ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 409 ทราบข่าว
ตอนงานครบเดือนของกวนเกอ เฉิงเก้าเคยบอกโจวชูจิ่นว่า งานแต่งงานของเฉิงสวี่กับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นกำหนดไว้ช่วงเดือนเก้า ช่วงเดือนสี่ฮูหยินหยวนอาจจะมาจิงเฉิงเพื่อจัดเตรียมเรื่องงานแต่งของเฉิงสวี่
โจวชูจิ่นเอ่ยถามว่า “ฮูหยินหยวนมาถึงจิงเฉิงแล้วหรือยัง พวกข้าไม่ได้ยินข่าวอะไรเลยเจ้าค่ะ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางมาถึงจิงเฉิงแล้วหรือยัง” ตอนนี้ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกำลังทุกข์ใจเรื่องของตัวเอง จึงไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่นมากนัก กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าได้ยินท่านยายของพวกเจ้าบอกมาว่า เดิมทีตระกูลเฉิงตั้งใจให้เจียซ่านแต่งงานในจิงเฉิง จะได้เชิญสหายร่วมราชสำนักของลุงเจ้ามาร่วมงาน กล่าวคือจวนหลักตระกูลเฉิงไม่ได้จัดงานมงคลสมรสมาเกือบยี่สิบปีแล้ว อีกทั้งเจียซ่านก็เป็นเจี้ยหยวน ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดงานให้ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้กำหนดวันไว้เป็นช่วงเดือนเก้า แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนวันเป็นเดือนสองปีหน้าไปเสีย”
ก็หมายความว่า ข่าวนี้ได้รับมาจากฮูหยินหยวนหรือไม่ก็จากตระกูลฟางบ้านเดิมของฮูหยินใหญ่เลี่ยวนั่นเอง
น่าจะมิใช่ข่าวปลอม!
โจวชูจิ่นเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดตระกูลเฉิงถึงเลื่อนวันแต่งออกไปเจ้าคะ”
มิใช่ว่าฮูหยินหยวนรอคอยให้เฉิงสวี่แต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นได้โดยเร็วมาตลอดหรอกหรือ
“ข้าไม่รู้” ฮูหยินใหญ่เลี่ยวมิได้รู้สึกดีกับฮูหยินหยวนเท่าใดนัก แต่เพราะพูดคุยกับบุตรชายและบุตรสะใภ้เป็นการส่วนตัว จึงกล่าวตรงๆ ว่า “นางผู้นี้ เป็นผู้ที่ชอบเอาชนะผู้อื่นมาตลอด ส่วนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นผู้ที่มีทิฐิสูงผู้หนึ่ง แม้แต่บุตรชายของตนยังไม่ได้แต่งงาน ไหนเลยจะมีใจไปสนใจหลานชายเล่า บางทีนี่คงเป็นความคิดของฮูหยินหยวน หนำซ้ำแต่ไรมาเมื่อนางตัดสินใจแล้วก็ต้องดึงดันทำให้สำเร็จ” พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของนางก็ฉายแววฉงน เอ่ยว่า “อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้นางทำเกินไปจริงๆ” ขณะที่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกล่าวอยู่นั้นจู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องในตระกูลของตนขึ้นมา กล่าวว่า “ช่างนางเถิด! หากว่าเจียซ่านแต่งงานในเมืองหลวง พวกเราก็ไปร่วมแสดงความยินดี แต่ถ้าหากแต่งที่จินหลิง ใครจะไปก็ตามใจ แต่ข้าไม่ไป”
ไม่ว่าเฉิงสวี่จะแต่งงานที่ใด โจวชูจิ่นไม่อยากไปร่วมงานทั้งนั้น
เฉิงสวี่ทำเรื่องเช่นนั้นลงไปกลับยังคงได้แต่งงานกับหญิงสาวสมดังหมายราวกับคนที่ไม่ได้ทำผิดอะไร ทว่าเรื่องแต่งงานของเสาจิ่นยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นอย่างไร… นางรู้สึกสลดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว อีกทั้งแม่สามีเร่งเดินทางมาไกลนับพันหลี่ ทั้งโดยเรือและรถม้า จะต้องเหนื่อยมากเป็นแน่ หลังจากกล่าวอีกสองสามประโยค สองสามีภรรยาก็ลุกขึ้นกล่าวขอตัว
ทว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวอยากใช้เวลากับกวนเกอหลานชายคนนี้จริงๆ จึงหารือกับโจวชูจิ่นสามีภรรยาให้กวนเกอนอนกับนางคืนนี้
คนเป็นย่าโปรดปรานหลานชาย จึงเป็นธรรมดาที่โจวชูจิ่นสามีภรรยาจะตอบรับด้วยความยินดี
โจวชูจิ่นช่วยแม่นมจัดเตรียมให้บุตรชายนอนในห้องของฮูหยินใหญ่เลี่ยวเสร็จแล้วถึงได้กลับมายังห้องปีกตะวันออกที่ตนอาศัย
เลี่ยวเส้าถังอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งอยู่หน้าเตียงเตาตัวใหญ่ข้างหน้าต่างขณะถือหนังสือเล่มหนึ่งอย่างเหม่อลอย กระทั่งโจวชูจิ่นเดินเข้ามาใกล้ถึงได้พบว่าสามีถือหนังสือกลับด้าน
นางไม่ได้สนใจ ออกไปอาบน้ำอย่างเบามือเบาเท้า สามียังคงถือหนังสือด้วยท่าทางเช่นเดิม ไม่แม้แต่จะพลิกหน้าหนังสือ ประหนึ่งรูปปั้นคนรูปหนึ่งก็ไม่ปาน
โจวชูจิ่นยิ้มน้อยๆ พลางเร่งเขาว่า “รีบเข้านอนเถอะเจ้าค่ะ! มีเรื่องอะไรค่อยคิดพรุ่งนี้ ท่านขอลาหยุดเพียงหนึ่งวันมิใช่หรือ เรื่องที่สำนักฮั่นหลินคงไม่เกิดข้อผิดพลาดอะไรหรอกเจ้าค่ะ”
งานตรวจทานและคัดลอกประเภทนี้เป็นงานที่เต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อย ไม่อาจให้เกิดข้อผิดพลาดได้แม้นิดเดียว
เลี่ยวเส้าถังพยักหน้ายิ้มๆ แล้วขึ้นเตียงกับโจวชูจิ่น
ทว่าแม้ขึ้นเตียงไปแล้ว แต่ก็ยังเบิกตาจ้องมองเพดานอย่างใจลอย
โจวชูจิ่นลอบทอดถอนใจ คิดถึงว่าพรุ่งนี้ยังต้องไปเป็นแขกที่ซอยอวี๋เฉียน จึงข่มตาบังคับตนเองให้หลับ
ทว่าวันรุ่งขึ้นกลับถูกเลี่ยวเส้าถังทำให้ตื่น
ด้วยหนวดเคราที่ดูยุ่งเหยิง เขากระซิบว่า “ชูจิ่น ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาเจ้า”
น้ำเสียงมัวหมอง คล้ายกับไม่ได้นอนมาทั้งคืนอย่างไรอย่างนั้น
โจวชูจิ่นตกใจสะดุ้งโหยง รีบลุกขึ้นมานั่ง กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านว่ามาเถิด! ข้าฟังอยู่เจ้าค่ะ”
เลี่ยวเส้าถังลังเลอยู่นาน ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่พวกเราแต่งงาน ท่านแม่มอบบ้านสวนเล็กๆ หลังหนึ่งให้พวกเรามิใช่หรือ ข้าอยากจะคืนบ้านสวนหลังนี้ให้ท่านแม่ ให้นางมีเงินส่วนตัวในมือบ้าง… เมื่อนางอยู่ต่อหน้าพวกเราที่เป็นบุตรธิดาก็จะได้มีเกียรติ…”
บัดนี้โจวชูจิ่นตื่นเต็มตาแล้ว
ถ้าหากการคืนบ้านสวนเล็กๆ หลังนั้นแก่แม่สามีทำให้แม่สามีมี ‘เกียรติ’ เหตุใดนางจะไม่คืนให้เล่า
มิใช่ว่านางไม่มีสินเดิมของตนเอง หรือใช้ชีวิตอยู่ด้วยเงินน้อยนิดส่วนนั้นจากกองกลางของตระกูลเลี่ยวสักหน่อย
เพียงแต่นางรู้จักนิสัยของเลี่ยวเส้าถังดี เขาไม่มีทางที่จะใช้ทรัพย์สินของพวกเขาไปประจบประแจงแม่สามีอย่างไร้เหตุผล จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ นอกจากนี้ยังต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่แม่สามีคุยกับเขาเมื่อวานอีกด้วย
โจวชูจิ่นตอบรับในทันที กล่าวยิ้มๆ ว่า “เดิมทีนั่นก็เป็นสินเดิมของแม่สามีอยู่แล้ว ในบ้านยังมีพวกน้องชายน้องสาวอีก ความจริงข้าก็กังวลว่าการที่พวกเราได้รับสินเดิมของแม่สามีจะทำให้พวกน้องๆ ไม่พอใจ เพื่อเงินทองแล้วทำให้ครอบครัวไม่สงบสุข อย่าให้ถึงขั้นนั้นเลยเจ้าค่ะ ท่านกล่าวเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกโล่งใจ”
เลี่ยวเส้าถังรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก จับมือของโจวชูจิ่นไว้พลางกล่าวว่า “ไม่แปลกเลยที่ผู้เฒ่าผู้แก่ล้วนบอกว่าในบ้านมีศรีภรรยา เปรียบเสมือนมีสมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน เรื่องบางเรื่องมิใช่ว่าข้าอยากจะปิดบังเจ้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าควรจะบอกเจ้าอย่างไรดี… ท่านพ่อของข้า เขาแอบนำสินเดิมของท่านแม่ของข้าไปขายจนหมดเกลี้ยง ตอนงานครบร้อยวันของกวนเกอ ท่านแม่ของข้าอยากจะหาของขวัญดีๆ มอบให้กวนเกอสักหน่อย ถึงได้ค้นพบ… เพียงแต่ไม่กล้าเปิดเผย กลัวจะทำให้ชื่อเสียงของท่านพ่อของข้าเสื่อมเสีย ทำให้พวกน้องๆ ไม่อาจหาคู่ครองที่ดีได้ ตอนนี้ในมือท่านแม่ไม่เหลือสมบัติดีอะไรแล้ว ทว่าน้องหญิงใหญ่ถึงวัยออกเรือนแล้ว… แม้ว่าท่านแม่จะไม่ได้กล่าวอะไร แต่ในเมื่อนางทราบข่าวที่เฉิงเจียซ่านต้องการแต่งงานโดยเร็วได้ เกรงว่ากลับไปแล้วคงจะรุดไปบ้านเดิมหาพวกท่านลุงเป็นแน่… ชีวิตของท่านแม่นี้ ทุกข์ยากลำบากเกินไปแล้ว!”
โจวชูจิ่นจึงทำเรื่องดีให้ถึงที่สุดไปเลย กล่าวว่า “หรือไม่ก็นำเครื่องประดับของข้าเหล่านั้นไปหลอมใหม่ที่ร้านเครื่องประดับ ทำเป็นแบบลายใหม่ๆ สองสามชิ้นรอตอนที่น้องหญิงใหญ่ออกเรือนก็ให้ท่านแม่นำกลับไปด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่จำเป็นๆ” เลี่ยวเส้าถังโอบโจวชูจิ่น “เพียงเจ้าตกลงให้ข้าคืนบ้านสวนแก่ท่านแม่ได้ข้าก็ซาบซึ้งใจเหลือล้นแล้ว ยังจะไปแตะต้องสินเดิมของเจ้าได้อย่างไร ไม่จำเป็นหรอก! ต่อไปข้าจะต้องเพียรพยายามนำบ้านสวนหลังหนึ่งกลับมาให้ได้”
ทองพันชั่งยากจะซื้อความร่วมใจของสามีภรรยาได้
โจวชูจิ่นตัดสินใจว่า ตอนที่น้องสะใภ้ใหญ่ออกเรือน อย่างไรนางก็ต้องให้แม่สามีส่งเครื่องประดับศีรษะสองสามชุดกลับไปให้นางเพื่อเป็นการซื้อใจแม่สามีกับน้องสะใภ้ใหญ่
หลังจากรับประทานมื้อเช้าแล้ว สองสามีภรรยาก็ไปคารวะยามเช้าฮูหยินใหญ่เลี่ยว
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวก็ดูเหมือนไม่ได้นอนหลับมาทั้งคืนเช่นกัน มีเพียงตอนที่เห็นกวนเกอเท่านั้นถึงจะแย้มรอยยิ้มออกมาจากใจเล็กน้อย
เลี่ยวเส้าถังส่งสายตาให้โจวชูจิ่น
โจวชูจิ่นรู้ว่าเขาต้องการคุยเรื่องบ้านสวนกับฮูหยินใหญ่เลี่ยว จึงหาข้ออ้างอุ้มกวนเกอถอยออกไป
กระทั่งตอนที่โจวชูจิ่นกลับเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง ดวงตาของฮูหยินใหญ่เลี่ยวกับเลี่ยวเส้าถังต่างแดงก่ำ ฮูหยินใหญ่เลี่ยวยิ่งแล้วใหญ่จับมือของโจวชูจิ่นแล้วกล่าวว่า “เป็นข้าที่ต้องขอโทษพวกเจ้าสามีภรรยา”
“ท่านแม่พูดอย่างนี้ก็เหมือนกับเป็นคนนอก นี่ถือเป็นการแสดงความกตัญญูของสามีแก่ท่านเจ้าค่ะ” โจวชูจิ่นเติบโตขึ้นในซอยจิ่วหรู รู้จักวิธีการเอาอกเอาใจผู้ใหญ่ เพียงถ้อยคำไม่กี่ประโยคก็ทำให้ฮูหยินใหญ่เลี่ยวซาบซึ้งใจเป็นล้นพ้น กล่าวกับเลี่ยวเส้าถังเป็นการส่วนตัวว่า “แต่ก่อนข้ายังเป็นกังวลที่ชูจิ่นเป็นบุตรสาวคนโตที่กำพร้ามารดาอยู่บ้าง ตอนนี้ดูทีแล้วเป็นข้าเองที่ประเมินน้ำใจของผู้สูงส่งด้วยจิตใจของผู้ต่ำต้อย ภรรยาที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมเช่นนี้ ต่อไปเจ้าต้องดีกับนางมากขึ้นสักหน่อย”
เลี่ยวเส้าถังพยักหน้าไม่หยุด ดวงตาเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม นับแต่นั้นมาความสัมพันธ์กับโจวชูจิ่นก็เสมือนเพิ่งแต่งงานใหม่เสมอ
นี่เป็นเรื่องราวในภายภาคหน้า
หลังจากที่โจวชูจิ่นกับฮูหยินใหญ่เลี่ยวส่งเลี่ยวเส้าถังแล้ว ก็ผัดหน้าแต่งตัวใหม่ แล้วอุ้มกวนเกอ นั่งเกี้ยวไปซอยอวี๋เฉียน
หลี่ซื่อพาโจวเสาจิ่นมาต้อนรับหน้าประตูชั้นใน
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวชำเลืองมองซ้ายขวาทีหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ซอยอวี๋ซู่อยู่ใกล้ซอยอวี๋เฉียนมากจริงๆ ญาติๆ ของฮูหยินกับคุณหนูต้องมาเยี่ยมกันบ่อยๆ ถึงจะถูก”
หลี่ซื่อโอภาปราศรัยครู่หนึ่ง แล้วคนทั้งกลุ่มก็เข้าไปในเรือน
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวลอบตะลึงงัน
เรือนของโจวชูจิ่นเป็นนางที่ควักเงินส่วนตัวของนางออกมาซื้อ ทั้งหมดเสียเงินไปเท่าใดนางย่อมรู้ดีแก่ใจ ซอยซวงอวี๋กับซอยอวี๋เฉียนนี้เป็นทำเลที่ดีที่สุด อยู่ใกล้กับหกกรมและสำนักกั๋วจื่อเจี้ยนที่สุด ตอนแรกนางก็อยากจะซื้อเรือนหลังหนึ่งที่นี่เหมือนกัน แต่สุดท้ายเนื่องจากราคาที่สูงลิ่วจึงล้มเลิกความคิดนั้นไป
คาดไม่ถึงว่าโจวเจิ้นจะมีกำลังทรัพย์ขนาดนี้ ซื้อเรือนหลังหนึ่งบนทำเลทองเช่นนี้ให้แก่โจวเสาจิ่น
เนื่องจากนี่เป็นเรื่องที่ทำให้มีหน้ามีตาเป็นอย่างมาก นางจึงเอ่ยชมตระกูลโจวขึ้นมา
ในมือของหลี่ซื่อไม่ขาดเงิน แต่ไรมาไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินทองเท่าใดนัก ดังนั้นพอได้ยินแล้วจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่มิใช่เรือนที่นายท่านของพวกข้าซื้อให้คุณหนูรองเจ้าค่ะ นี่เป็นเรือนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้เสาจิ่น หลังจากต้ากูไหน่ไนออกเรือนไปแล้ว คุณหนูรองก็ย้ายไปอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน อยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเจ้าค่ะ”
เป็นอย่างนี้นี่เอง!
นางจึงพูดถึงเรื่องแต่งงานของเฉิงเจียซาน
ความจริงโจวชูจิ่นไม่ตั้งใจจะบอกโจวเสาจิ่น แต่ไม่นึกว่าแม่สามีจะโพล่งออกมาโดยไม่ตั้งใจ
นางหันไปมองโจวเสาจิ่นทันที
โจวเสาจิ่นมีสีหน้าเรียบเฉย
โจวชูจิ่นรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ยังอดปลอบน้องสาวไม่ได้ว่า “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ท่านน้าฉือเอ็นดูเจ้าเสมอมา ถึงเวลานั้นไม่สู้เจ้าหาข้ออ้างสักข้อหนึ่งเก็บตัวอยู่ในบ้าน ท่านน้าฉือจะต้องช่วยพูดให้เจ้าอย่างแน่นอน”
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนี้เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นตอบยิ้มๆ “ต่อให้ข้าไปร่วมงานกับฮูหยิน ก็เพียงพบปะทักทายกับพวกสตรีเหล่านั้นในเรือนชั้นใน วันนั้นฮูหยินหยวนจะมีเวลาว่างมาหาเรื่องข้าได้หรือ เฉิงสวี่จะสร้างความลำบากใจให้ข้าได้หรือ ยิ่งกว่านั้นข้าตัดสินใจมานานแล้วว่าจะไม่ไป… ท่านพ่อกับฮูหยินไม่มีทางบังคับข้าหรอกเจ้าค่ะ”
นี่ก็จริง
อย่างไรเสียฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่มาร่วมงานเหมือนกัน
บางทีอาจจะไม่มีผู้ใดสังเกตว่าโจวเสาจิ่นไม่ได้ไปร่วมงานเลยก็เป็นได้
โจวชูจิ่นอดทอดถอนใจไม่ได้ กล่าวว่า “จะว่าไปแล้วข้าคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวน่าสงสารยิ่งนัก เฉิงสวี่เป็นหลานชายสายตรงคนโต ไม่อยู่แต่งงานที่บ้านเกิดแต่วิ่งมาแต่งงานที่จิงเฉิง จวนหลักของซอยจิ่วหรูก็เลยเงียบเหงา… นางให้กำเนิดบุตรชายสามคน ทว่าในช่วงบั้นปลายชีวิต ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจินหลิงตามลำพัง…”
โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกรันทดใจ
***
ณ เรือนตระกูลกู้ที่ตั้งอยู่ใกล้ประตูเฉาหยาง
เมื่อได้รับจดหมายที่บ่าวรับใช้จากบ้านเดิมเร่งส่งมาไกลสามร้อยหลี่แล้ว เฉิงเจิงกลับโมโหเดือดดาล ปิดประตูแล้วกล่าวกับแม่นมของตนว่า “ท่านแม่ของข้าเป็นอะไรไปหรือ ดื่มน้ำแกงเลอะเลือนของผู้ใดมา ไม่อยากจะเชื่อว่านางให้เจียซ่านมาแต่งงานที่จิงเฉิง เช่นนั้นท่านย่าจะทำอย่างไร ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองจะคิดอย่างไร เจียซ่านยังไม่มีอำนาจอะไรเลยนะ มีแต่จะทำให้ดูเหมือนเป็นคนที่ไม่เห็นผู้ใดในสายตาเสียเปล่าๆ หากว่าเจียซ่านเข้าสู่ราชสำนักและเป็นราชเลขาธิการแล้ว สายตาของเขานั้นจะไม่เงยมองแต่ท้องฟ้าหรือ ผู้ใดยังจะขอร้องต่อหน้าพวกเขาได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนในตระกูลจะเอาอะไรมายกย่องเจียซ่านได้อีกเล่า ไม่มีคนในตระกูลเกื้อกูลอุปถัมภ์ ต่อให้เจียซ่านมีสามเศียรหกแขน เกรงว่าคงยากจะเปิดทางให้ได้ ไม่เช่นนั้นเหตุใดถึงให้ข้าแต่งเข้าตระกูลกู้ ให้น้องรองแต่งเข้าตระกูลหยวนเล่า ใครออกความคิดนี้ให้แก่ท่านแม่ของข้าหรือ”
สีหน้าของแม่นมเองก็ค่อนข้างเคร่งเครียด กล่าวว่า “ต้าไหน่ไน ท่านเขียนจดหมายกลับไปเกลี้ยกล่อมฮูหยินสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ ฮูหยินเชื่อฟังคำพูดของท่านเป็นที่สุด”
“กำหนดวันเอาไว้แล้วล่ะ ต่อให้ข้าเขียนจดหมายกลับไปจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า” เฉิงเจิงยิ้มข่มขื่น พลางกล่าวว่า “เกรงว่าท่านแม่ของข้าคงรอวันนี้มานานแล้ว ข้ามิอาจละทิ้งสามีกับบุตรชายโดยไม่สนใจไยดีด้วยเรื่องจากบ้านเดิมได้หรอกกระมัง ข้ามีแต่จะต้องได้รับเกียรติจากตระกูลสามีถึงจะช่วยเหลือบ้านเดิมได้ ตอนที่ข้าออกเรือนเรื่องที่ท่านย่าย้ำกำชับข้าไว้ ข้าไม่เคยลืมแม้ชั่วเสี้ยวเดียว!”
แม่นมกล่าวว่า “หรือไม่ก็ขอร้องให้ผู้ช่วยของคุณชายใหญ่ช่วยกลับไปสักครั้ง พวกข้ามิอาจทนเห็นฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งอยู่ยิ่งห่างเหินกันได้เจ้าค่ะ…”
เฉิงเจิงลังเลเล็กน้อย
จดหมายฉบับที่สองของบ่าวรับใช้จากบ้านเดิมส่งมาถึงอีกฉบับแล้ว
จดหมายฉบับแรกส่งมาให้ไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยาม…
เฉิงเจิงกับแม่นมประสานสายตากันอย่างหวั่นกลัว แล้วเปิดจดหมายด้วยมือสั่นเทา
………………………………………………………………….