบขรึมและเก็บตัว เขาสวมชุดจื๋อตัวสีม่วงแดงเหลือบน้ำเงินไพลินปักลายเมฆมงคลทรงกลมตัวหนึ่ง ดูเรียบง่ายแต่ไม่โอ้อวดจนเกินไป ทว่าเมื่อเขาเห็นเฉิงเจิงเดินเข้ามาดวงตากลับทอประกาย มุมปากหยักขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้ากลับมาแล้ว” สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นร่าเริงขึ้นมา
เฉิงเจิงพยักหน้า คลี่ยิ้มขณะมองดูดอกกล้วยไม้ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้ทำเหมือนคราวก่อนเชียวล่ะ ช่วยข้ารดน้ำดอกไม้แล้วทำดอกไม้ตายเสีย”
กู้ซวี่ยิ้มเฝื่อนๆ อย่างไม่เห็นด้วย วางดอกกล้วยไม้กระถางใหม่บนขอบหน้าต่าง แล้วเรียกสาวใช้เข้ามารดน้ำ พลางเอ่ยถามเฉิงเจิงว่า “กินข้าวเย็นแล้วหรือยัง ข้าบอกให้ห้องครัวทำโจ๊กถั่วเขียวใส่เม็ดบัวกับไป่เหอไว้ให้เจ้า กินในฤดูนี้แล้วอร่อยยิ่ง”
“ข้ากินข้าวเย็นที่ตระกูลเลี่ยวแล้วเจ้าค่ะ” ถึงกระนั้น เฉิงเจิงยังตัดสินใจกินโจ๊กเม็ดบัวอีกครึ่งถ้วย
สองสามีภรรยานั่งลงบนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง
กู้ซวี่ถามยิ้มๆ ว่า “เหตุใดจู่ๆ พวกเจ้าถึงอยากไปที่เรือนตระกูลเลี่ยวหรือ น้องสาวตระกูลโจวยังสบายดีอยู่กระมัง”
“ดียิ่งนักเจ้าค่ะ!” เฉิงเจิงเล่าเรื่องที่เฉิงฉือไหว้วานให้แก่กู้ซวี่ฟัง
กู้ซวี่ได้ยินแล้วสีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา
เฉิงเจิงเห็นแล้วใจเต้นตึกตัก เอ่ยถามขึ้นว่า “ทำไมหรือ มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เจ้าคะ”
กู้ซวี่ขบคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวช้าๆ ว่า “เจ้ายังจำที่ท่านอาฉือมอบผู้ติดตามคนหนึ่งให้ข้าช่วงที่ผ่านมาได้หรือไม่”
“จำได้สิเจ้าคะ!” เฉิงเจิงตอบ “บ่าวข้างกายในตระกูลของพวกข้าล้วนเชิญผู้ที่มีวรยุทธ์แกร่งกล้าคนหนึ่งมาเป็นผู้ติดตามประจำตัว ต้าซูบ่าวข้างกายของเจียซ่านก็ใช่ ส่วนคนข้างกายท่านอาฉือก็คือผู้ที่มีนามว่าไหวซานผู้นั้น เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ”
กู้ซวี่กล่าวว่า “หลายวันก่อนหวงไท่ซุนทรงเสด็จออกมาที่โถงทางเดินหลังจากทรงสดับฟังท่านผู้ช่วยมหาราชครูสอนตำรา จู่ๆ มีกระเบื้องสองสามแผ่นตกลงมา ตอนนั้นผู้ติดตามนามว่าหวังชิงที่ท่านอาฉือมอบให้ข้าผู้นั้นเดินผ่านโถงทางเดินพอดี ไม่รอให้เหล่าองครักษ์มีปฏิกิริยาโต้ตอบ เขาก็พุ่งเข้าไป ผลักหวงไท่ซุนออกไป… หลังจากนั้นหวงไท่ซุนทรงไต่ถาม ครั้นทรงสดับว่าเป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลพวกเรา นอกจากจะพระราชทานแพรพรรณมากมายให้แก่เขาแล้ว ยังทรงเรียกเขาไปลับคมวิทยายุทธ์กับองครักษ์ประจำพระองค์ของพระองค์เองเป็นครั้งคราว ครั้งนี้ที่องค์ไท่จื่อทรงนำหวงไท่ซุนเสด็จไปพายเรือที่ตำหนักนอก ไท่จื่อทรงส่งคนมาบอกข้าว่า จะพาหวังชิงไปด้วย… ข้าคิดมาเสมอว่าเรื่องนี้ช่างบังเอิญเหลือเกิน ดูไม่ชอบมาพากลหลายส่วน แต่ท่านอาฉือกับข้ามีปฏิสัมพันธ์กันน้อยยิ่ง ทั้งไม่รู้จักอุปนิสัยของเขาดี ชั่วขณะนั้นจึงไม่มีความคิดเห็นใดๆ…”
ข้ารับใช้ประจำพระองค์ของหวงไท่ซุนหากไม่ตรวจสอบตระกูลทั้งห้าชั่วโคตรก็ต้องตรวจสอบตระกูลสามชั่วโคตร
ในเมื่อสำนักจานซื่ออนุญาตให้หวังชิงปรนนิบัติข้างพระวรกายของหวงไท่ซุนแล้ว ต้องมิใช่เพราะหวังชิงเป็นบ่าวของกู้ซวี่จึงให้เขาติดตามหวงไท่ซุน แต่เพราะหวังชิงเป็นผู้ที่เฉิงฉือมอบให้กู้ซวี่มาก่อนเป็นแน่…
หน้าผากของเฉิงเจิงมีเหงื่อเย็นผุดซึม กล่าวขึ้นว่า “ท่านอาฉือกลับไปจินหลิงแล้ว คงต้องอยู่ที่โน่นสักระยะหนึ่งแล้วถึงจะกลับมาได้ ข้าจะเขียนจดหมายให้ท่านอาฉือประเดี๋ยวนี้ ดูว่าเขาวางแผนจะทำอะไรกันแน่เจ้าค่ะ”
กู้ซวี่พยักหน้าเบาๆ แล้วปลอบเฉิงเจิงว่า “เจ้าอย่าวิตกกังวลไปเลย ข้าคิดว่าท่านอาฉือจะไม่ทำร้ายพวกเราอย่างแน่นอน”
เฉิงเจิงพยักหน้าส่งๆ วันรุ่งขึ้นก็ไปซอยซิ่งหลิน
เฉิงจิงไปทำงานที่สำนักว่าการ เมื่อได้รับกระดาษข้อความที่ผู้ติดตามส่งมาให้ ก็รีบกลับมาจากสำนักว่าการ
เฉิงเจิงคิดมาตลอดว่าบิดาค่อนข้างหูเบา แม้ในใจร้อนรนดั่งไฟสุม แต่ยังคงรักษากิริยาเอาไว้ หลังจากนั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ในห้องหนังสือกับบิดาแล้ว ก็อธิบายจุดประสงค์ที่มาขึ้นว่า “ท่านทราบหรือไม่ว่าท่านอาฉือกลับไปจินหลิงเพื่ออันใดเจ้าคะ”
เฉิงจิงตอบยิ้มๆ ว่า “ถึงเจ้าถามข้า ข้าก็ไม่รู้จริงๆ! อาฉือของเจ้ามีนิสัยใจคอคล้ายกับนกกระเรียนป่าในม่านเมฆผู้หนึ่ง วันนี้อยู่ที่นี่ พรุ่งนี้อยู่ที่นั่น ปีนั้นตอนที่ไปเขาผู่ถัวเป็นเพื่อนย่าของเจ้าก็ยังพบกับบิดาของซ่งจิ่งหร่านโดยบังเอิญ กลายเป็นสหายต่างวัยกับนายท่านผู้เฒ่าตระกูลซ่ง ร่วมกันขบคิดหาทางควบคุมป้องกันอุทกภัยอะไรนั่น จากนั้นก็ให้ซ่งจิ่งหรานถวายแด่องค์ฮ่องเต้ หากมิใช่เพราะท่านลุงใหญ่ของเจ้าทัดทานเอาไว้ เกรงว่าองค์ฮ่องเต้จะทรงเรียกอาฉือของเจ้าไปซักถามในวังแล้วเป็นแน่…”
ท่านลุงใหญ่คือหยวนเหวยชางผู้เป็นราชเลขาธิการ
เฉิงเจิงได้ยินแล้วก็ย่นหัวคิ้วรางๆ เอ่ยถามอีกว่า “ท่านพ่อ ตอนนั้นท่านมิได้ช่วยท่านอาฉือเอาไว้แม้แต่น้อยหรือเจ้าคะ”
“เจ้าคงมิได้คิดว่าข้าขัดขวางเส้นทางราชการของอาฉือของเจ้าหรอกกระมัง” เฉิงจิงหลุดหัวเราะพลางกล่าวอีกว่า “การที่ท่านอาฉือของเจ้าดูแลกิจการของตระกูล เป็นท่านย่าของเจ้ากับท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองที่เป็นผู้ตัดสินใจ ตั้งแต่ราชวงศ์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์พวกเราได้ให้กำเนิดจิ้นซื่อมาทั้งหมดเจ็ดคนแล้ว ห้าคนในนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนของจวนหลัก ท่านปู่รองของเจ้ายังเป็นถึงปั๋งเหยี่ยน ตอนนี้ในบรรดารุ่นหลังก็มีน้องชายของเจ้าที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้ผู้หนึ่ง กระแสลมของจวนหลักแรงเกินไป จึงให้อาฉือของเจ้าหลบเลี่ยงกระแสลมให้ผ่านพ้นไปก่อน”
เฉิงเจิงไม่เห็นด้วย
เรื่องบางเรื่องอยากจะหลบเลี่ยงกระแสลมก็หลบพ้นได้อย่างนั้นหรือ”
แม้นความอ่อนน้อมถ่อมตนและระมัดระวังตัวจะเป็นหนทางสายหนึ่งก็ตาม แต่การบดขยี้ของผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ก็ทำให้ผู้น้อยอกสั่นขวัญแขวนได้เหมือนกัน และบางทีอาจจะเป็นหนทางอีกสายหนึ่งก็เป็นได้ ยิ่งกว่านั้นในรุ่นของเจียซ่าน นอกจากเจียซ่านกับโหย่วอี้แล้ว นางยังไม่เห็นผู้ใดที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในการสอบขุนนางได้เลย รอจนกระทั่งคนจากรุ่นก่อนเกษียณออกไปหมดแล้ว ตระกูลเฉิงจะเหลือเพียงเจียซ่านกับโหย่วอี้เท่านั้น เกรงว่าคงจะกลายเป็นดวงตะวันอ่อนแสงที่ภูเขาทิศประจิมอย่างแน่นอน
นางย้ำเตือนเฉิงจิงอ้อมๆ ว่า “ความจริงหากท่านอาฉืออยากจะเดินบนเส้นทางในราชสำนักก็อาจจะมิใช่เรื่องที่ไม่ดีก็ได้ ท่านอาฉืออายุมากกว่าเจียซ่านเพียงแปดปีเท่านั้นนะเจ้าคะ ในปีนั้นหากมิใช่เพราะท่านปู่รองยินยอมไปประจำอยู่ในสำนักฮั่นหลิน ตอนที่ท่านพ่อกับท่านอาออกทุกข์ เกรงว่าท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองคงจะไม่ยอมช่วยท่านพ่อกับท่านอาเป็นแน่…”
เฉิงจิงกลับไม่ค่อยอยากคุยเรื่องพวกนี้กับบุตรสาวเท่าใดนัก
เรื่องพิพาทที่สั่งสมมาหลายต่อหลายรุ่นในตระกูลเฉิงนั้นสลับซับซ้อนเกินไป นอกจากนี้ล้วนมิใช่เรื่องที่สวยงามน่ายินดีแต่อย่างใด
เขาตอบคำหนึ่ง แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “น้องชายของเจ้าต่างจากพวกข้าในตอนนั้น แม้เขาอ่อนแอไร้อำนาจ แต่ยังมีต้าหลุนอยู่ด้วยมิใช่หรือ เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก” จากนั้นก็เอ่ยถึงเรื่องของเฉิงสวี่ขึ้นว่า “ไม่กี่วันก่อนแม่ของเจ้าเขียนจดหมายหาข้า บอกว่าสำนักกั๋วจื่อเจี้ยนในตอนนี้สู้เมื่อก่อนไม่ได้ บัณฑิตมากมายล้วนไปเล่าเรียนในสำนักศึกษาแทน แล้วถามข้าว่าสำนักศึกษาซวงเฮ่อดีกว่าหรือสำนักศึกษาป๋อหย่าดีกว่า อยากจะให้น้องชายของเจ้าเล่าเรียนในสำนักศึกษาแทน ข้าได้ยินมาว่าจิ่นเจียงจะเข้าเรียนในสำนักศึกษาซวงเฮ่อใช่หรือไม่”
ต้าหลุนคือชื่อรองของกู้ซวี่ ส่วนจิ่นเจียงคือชื่อรองของเฝิงเจ่า
สุดท้ายแล้วเฉิงเจิงเป็นอิสตรีผู้หนึ่ง ไม่มีเหตุผลใดที่บุตรสาวจะสั่งสอนบิดา
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวว่า “อีกสองสามวันข้าจะไปชมดอกไม้ผลิบบานที่เฟิงไถกับน้องรอง น้องสามและคุณหนูทั้งสองของตระกูลโจว ถึงเวลานั้นจะถามน้องสามให้นะเจ้าคะ!”
สองพ่อลูกสนทนากันต่ออีกพักใหญ่ จากนั้นเฉิงเจิงก็ไปเรือนซีคว่าที่เฉิงเว่ยอาศัยอยู่
ชิวซื่อภรรยาของเฉิงเว่ยก็มาจากตระกูลบัณฑิตเช่นกัน แต่หลังจากให้กำเนิดเฉิงรั่งสุขภาพก็ทรุดลง ป่วยติดเตียงมาตลอด ไม่มีเรี่ยวแรงไปดูแลจัดการเรื่องภายในบ้านของซอยซิ่งหลิน พอได้ยินว่าเฉิงเจิงมา นางก็ดีใจยิ่ง นั่งพิงหัวเตียงพลางสนทนากับเฉิงเจิงนานครึ่งค่อนวัน ทั้งยังรั้งเฉิงเจิงให้อยู่รับประทานมื้อเที่ยงแล้วถึงได้ปล่อยนางกลับไป
เฉิงเจิงรู้สึกไม่สู้ดีนักตั้งแต่ต้นจนจบ
แม้ว่านางกับเฉิงฉือไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กันนัก แต่ชื่อเสียงที่เฉิงฉือสร้างเอาไว้ในเมืองหลวงช่วงหลายปีมานี้นางก็พอได้ยินมาบ้าง
ตระกูลเฉิงก่อรากสร้างตัวขึ้นด้วยการค้าเกลือ คณะข้าหลวงฝ่ายกิจการเกลือหลวงของเหลี่ยงเจ้อกับเหลี่ยงหูล้วนมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งสองปี เห็นอยู่ว่าคณะข้าหลวงฝ่ายกิจการเกลือหลวงชุดใหม่ของทั้งสองพื้นที่ใกล้จะประกาศออกมาแล้ว ทว่าท่านอาฉือกลับไม่รั้งอยู่ในเมืองหลวงเพื่อจ่ายส่วยติดสินบนแต่ไปที่จินหลิงแทน… การค้าเกลือก็คล้ายกับการเป็นขุนนาง ไม่ก้าวไปข้างหน้าก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ต่อให้ท่านอาฉือไม่อยากจะจะค้าเกลือแล้ว แต่ก็มิอาจวางมืออย่างนี้ได้เช่นกัน! ใครจะเชื่อว่าเป็นเพราะตระกูลเฉิงไม่อยากทำการค้านี้แล้วแต่มิใช่เพราะไม่ได้รับใบอนุญาตค้าเกลือเล่า
เฉิงเจิงไตร่ตรองแล้วจึงส่งพี่ชายร่วมน้ำนมของตนกลับไปจินหลิง “ให้อยู่ที่ซอยจิ่วหรู ถ้าท่านย่าถามขึ้นมา ก็บอกว่าข้าส่งเจ้าไปซื้อสินค้า หากในบ้านเกิดความเคลื่อนไหวอะไรก็นำป้ายชื่อของนายท่านส่งข่าวถึงข้าผ่านหอส่งข่าว”
บ่าวที่ติดตามมาจากบ้านเดิมผู้นั้นขานรับว่า “ขอรับ” แล้วถอยออกไป
***
ผ่านไปไม่กี่วัน ก็ถึงวันที่นัดโจวเสาจิ่นไปเฟิงไถ เฉิงเจิงพาบุตรชายทั้งสองคนไปซอยอวี๋เฉียน
โจวเสาจิ่นสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมหังโจวสีขาวพระจันทร์ลายเรียบๆ ตัวหนึ่งกับกระโปรงจีบสีแดงผลอิงเถาปักลายกรอบล้อมบุปผา มุ่นผมเป็นมวยต่ำและสวมเครื่องประดับไข่มุกทะเลใต้สองชิ้น งดงามเฉิดฉันและดูมีชีวิตชีวาหลายส่วน
เฉิงเจิงลอบพยักหน้าอย่างเงียบๆ
แม้จะกล่าวว่าฤดูดอกไม้ผลิบานเป็นฤดูที่ดอกไม้แย่งชิงกันอวดสีสันสวยงามละลานตา แต่สุดท้ายส่วนมากรอบด้านล้วนมีแต่ใบไม้สีเขียว สิ่งที่ผู้ที่มาชมดอกไม้ต้องระวังที่สุดก็คือการสวมเสื้อผ้าสีเขียว ซึ่งไม่ขับเน้นสีสันออกมา ทางที่ดีควรจะสวมเสื้อผ้าสีแดง เป็นการเล่นสีกับแสงแดดยามเช้ากลางหมู่ไม้เขียวขจี ทำให้ดูโดดเด่นมากกว่า
ดูทีแล้วคุณหนูรองตระกูลโจวผู้นี้เป็นหญิงสาวที่รู้จักแต่งตัวประทินโฉมผู้หนึ่ง
สายตาของโจวเสาจิ่นชะงักอยู่บนตัวของกู้หนิงบุตรชายคนโตของเฉิงเจิงชั่วครู่หนึ่ง
ชาติก่อน หลังจากองค์ชายสี่ขึ้นครองราชย์ ทรงเปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็น ‘เทียนซุ่น’ กู้หนิงวัยสิบเก้าปีเป็นจิ้นซื่อที่อายุน้อยที่สุด หลังจากรวบรวมเขียนตำราในสำนักฮั่นหลินได้สามเดือน ก็ถูกองค์ชายสี่โยกย้ายไปรับตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายซ้ายในคณะพราหมณ์หลวง สามเดือนต่อมา ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นหัวหน้าคณะพราหมณ์หลวง…
เป็นบุคคลที่กล่าวได้ว่าทำให้ผู้อื่นอิจฉาผู้หนึ่งเลยทีเดียว
การที่เฉิงเจิงปฏิบัติกับบุตรชายคนโตที่อายุยังน้อยแต่ดูมีความรู้และประสบการณ์เหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่งทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นางรีบอธิบายยิ้มๆ ว่า “ทำให้เจ้าเห็นเรื่องชวนขันแล้ว! หนิงเกอเอ๋อร์ของพวกข้าเป็นบุตรชายคนโต นายท่านกับข้าต้องการเข้มงวดกับเขามากสักหน่อย โตขึ้นแล้วจะได้ไม่เอาแต่พูดพล่ามหรือหัวเราะ…”
โจวเสาจิ่นรีบกล่าวถ้อยคำถ่อมตนสองสามประโยค แล้วหยิบของขวัญแรกพบที่เตรียมเอาไว้แต่เนิ่นๆ ออกมา
ของขวัญที่มอบให้กู้หนิงเป็นจานฝนหมึกตวนเอี้ยน[1] กับกระดาษเฉิงซิน[2] ครึ่งเตา ส่วนของขวัญที่มอบให้กู้จงเป็นพู่กันขนหมาป่าหูโจวกล่องหนึ่งกับแท่งหมึกสองสามแท่ง
พี่น้องสองคนดูเหมือนได้รับการอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดี กล่าวขอบคุณโจวเสาจิ่นอย่างนอบน้อม จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ไปหาโจวชูจิ่นที่ซอยอวี๋ซู่
………………………………………………………………….
[1] จานฝนหมึกตวนเอี้ยน คือ จานฝนหมึกที่ผลิตในเมืองตวนซี เขตเจ้าชิ่ง มณฑลก่วงตง เป็นจานฝนหมึกที่มีความแข็งแกร่ง พื้นผิวเรียบลื่น ทำให้ยามฝนหมึกหมึกไม่แห้งติดจาน น้ำหมึกที่ฝนด้วยจานฝนหมึกตวนเอี้ยนมีความละเอียด ทำให้เขียนได้อย่างไหลลื่น จานฝนหมึกนี้จึงได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแห่งของล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือ
[2] กระดาษเฉิงซิน เป็นกระดาษที่ผลิตในเมืองฮุยโจวในอาณาจักรถังใต้สมัยห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร เป็นกระดาษที่เนื้อเนียนละเอียดดั่งเปลือกไข่ เหนียวทนทาน บางเบาและมีพื้นผิววาววาม จึงได้รับยกย่องให้เป็นกระดาษที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์การทำกระดาษของจีน