ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 408 แม่สามี
สามพี่น้องตระกูลเฉิงต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เฉิงเจิงรีบกล่าวขอบคุณยิ้มๆ
เฉิงเซียวชำเลืองมองเฉิงเซิงทีหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “จะให้เจ้ามอบของให้พวกข้าได้อย่างไร พวกข้าเป็นพี่สาว ควรจะเป็นพวกข้าที่มอบของให้เจ้าถึงจะถูก”
เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นคบหาสมาคมกับผู้อื่นอย่างนี้ จึงทำใจกล้าตอบไปว่า “มิใช่ของดีอะไรเจ้าค่ะ เป็นน้ำจิตน้ำใจส่วนหนึ่งของข้าเท่านั้นเอง!”
เฉิงเซิงก็เม้มปากกลั้นยิ้มขณะกล่าวว่า “เสาจิ่น เจ้าโตขึ้นแล้วจริงๆ! ยังรู้จักมอบของขวัญให้พวกข้าอีกด้วย”
ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นร้อนผะผ่าว
แต่ก่อนนางไม่เคยเข้าใจเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ คิดว่าเฉิงเซิงเป็นบุตรสาวที่ทุกคนโปรดปราน ทุกคนในซอยจิ่วหรูต่างแย่งกันประจบประแจง หากตนก้าวเข้าไปใกล้ รังแต่จะทำให้ผู้อื่นดูแคลน ดังนั้นสมัยที่เรียนอยู่ในสำนักศึกษากับเฉิงเซิงนอกจากจะไม่มอบของอะไรให้เฉิงเซิงแล้ว บางครั้งเวลาที่เฉิงเซิงได้รับของที่พ่อแม่ฝากมาให้จากจิงเฉิงแล้วมอบให้นาง นางก็มักจะปฏิเสธไม่รับตรงๆ
ทว่าผู้ใดจะมีความอดทนคอยหลอกล่อผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรนักกับตนเองบ้างเล่า
เฉิงเซิงจึงค่อยๆ พบปะนางน้อยลง
โจวเสาจิ่นนึกถึงเฉิงฉืออีกครั้ง
หากว่าท่านน้าฉือไม่ได้โน้มน้าวนาง ต่อให้นางกลับชาติมาเกิดใหม่ เกรงว่าในใจคงจะเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เฉกเช่นผู้ที่ไม่เป็นที่รักใคร่ชื่นชอบคนหนึ่ง
ในใจของนางพลันรู้สึกหวานฉ่ำประดุจน้ำผึ้ง
ท่านน้าฉือจะกลับมาเมื่อใดกันนะ
นางไม่อยากออกไปข้างนอกแล้ว
ก่อนที่ท่านน้าฉือจะกลับมานางอยากจะเร่งทำรองเท้าให้เขาอีกสักสองสามคู่
ทั้งยังอยากจะปักถุงหอมสวยงามสักสองสามถุงให้ท่านน้าฉือใช้เก็บของจุกจิก…จะต้องปักอย่างประณีตให้ได้ ทำให้คนอื่นเห็นแล้วตาลุกวาว
ท่านน้าฉือผู้นี้ดูเหมือนไม่สนใจสิ่งใด แต่ความจริงแล้วเป็นคนที่ละเอียดลออยิ่งนัก
สิ่งของที่ปักออกมาต้องทำให้เขาชื่นชอบถึงจะถูก
โจวเสาจิ่นมุมปากกระตุกขณะกลับไปซอยอวี๋ซู่
เนื่องจากโจวเสาจิ่นออกไปข้างนอกกับเฉิงเจิงพวกนาง หลี่ซื่อจึงพาโจวโย่วจิ่นไปเยี่ยมที่ซอยอวี๋ซู่ พอได้ยินว่าโจวเสาจิ่นกลับมาถึงแล้วก็ออกไปต้อนรับที่ประตูชั้นใน
โจวเสาจิ่นมอบดอกว่านสิบแสนให้แก่โจวชูจิ่นประหนึ่งมอบของล้ำค่า
โจวชูจิ่นรู้สึกปลาบปลื้มยินดีคล้ายกับมีดอกไม้ผลิบานอยู่ในใจก็ไม่ปาน
เดี๋ยวนี้น้องสาวยิ่งโตยิ่งรู้ความแล้ว ต่อไปนางก็ไม่ต้องห่วงว่าหลังจากนางออกเรือนแล้วเหตุเพราะไม่รู้จักสานสัมพันธ์กับคนอื่นจึงถูกแม่สามีดูแคลน
โจวเสาจิ่นหยิบโถแก้วขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากรถม้าราวกับกำลังเล่นกลอย่างไรอย่างนั้น ในโถยังมีปลาทองสองตัวสีแดงตัวหนึ่งสีดำตัวหนึ่งอีกด้วย
“อันนี้ให้โย่วจิ่น!” นางน้อมกายลงมอบโถแก้วให้โจวโย่วจิ่น “ชอบหรือไม่”
“อื้ม!” โจวโย่วจิ่นเบิกดวงตาโตจับจ้องโถแก้วใบนั้นขณะพยักหน้าไม่หยุด แต่ไม่กล้ายื่นมือไปรับโถแก้วใบนั้น
หลี่ซื่อรู้สึกปีติยินดีเหลือแสน
แม้ว่าสิ่งของนั้นมีค่าไม่มาก แต่เป็นการปฏิบัติต่อโย่วจิ่นเสมือนเป็นน้องสาวตนเอง
นางรีบรับโถแก้วแทนบุตรสาว แล้วกล่าวกับโจวโย่วจิ่นยิ้มๆ ว่า “ยังไม่รีบขอบคุณพี่รองอีก!”
โจวโย่วจิ่นร้องขึ้นอย่างออดอ้อนน่าเอ็นดูว่า “พี่รอง” แล้วกล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า “ขะ…ขอบคุณเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางกล่าว “ข้าเห็นพี่สาวเจิงพาคุณชายใหญ่กับคุณชายรองของพวกนางไปซื้อปลาทอง ข้าก็เลยซื้อกลับมาฝากโย่วจิ่นสองตัว”
“ทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว” ดวงหน้าหลี่ซื่ออาบด้วยรอยยิ้มละไม
โจวชูจิ่นรีบบอกให้โจวเสาจิ่นเข้ามาในเรือนว่า “มีอะไรก็ให้นั่งลงคุยกัน ยืนอยู่ตรงนี้ไม่เหมาะสมสักเท่าใด” จากนั้นก็กล่าวกับโจวเสาจิ่นอีกว่า “เมื่อครู่ยังพูดกับฮูหยินอยู่เลยว่า ไม่รู้ว่าเจ้าจะกลับมารับมื้อเย็นหรือไม่” แล้วบอกฉือเซียงว่า “เจ้าให้ห้องครัวทำกับข้าวที่คุณหนูรองชอบกินมาเพิ่มอีกสองสามจาน” ทั้งกล่าวอีกว่า “เจ้ากับฮูหยินกินมื้อเย็นที่นี่แล้วค่อยกลับไปแล้วกัน”
โจวเสาจิ่นยิ้มร่าพลางพยักหน้า นำโจวโย่วจิ่นไปหากวนเกอ จวบจวนป้ารับใช้จัดเตรียมอาหารเสร็จแล้วถึงออกมา
รอจนกระทั่งกลับถึงซอยอวี๋เฉียน ตอนที่ฝานหลิวซื่อเข้ามาปรนนิบัติโจวเสาจิ่นเข้านอน โจวเสาจิ่นเอ่ยถามฝานหลิวซื่อที่กำลังจัดเตียงให้นางขึ้นว่า “ตอนที่ข้าเป็นเด็กกว่าจะพูดเป็นก็ช้ามากเหมือนกันหรือไม่”
“ใครว่าเล่าเจ้าคะ” ฝานหลิวซื่อคลี่ยิ้มขณะตบหมอนรองศีรษะ แล้วจัดวางอย่างเรียบร้อยที่หัวเตียงพลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองตอนเป็นเด็กเฉลียวฉลาดยิ่งนักเจ้าค่ะ เก้าเดือนก็เรียกคนเป็นแล้ว หนึ่งขวบก็เดินเป็นแล้ว คำแรกที่พูดออกมาก็คือ ‘ท่านพ่อ’ ทำเอานายท่านปลื้มปีติยิ่งนัก อุ้มท่านทั้งวันไม่ยอมปล่อยเลยเจ้าค่ะ มักจะบอกว่าไม่เคยเห็นเด็กที่ฉลาดและงดงามขนาดนี้มาก่อน ถ้าหากฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าจะมีความสุขมากเพียงใด…”
น้ำเสียงของนางลดต่ำลง หางตามีหยาดน้ำระยับวูบไหว
โจวเสาจิ่นก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
ถ้าหากมารดาผู้ให้กำเนิดนางยังมีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างคงจะไม่เหมือนกันแล้ว… นางอาจจะไม่ได้พบกับท่านน้าฉือก็ได้…
เห็นได้ว่าล้วนเป็นโชคชะตาที่กลั่นแกล้งคน!
นางถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวอย่างค่อนข้างเป็นกังวลว่า “ข้าเห็นโย่วจิ่นโตถึงเพียงนี้แล้ว แต่ยังพูดจาได้ไม่คล่องเท่าเด็กคนอื่นๆ…
ฝานหลิวซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นเพราะตระกูลโจวร่ำรวย บุตรสาวบุตรชายไม่เคยขาดคนดูแลเหมือนกับรุ่นที่ผ่านมา ตั้งแต่เป็นทารกก็มีผู้ใหญ่ดูแลอยู่ตลอด ดังนั้นการพูดหรือเดินล้วนทำได้รวดเร็ว ท่านลองไปแถบชนบทของพวกข้าดูสิ มีผู้ใหญ่บ้านใดบ้างไม่ต้องไปไร่ไปนา เด็กๆ ต่างถูกเลี้ยงมาโดยใช้เชือกผูกติดเอาไว้ใต้ต้นไม้ เด็กบางคนกว่าจะเอ่ยปากพูดก็มีอายุสามถึงห้าขวบแล้ว ข้าไม่เห็นว่ามีตรงไหนช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ เลยเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นฉีกยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า “สงสัยข้าจะกังวลเกินไป!” จากนั้นก็พูดหยอกล้อกับฝานหลิวซื่อว่า “เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าข้าเฉลียวฉลาดเชาวน์ไว ที่แท้ก็เป็นถ้อยคำเกรงใจนี่เอง! เป็นเพราะข้าอยู่กับผู้ใหญ่มาตั้งแต่เด็กถึงได้พูดเดินเร็วขนาดนี้!”
ฝานหลิวซื่อยิ้มพลางกล่าวว่า “คุณหนูรองช่างแทะกระดูกในไข่ไก่จริงๆ นะเจ้าคะ ต่อให้เป็นตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย แต่เด็กที่พูดเดินเร็วเท่าคุณหนูรองนี้ก็ยังมีน้อยอยู่ดีเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นหัวเราะเริงร่า
ฝานหลิวซื่อก็รู้สึกเบิกบานตามไปด้วย แล้วพูดกับซางมามาเป็นการส่วนตัวว่า “ดูเหมือนว่าคุณหนูรองชอบออกไปเที่ยวข้างนอกกับต้ากูไหน่ไนของตระกูลเฉิง วันนี้ยังพูดหยอกเย้ากับข้าอีกด้วย!”
ซางมามายิ้มน้อยๆ แต่ไม่ตอบคำใด ในใจครุ่นคิดว่า ยังคงเป็นนายท่านสี่ที่เก่งกาจ ทำให้เจิงต้ากูไหน่ไนยอมเคลื่อนไหวออกมา
ต่อไปเกรงว่าซอยอวี๋เฉียนคงจะยิ่งอยู่ยิ่งคึกคักแล้วละ!
ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเฉิงเซิงมาเยี่ยมนาง กล่าวว่า “ผ้าคลุมทารกผืนนั้นสำหรับงานอาบน้ำครบรอบสามวันของหรงเอ๋อร์บุตรชายพี่หญิงรองที่เจ้าช่วยออกแบบให้เขาทำให้ตระกูลเฉิงได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก อีกไม่กี่วันจะถึงวันเกิดของแม่สามีข้า เจ้าช่วยข้าออกแบบลายดอกไม้สักลายหนึ่งให้ข้าได้หรือไม่ ข้าจะเชิญเจ้าไปกินเป็ดเนื้อใสของฝูชุนเจียง”
กล่าวด้วยความจริงใจยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่เฉิงเซิงมาขอความช่วยเหลือจากนาง
นางอดยิ้มกว้างจนดวงตาเป็นเส้นโค้งไม่ได้ แล้วตอบว่า “นี่คือเรื่องอะไรเจ้าคะ! ไม่รู้ว่าแม่สามีของท่านชื่นชอบลวดลายแบบใด”
ทั้งสองคนอยู่สนทนากันในห้องรับแขกทั้งบ่าย จากนั้นเฉิงเซิงก็กลับไปอย่างพึงพอใจ
ทางด้านซอยอวี๋ซู่กลับมีสาวใช้มาแจ้งว่า “ฮูหยินใหญ่ของพวกข้าจะมาถึงพรุ่งนี้เช้า บ่าวเด็กที่ล่วงหน้ามาแจ้งความมาถึงซอยอวี๋ซู่แล้วเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นไปรับมื้อเย็นกับหลี่ซื่อ แล้วหารือเรื่องการต้อนรับฮูหยินใหญ่เลี่ยวกับนาง
จากนั้นก็เร่งพวกบ่าวรับใช้ปัดกวาดเช็ดถูเรือน ซื้อเนื้อหมูปลาเป็ดไก่และสลับสับเปลี่ยนการตกแต่งภายในบ้านใหม่… โจวเสาจิ่นกับหลี่ซื่อยุ่งวุ่นวายทั้งวัน สุดท้ายต่างก็ค่อยๆ เรียนรู้ความชื่นชอบของอีกฝ่าย
นี่ก็ถือเป็นการเก็บเกี่ยวที่คาดไม่ถึงกระมัง!
โจวเสาจิ่นรู้สึกน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ตัดสินใจรอให้เฉิงฉือกลับมาแล้วค่อยเล่าให้เขาฟัง
วันรุ่งขึ้นหลังจากรับประทานมื้อเช้าแล้ว นางกับหลี่ซื่อก็พาโจวโย่วจิ่นไปซอยอวี๋ซู่
เลี่ยวเส้าถังพาพ่อบ้านกับบ่าวเด็กไปรับคนที่ประตูซีจื๋อแล้ว พวกนางสนทนากับโจวชูจิ่นระหว่างรอฮูหยินใหญ่เลี่ยว
ครั้นใกล้เที่ยง เลี่ยวเส้าถังถึงได้กลับมา
โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ไปต้อนรับที่หน้าประตูชั้นใน
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ลงจากรถม้าด้วยสีหน้าอิดโรย
โจวเสาจิ่นเห็นแล้วตกใจยิ่งนัก
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวดูซูบผอมกว่าตอนที่อยู่เจิ้นเจียงมาก อาจเป็นเพราะขมวดคิ้วแน่นมาเป็นเวลานาน ที่หว่างคิ้วของนางจึงมีรอยลึกเพิ่มขึ้นมา แม้จะผัดแป้งบนดวงหน้าและทาชาดบนริมฝีปาก แต่นอกจากจะดูไม่มีชีวิตชีวาแล้ว ในทางกลับกันทำให้นางดูแก่ชรายิ่งขึ้น
โจวเสาจิ่นอดมองโจวชูจิ่นไม่ได้
โจวชูจิ่นเองก็ดูตกใจเป็นอย่างมาก นางรีบก้าวไปประคองฮูหยินใหญ่เลี่ยว
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวตบหลังมือของโจวชูจิ่นเบาๆ ปล่อยให้นางประคองเข้าประตูชั้นใน
หลี่ซื่อกับโจวเสาจิ่นก้าวมาคารวะนาง
เลี่ยวซื่อยิ้มน้อยๆ ขณะทักทายปราศรัยสองสามประโยค จากนั้นหลี่ซื่อก็พาโจวเสาจิ่นลุกขึ้นกล่าวอำลา “เพียงรู้ว่าท่านมาถึงด้วยความปลอดภัยพวกข้าก็รู้สึกวางใจแล้ว! บ่ายวันพรุ่งนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านที่บ้านนะเจ้าคะ!”
เมื่อเห็นว่าหลี่ซื่อกับโจวเสาจิ่นไม่ได้พักอยู่ที่ซอยอวี๋ซู่ ฮูหยินใหญ่เลี่ยวก็ยากจะปกปิดความประหลาดใจได้
เลี่ยวเส้าถังก็ยินดีที่จะพูดชมภรรยาตนเอง เอ่ยขึ้นว่า “ความจริงแม่ภรรยากับน้องภรรยาทั้งสองท่านล้วนพักอยู่ที่นี่ คอยดูแลชูจิ่นเป็นอย่างดีขอรับ ต่อมาท่านบอกว่าอยากจะมาหา แม่ภรรยากับน้องภรรยาทั้งสองท่านคิดว่าท่านอาศัยอยู่ที่เจิ้นเจียงคงจะคุ้นชินกับการอยู่ในเรือนหลังใหญ่ กลัวว่าช่วงแรกที่ท่านมาจิงเฉิงจะรู้สึกไม่คุ้นเคย พวกนางจึงย้ายไปอาศัยในเรือนซึ่งอยู่ในนามของเสาจิ่น อยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนซอยถัดไป ห่างจากที่นี่เพียงหนึ่งเค่อจงเท่านั้น วันนี้ได้ยินว่าท่านมาถึงแล้ว แม่ภรรยากับน้องภรรยาทั้งสองท่านจึงมาต้อนรับท่านแต่เช้าขอรับ!”
เรือนในนามของเสาจิ่น… เสาจิ่นผู้นี้ยังไม่ได้ออกเรือนเลยนะ!
มิใช่ว่าตามใจเกินไปแล้วหรอกหรือ
ทว่าสุดท้ายนี่เป็นเรื่องของตระกูลโจว ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเป็นผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยมในใจผู้หนึ่งเสมอมา ทว่าบนดวงหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าออกมาขณะสนทนากับหลี่ซื่อแม้แต่น้อย “ท่านช่วยข้าดูแลชูจิ่นของพวกข้า ข้าคิดถึงแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก เหตุใดพวกเจ้าถึงไปอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนเล่า ทางนี้ใช่ว่าไม่มีห้องหับสักหน่อย พวกเจ้าอยากจะย้ายกลับมาหรือไม่ ข้าจะได้มีคนพูดคุยด้วยทุกวัน!”
หลี่ซื่อปฎิเสธไปอย่างสุภาพ แล้วบอกว่าพรุ่งนี้จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับฮูหยินใหญ่เลี่ยวที่บ้าน
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวตอบตกลงอย่างเริงร่ายิ่งนัก
ทว่าพอหลี่ซื่อออกไปถึงปากซอย นางก็บอกให้เลี่ยวเสาถังไปปิดประตูใหญ่ทันที รอยยิ้มก็ตกลงมาแล้ว บอกให้บุตรชายกับสะใภ้ไปห้องนั่งเล่น พลางกล่าวว่า “พ่อของเจ้าคนนี้ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว!”
เลี่ยวเส้าถังรู้สึกกระดากอายยิ่ง ชำเลืองมองโจวชูจิ่นทีหนึ่ง
โจวชูจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้าไปชงน้ำชามาให้ท่านนะเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเห็นท่าทางของบุตรชาย แล้วพยักหน้าอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย
โจวชูจิ่นใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำชามากกว่าครึ่งชั่วยาม คำนวณว่าสองแม่ลูกมีเรื่องอะไรก็คงใกล้จะพูดเสร็จแล้ว ถึงได้ยกถาดน้ำชาเข้าไปในห้อง
เลี่ยวเส้าถังนั่งก้มหน้าอยู่ ดูห่อเหี่ยวเหลือแสน ส่วนฮูหยินใหญ่เลี่ยวขอบตาแดงก่ำ เหมือนร้องไห้มาอย่างไรอย่างนั้น
พอเห็นโจวชูจิ่นเข้ามา สองแม่ลูกต่างพยายามทำตัวให้ดูสดใส
เลี่ยวเส้าถังกล่าวว่า “เจ้าอยู่ที่นี่อย่างสบายใจไปก่อน จะได้สอนโย่วจิ่นอุ้มกวนเกออย่างไรได้พอดี เรื่องราวในภายหน้า หากทหารมาก็ใช้ขุนพลต้านรับ หากน้ำไหลหลากก็ใช้ดินเป็นแนวต้าน มีหนทางแก้ไขเสมอ เจ้าเพียงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็พอแล้ว”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวยิ้มขื่น พลางกล่าวว่า “ไม่คาดคิดมาก่อนว่าข้าเป็นผู้ที่ชอบเอาชนะผู้อื่นมาตลอดชีวิต สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ในมือของพ่อเจ้า”
โจวชูจิ่นไม่ได้เอ่ยคำใด รอให้ฮูหยินใหญ่เลี่ยวดื่มน้ำชาเสร็จ ก็ปรนนิบัตินางล้างหน้าสางผม เมื่อล้างหน้าสะอาดสะอ้านแล้ว ถึงได้ไปดูกวนเกอที่เรือนปีกตะวันออกพร้อมกับฮูหยินใหญ่เลี่ยว
“เด็กคนนี้หน้าตาดีจริงๆ!” ฮูหยินใหญ่เลี่ยวเห็นแล้วก็ละสายตาไม่ได้เลย พูดชมเด็กน้อยไม่หยุด ทั้งยังขอบคุณโจวชูจิ่นที่คลอดลูกน้อยอ้วนท้วนสมบูรณ์ให้นางคนหนึ่ง แล้วให้มามาที่ยืนอยู่ข้างๆ นำกล่องเข้ามา กล่าวว่า “นี่เป็นเครื่องประดับศีรษะทับทิมชุดหนึ่ง มอบให้เจ้า!”
ของมีค่าขนาดนี้ โจวชูจิ่นยืนกรานว่าไม่ต้องการ
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ผู้ใหญ่ให้ของอย่าได้ปฏิเสธ เจ้าเพียงรับไว้ก็พอ”
เลี่ยวเส้าถังก็บอกให้นางรับไว้
โจวชูจิ่นไม่อยากเสียมารยาท จึงรับกล่องมา
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “ใช่แล้ว! อีกไม่นานเจียซ่านจะแต่งงาน สวมใส่ไปงานเลี้ยงฉลองได้พอดี!”
………………………………………………………………….