CatNovel
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 406 พบโดยบังเอิญ

  1. Home
  2. ยามดอกวสันต์ผลิบาน
  3. ตอนที่ 406 พบโดยบังเอิญ
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ตอนที่โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจิงมาถึงซอยอวี๋ซู่ เฉิงเซียวกับเฉิงเซิงก็รอพวกนางอยู่ที่นั่นแล้ว

พอเห็นโจวเสาจิ่นกับเฉิงเจิงลงจากรถม้าคันหน้าคนหนึ่งคันหลังคนหนึ่ง เฉิงเซิงก็อดเบิกตากว้างไม่ได้ขณะเอ่ยถามว่า “พี่หญิงใหญ่ ไฉนพวกท่านถึงมาด้วยกันเจ้าคะ”

เฉิงเจิงมองดูบ่าวหญิงอุ้มบุตรชายสองคนลงจากรถม้าแล้วจึงตอบยิ้มๆ ว่า “พวกข้ามิได้พบกันโดยบังเอิญหรอก ข้าเห็นว่ายังมีเวลามาก จึงไปที่ซอยอวี๋เฉียน แล้วชวนเสาจิ่นมาด้วยกัน” จากนั้นก็ยิ้มพลางถามว่า “พวกเจ้ามาถึงเมื่อใด รอนานหรือไม่ รับมื้อเช้าแล้วหรือยัง”

ทว่าเฉิงเซียวกลับชำเลืองมองรถม้าคันที่โจวเสาจิ่นนั่งทีหนึ่ง

รถม้าสีดำหลังคาเรียบ ยกเว้นหน้าประตูรถม้าที่แขวนม่านไม้ไผ่เซียงเฟยติดพู่หลากสีแล้ว ส่วนอื่นๆ ไม่มีการประดับตกแต่งแต่อย่างใด ทว่าอาชาสีแดงกลับมีลักษณะสูงเพรียว ตัวใหญ่กำยำ ดวงตาสีดำขลับดูอ่อนโยนนุ่มนวล เมื่อเห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นม้าพันธุ์ดีหายากตัวหนึ่ง สารถีที่ขับรถม้านั้นรูปร่างไม่สูงนัก แต่ทุกท่วงท่าอิริยาบถกลับคล่องแคล่วว่องไว แม้รถม้าดูเรียบง่ายไม่หวือหวา ทว่าภายในรถกลับดูโอ่อ่าสูงส่ง ทำให้รถม้าของเฉิงเซียวที่อยู่ข้างๆ ดูด้อยกว่าเลยทีเดียว

รถม้าเช่นนี้ ทั่วทั้งจิงเฉิงมีไม่ถึงสิบคัน

นี่…คงจะเป็นรถม้าที่ท่านอาฉือจัดเตรียมไว้ให้นางกระมัง

หรือไม่ก็เป็นรถม้าของท่านอาฉือเอง?

เฉิงเซียวย่นหัวคิ้วน้อยๆ จนแทบมองไม่เห็น

ท่านอาฉือชักจะดีกับคุณหนูรองตระกูลโจวท่านนี้เกินไปแล้วหรือไม่

นางคิดมาตลอดว่าพี่สาวยังมีเรื่องบางอย่างปิดบังนางอยู่

เนื่องจากบุตรชายของโจวชูจิ่นยังเล็ก นางจึงไม่ไปเฟิงไถกับพวกนาง หลังจากพบบุตรชายสองคนของเฉิงเจิงและมอบของขวัญแรกพบให้แล้ว ก็ทักทายปราศรัยกันสองสามประโยค แล้วลุกขึ้นอำลากัน

โจวชูจิ่นส่งพวกนางถึงประตูใหญ่

ตระกูลเฝิงมิได้มีประวัติเก่าแก่เท่าตระกูลกู้กับตระกูลหยวน ส่วนมากเวลาที่เฉิงเซิงออกไปข้างนอกจะนั่งเกี้ยวไป เฉิงเซียวนึกไม่ถึงว่าซอยอวี๋เฉียนจะมีรถม้าเป็นของตนเอง และคิดถึงว่าพี่สาวจะพาหลานชายสองคนไปด้วย จึงใช้รถม้าไปรับเฉิงเซิงมาด้วยกัน ตั้งใจให้เฉิงเซิงนั่งรถม้าของเฉิงเจิงพี่สาวใหญ่ ส่วนตนพาสองพี่น้องตระกูลโจวนั่งไปด้วยกัน ตอนนี้โจวเสาจิ่นก็นำรถม้ามาเช่นกัน จู่ๆ ก็มีที่เหลือเฟือในทันใด เฉิงเซียวจึงปรึกษากับโจวเสาจิ่นว่า “หรือไม่เจ้าก็นั่งรถม้าของข้าแล้วกัน พวกเราจะได้พูดคุยกันระหว่างทางได้ด้วย”

รถม้าของโจวเสาจิ่นเป็นรถที่พ่อบ้านเซี่ยงจัดเตรียมไว้ให้

นางบอกพ่อบ้านเซี่ยงไว้ว่านางอยากจะไปเฟิงไถเพื่อซื้อดอกไม้กลับมาสักหน่อย ขอให้พ่อบ้านเซี่ยงช่วยเตรียมการให้ที

เดิมทีโจวเสาจิ่นคิดว่าพ่อบ้านเซี่ยงจะไปจ้างรถม้ามาสักคัน หารู้ไม่ว่าพอนางเดินออกจากประตูชั้นใน กลับเห็นรถม้าที่งดงามถึงเพียงนี้คันหนึ่ง

นางตกตะลึงยิ่งนัก

พ่อบ้านเซี่ยงอธิบายให้นางฟังยิ้มๆ ว่า นี่เป็นรถม้าที่นายท่านสี่กำชับเอาไว้ก่อนจะกลับจินหลิงขอรับ บอกว่าหากท่านต้องการใช้รถม้า ก็ให้แจ้งเรือนที่เฉาฝูหยางเหมิน ทางด้านโน้นมีพื้นที่กว้างขวาง เลี้ยงม้าไว้ห้าหกตัวขอรับ

โจวเสาจิ่นเห็นภายในรถม้าปูพื้นด้วยไม้เหอเถา ซึ่งแกะสลักเป็นภาพแปดเซียนข้ามสมุทร ภาพเทพยดาอวยชัยและอื่นๆ ทั้งยังปูพรมผืนหนาและวางหมอนอิงนุ่มนิ่มใบใหญ่เอาไว้ด้วย ชุดถ้วยชานั้นแม้ว่าเป็นชุดถ้วยชาจื่อซา แต่ยึดติดกับถาดวางชาได้ ยังมีเม็ดหมากล้อมที่ยึดติดกับกระดานหมากได้ด้วยเช่นกัน

นางเห็นแล้วก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก

จึงไม่เกรงใจเฉิงฉือแล้ว

การนั่งรถม้าของตนเองย่อมมีอิสระมากกว่า

นอกจากนี้นางกับเฉิงเซียวก็ไม่มีเรื่องอะไรให้สนทนากันนักอีกด้วย!

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางตอบว่า “ประเดี๋ยวกลัวว่าต้องขนดอกไม้อีก นำรถม้าไปสามคันดีกว่าเจ้าค่ะ!”

เฉิงเจิงได้ยินแล้วคิดว่าถ้อยคำนี้มีเหตุผล จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็นำรถม้าไปสามคันแล้วกัน! น้องสาม เจ้าอยากจะนั่งไปกับน้องรองหรือกับข้า หรือว่าจะนั่งไปกับเสาจิ่นก็ได้”

เฉิงเซิงตอบยิ้มๆ ว่า “ข้านั่งไปกับพี่รองเหมือนเดิมดีกว่าเจ้าค่ะ”

คนทั้งกลุ่มขึ้นรถม้ามุ่งไปยังเฟิงไถ

โจวเสาจิ่นอารมณ์เบิกบานคล้ายกับกำลังห้อม้ากลางสายลมวสันต์ก็ไม่ปาน ระหว่างทางก็เลิกผ้าม่านขึ้นชมทิวทัศน์ตลอดทาง

ชุนหว่านที่ติดตามนางออกมาด้วยอดกล่าวอย่างตื้นตันใจไม่ได้ว่า “คุณหนู ข้าไม่คิดไม่ฝันว่าข้าติดตามท่านแล้วนอกจากจะได้ไปเขาผู่ขัว ยังได้ไปเป่าติ้งจนกระทั่งเมืองหลวงเลยเจ้าค่ะ…” มีความรู้สึกว่ายิ่งเวลาผ่านไปชีวิตก็จะดียิ่งขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน

นางเม้มปากกลั้นยิ้ม แล้วคุยเล่นกับชุนหว่าน ไม่นานก็มาถึงเฟิงไถ

ทั่วทุกแห่งหนของเฟิงไถเต็มไปด้วยต้นหลิวเขียวชอุ่มกับดอกไม้สีแดงจ้า หมู่ภมรโบยบินหมู่ผีเสื้อร่ายระบำ ทั่วทั้งสวนแต้มแต่งไปด้วยสีสันฤดูใบไม้ผลิ พาให้คนเห็นแล้วอารมณ์สดใสเช่นเดียวกับอากาศในฤดูนี้

ชุนหว่านเห็นว่าบนถนนมีรถม้าเคลื่อนไปมา ข้างทางมีพ่อค้าต่อรองราคาดอกไม้และกลุ่มคนซื้อดอกไม้กันอยู่จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างกังวลว่า “หรือว่าพวกเราก็ต้องไปสอบถามทีละร้านอย่างนี้เจ้าคะ”

ชาติก่อน โจวเสาจิ่นเคยมาเฟิงไถแล้วหลายครั้ง แต่ละครั้งล้วนนั่งบนรถม้าขณะชมดอกไม้อย่างช้าๆ หากเห็นต้นไม้ดอกไม้ที่สนใจก็ให้คนหยุดรถม้า แล้วลงไปดู…

“ถ้าไม่ไปสอบถามทีละร้าน จะให้ยืนอยู่กลางถนนแล้วตะโกนถามว่าข้าต้องการดอกไม้อะไรอย่างนั้นหรือ” ขณะที่โจวเสาจิ่นยิ้มอยู่นั้น ก็เห็นรถม้าหยุดอยู่หน้ารั้วดอกจื่อเถิง[1] ที่เบ่งบานหน้าเรือนหลังหนึ่งแล้ว

สาวใช้ใหญ่ของเฉิงเจิงวิ่งมา แล้วเชิญโจวเสาจิ่นลงจากรถม้าอย่างนอบน้อมว่า “นี่คือสวนดอกไม้ของตระกูลวัง ต้นไม้ดอกไม้ในจวนพวกข้ามักจะเป็นของที่นางส่งมาให้เจ้าค่ะ สองวันก่อนต้าไหน่ไนได้ส่งคนมาแจ้งเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวคุณหนูรองเพียงตามต้าไหน่ไนเข้าไปก็พอเจ้าค่ะ”

เหตุเพราะสภาพอากาศ ในช่วงปีใหม่คนจากทางตอนใต้หากไม่วางดอกดารารัตน์หรือดอกล่าเหมย[2] เอาไว้ในบ้าน ก็จะวางต้นไม้ดอกไม้เช่นต้นส้มหรือต้นเหมยจำพวกนั้นที่มีความหมายเป็นศิริมงคลแทน บ้านเกิดนั้นยากจะลืมกันได้ พวกขุนนางจากเจียงหนานเหล่านั้นยังคงชื่นชอบปฏิบัติตามธรรมเนียมจากบ้านเดิมในช่วงปีใหม่จึงจัดวางต้นไม้ดอกไม้เอาไว้ในเรือน ด้วยเหตุนี้นักเพาะพันธุ์ดอกไม้หัวใสเหล่านี้จึงตั้งเรือนเพาะชำเพื่อเพาะพันธุ์ต้นไม้ดอกไม้จากทางตอนใต้ ตระกูลเฉกเช่นตระกูลเฉิงกับตระกูลกู้จึงกลายเป็นลูกค้าคนสำคัญของพวกเขา

โจวเสาจิ่นยังไม่ทันลงจากรถม้า ก็เห็นสตรีที่ออกเรือนแล้วคนหนึ่งพาเด็กสาววัยแรกแย้มคนหนึ่งกับสตรีสาวสะพรั่งคนหนึ่งกระวีกระวาดเดินออกมา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไปมาหาสู่กับตระกูลวังอยู่บ่อยๆ หรือไม่ สาวใช้ผู้นั้นเห็นคนมาแล้วก็ยิ้มพลางแนะนำโจวเสาจิ่นว่า “ผู้ที่สวมชุดเพ่ยจื่อสีม่วงดอกติงเซียงที่เดินนำอยู่นั้นคือวังต้าเหนียง ส่วนอีกสองท่านคนหนึ่งคือบุตรสะใภ้คนโตของนาง อีกคนคือบุตรสาวของนางเจ้าค่ะ บางครั้งก็มักจะติดตามวังต้าเหนียงมาส่งดอกไม้ที่จวนของพวกข้า”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า เห็นเฉิงเจิงลงจากรถม้าโดยมีบ่าวหญิงช่วยประคองแล้ว ถึงได้ลงมาจากรถม้าตาม

วังต้าเหนียงก้าวมาทำความเคารพเฉิงเจิงอย่างกระตือรือร้น กล่าวขึ้นว่า “ตั้งแต่ได้รับแจ้งจากพ่อบ้านของจวนเมื่อสองวันก่อนข้าก็รอคอยต้าไหน่ไนมาตลอดเลยเจ้าค่ะ! ต้าไหน่ไนสบายดีหรือไม่ นายท่านใหญ่กับทุกคนในบ้านสบายดีหรือไม่เจ้าคะ” จากนั้นก็ทำความเคารพกู้หนิงกับกู้จง “ไม่เจอคุณชายน้อยทั้งสองท่านเพียงไม่กี่เดือน ก็ดูสุขุมเรียบร้อยยิ่งขึ้นนะเจ้าคะ”

เฉิงเจิงยิ้มพลางพยักหน้า แล้วทักทายวังต้าเหนียง จากนั้นก็แนะนำคนข้างๆ ให้วังต้าเหนียงรู้จัก

ตอนที่วังต้าเหนียงเห็นโจวเสาจิ่นก็อดตะลึงงันไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “มิน่าคนถึงได้กล่าวว่าสาวงามล้วนมาจากเจียงหนาน คุณหนูท่านนี้ของพวกท่านหน้าตางดงามจริงๆ เจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นกล่าวถ้อยคำถ่อมตนสองสามประโยค

วังต้าเหนียงค้อมศีรษะพลางนำพวกนางไปยังเรือนเพาะชำของตนเอง

ทว่าสายตาของแม่นางวังกลับชำเลืองมองมาเป็นพักๆ

โจวเสาจิ่นได้แต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น

เฉิงเจิงก็แนะนำเรือนเพาะชำของตระกูลวังให้พวกนางฟังว่า “…ไม่ต้องพูดถึงดอกไม้นอกฤดูกาลเหล่านี้ นายท่านผู้เฒ่าวังเคยเพาะพันธุ์โบตั๋นสองสีในฤดูหนาวและเพาะพันธุ์บัวดำในฤดูร้อนมาก่อน! หากพวกเจ้าต้องการดอกไม้อะไรก็บอกวังต้าเหนียงโดยตรงได้เลย”

โจวเสาจิ่นเคยได้ยินแค่ดอกเบญจมาศดำกับดอกกล้วยไม้ดำมาก่อน นางเองก็เคยเพาะพันธุ์เช่นกัน แต่ไม่เคยได้ยินผู้ใดที่เพาะพันธุ์บัวดำมาก่อนเลย

นอกจากนี้ทางตอนเหนืออากาศแห้งแล้งและขาดแคลนน้ำ ตระกูลวังเพาะพันธุ์บัวดำได้ ย่อมต้องทุ่มเทแรงกายและใจไปไม่น้อยทีเดียว

นางรู้สึกอัศจรรย์ใจแล้วอดเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อสวนดอกไม้ของตระกูลวังไม่ได้

เฉิงเจิงเห็นแล้วก็ยิ้มน้อยๆ

เด็กสาวผู้นี้ช่างใสซื่อเหลือเกิน เพียงดอกไม้ไม่กี่ดอกต้นหญ้าไม่กี่ต้นก็ตื่นเต้นดีใจแล้ว มิน่าท่านอาฉือถึงได้โปรดปรานนางเป็นพิเศษ

พวกนางเข้าไปในเรือนเพาะชำ แล้วถูกภาพดอกไม้หลากหลายสีสันภายในเรือนเหล่านั้นดึงความสนใจไปในทันที

เฉิงเซิงจึงถามวังต้าเหนียงขึ้นว่า “บัวดำของพวกเจ้าอยู่ที่ใด พวกข้าก็อยากจะเปิดโลกทัศน์เหมือนกัน!”

“ท่านกล่าวหนักเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” วังต้าเหนียงกล่าวยิ้มๆ อย่างถ่อมตน “เพียงดอกไม้ต้นหญ้าเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ! สะพานที่ท่านเคยข้ามยังมีมากกว่าถนนที่ข้าเคยเดิน ไหนเลยจะกล่าวว่าเปิดโลกทัศน์ได้ ท่านก็ถ่อมตัวเกินไปแล้วนะเจ้าคะ” ขณะที่กล่าวก็ผายมือเป็นการเชื้อเชิญ นำพวกนางไปกลางเรือนเพาะชำ

กลางโอ่งเครื่องลายครามใบใหญ่มีใบสีเขียวชอุ่มคล้ายกับถาดทรงกลมลอยอยู่ และดอกบัวที่เรียกว่าบัวดำแต่ความจริงมีสีแดงอมน้ำตาลขนาดเท่าปากชามสองสามดอกประดับอยู่ในนั้น

“สวยงามจริงๆ!” เฉิงเซิงล้อมดูดอกบัวดอกนั้น พลางเอ่ยถามว่า “ดอกบัวนี้ขายอย่างไร”

วังต้าเหนียงตอบอย่างลุแก่โทษว่า “ดอกบัวเหล่านี้เลี้ยงไม่ง่ายเลยเจ้าค่ะ เคยมีคนซื้อกลับไป ผ่านไปได้เพียงสามถึงห้าวันก็เหี่ยวเฉาตาย หลังจากนั้นก็ไม่ขายอีกเลยเจ้าค่ะ”

เกรงว่านี่คงจะเป็นสมบัติล้ำค่าของร้านที่ตระกูลวังใช้ดึงดูดลูกค้าเป็นแน่

เฉิงเซิงคลี่ยิ้ม จากนั้นก็ไม่ซักไซ้อีก

โจวเสาจิ่นคิดว่าบัวดำนี้ไม่ได้ดูสวยสดงดงามเท่าบัวขาวหรือบัวแดง แต่เพาะพันธุ์สายพันธุ์เช่นนี้ได้ ก็ยังทำให้คนอัศจรรย์ใจได้ไม่น้อย

นางเอ่ยถามว่า “ดอกนี้ใช้ดอกบัวแดงเพาะพันธุ์หรือ ไม่รู้ว่าใช้ดอกบัวแดงสายพันธุ์อะไรเพาะออกมา?”

โจวเสาจิ่นไม่เคยเพาะพันธุ์ดอกบัวมาก่อนแต่นางเคยเพาะพันธุ์ดอกเบญจมาศ

ดอกเบญจมาศดำก็คือดอกเบญจมาศเขียวทั่วไปที่พัฒนาสายพันธุ์ในแต่ละรุ่นจนเป็นดอกเบญจมาศดำ

แม่นางวังผู้นั้นพอเห็นว่าคำถามที่โจวเสาจิ่นถามเป็นถ้อยคำที่รู้ลึก สีหน้าก็อดเปลี่ยนเป็นระแวดระวังขึ้นมาไม่ได้

วังต้าเหนียงก็สงวนท่าทีขึ้นมาเล็กน้อย ตอบว่า “เรื่องสายพันธุ์ดอกไม้นี้ ต้องสอบถามนายท่านผู้เฒ่าของพวกข้า ข้าก็เพียงปากไวพูดส่งเดชออกไปเท่านั้นเจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นรู้ว่าตระกูลวังหวงวิชา คิดถึงว่าตระกูลวังอาศัยเรื่องนี้ในการทำมาหากิน จึงไม่อยากสร้างความลำบากใจแก่ผู้อื่น ยิ้มพลางเปลี่ยนบทสนทนาว่า “ไม่รู้ว่าพวกเจ้ายังมีต้นไม้ดอกไม้ที่แปลกใหม่หายากอีกหรือไม่”

วังต้าเหนียงกำลังจะเอ่ยปากตอบ ก็มีเด็กสาวท่าทางคล้ายสาวใช้วิ่งมาแจ้งว่า “ต้าเหนียง คุณหนูหกตระกูลฟางพาญาติผู้หนึ่งมาเจ้าค่ะ บอกว่าต้องการซื้อต้นไม้ดอกไม้หายากสองสามต้นกลับไปปลูก…”

“คุณหนูหกตระกูลฟาง?” ไม่รอให้วังต้าเหนียงเอ่ยตอบ เฉิงเซิงก็กล่าวขึ้นแล้วว่า “เป็นคุณหนูหกตระกูลฟางจากซูเฉิงใช่หรือไม่”

สาวใช้เด็กคนนั้นพยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่า “คราวก่อนนางเคยซื้อดอกซานฉากลีบสิบแปดชั้นสองต้นกลับไปเจ้าค่ะ”

“ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอญาติที่นี่เลย!” เฉิงเซิงยิ้มพลางกล่าวกับสาวใช้เด็กคนนั้นว่า “เจ้าไปบอกว่าข้าอยู่ที่นี่ ให้พวกนางรอไปก่อน!”

สาวใช้เด็กผู้นั้นมองวังต้าเหนียงอย่างพรั่นกลัวเล็กน้อย

วังต้าเหนียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไร เผิงไท่ไทกับคุณหนูตระกูลฟางเป็นญาติกัน เจ้านำความไปแจ้งตามนั้นก็พอ”

เฉิงเจิงก็ยิ้มพลางกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเป็นบุตรสาวตระกูลฟางจากซูเฉิง เจ้าควรจะรู้จักคนของตระกูลฟางบ้างถึงจะถูก ล้วนมิใช่คนนอกอะไร!”

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเพียงพบเจอคนจากตระกูลฟางสองสามคนตอนที่ทำพิธีอาบน้ำครบสามวันของกวนเกอคราวก่อนเท่านั้น คุณหนูหกตระกูลฟางท่านนี้ข้าอาจจะไม่รู้จักเจ้าค่ะ”

ถ้อยคำของนางยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงใสกังวานเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “ข้าก็ว่าใครช่างอาจหาญต้องการให้ข้ารอ ในที่สุดก็ได้พบตัวการแล้ว!”

โจวเสาจิ่นหันศีรษะกลับไป ก็เห็นหญิงสาวสองคน

คนที่อายุมากกว่ามีอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปี ส่วนคนที่อายุน้อยกว่าท่าทางเหมือนอายุสิบห้าสิบหกปี คนหนึ่งสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีม่วงดอกกุหลาบ ผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้าราวดวงจันทร์กระจ่าง อากัปกิริยาสง่าผ่าเผย อีกคนสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีแดงสด คิ้วโก่งโค้งประดุจขุนเขาที่มองเห็นไกลๆ นัยน์ตาเปล่งประกาย ดูน่ารักซุกซน

………………………………………………………………….

[1] ดอกจื่อเถิง คือ ดอกวิสทีเรีย

[2] ดอกล่าเหมย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chimonanthus praecox เป็นไม้พุ่มผลัดใบ ออกดอกในช่วงเดือนสิบสอง ดอกมีสีเหลืองและมีกลิ่นหอม

Manga Info

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "ตอนที่ 406 พบโดยบังเอิญ"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์