ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 415 คนเก่าคนแก่
ขณะที่เฉิงฉือกำลังขบคิดเรื่องนี้อยู่ ฝานหลิวซื่อกลับรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
ทันทีที่นายท่านสี่เข้าเรือนมาก็พุ่งเข้าไปยังห้องชั้นใน เสมือนว่านี่เป็นบ้านของเขา ไม่คาดคิดว่าซางมามากับคนอื่นๆ ดูเหมือนจะไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น แน่นอนว่า ซางมามาเป็นคนที่เคยรับใช้นายท่านสี่มาก่อน ต่อให้นายท่านสี่คิดเช่นไร นางจะกล้าขัดขวางได้อย่างไร ยังดีที่นางบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา นึกได้ว่าในห้องครัวต้มน้ำแกงถั่วเขียวเอาไว้… แม้ว่าสีหน้าตอนนี้ของโจวเสาจิ่นดูมีพิรุธเล็กน้อย แต่จะดีจะร้ายก็ยังนั่งอยู่เบื้องหน้านางอย่างปลอดภัยดี นี่ทำให้นางอดลอบรู้สึกยินดีไม่ได้ เอ่ยถามขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “นายท่านสี่กลับมาเมื่อใดเจ้าคะ วันนี้เป็นเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง สองวันนี้ฮูหยินกับคุณหนูรองของพวกข้าห่อบ๊ะจ่างไว้มากมาย ข้ายกเข้ามาสักสองสามลูกให้นายท่านสี่ลองชิมดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
นางไม่วางใจให้โจวเสาจิ่นอยู่กับเฉิงฉือตามลำพัง
เฉิงฉือเป็นคนฉลาดเชาวน์ไว จะมองไม่ออกได้อย่างไรเล่า
โจวเสาจิ่นเป็นคนละเอียดอ่อนเสมอมา มีหรือจะไม่เข้าใจ
ทั้งสองคนคนหนึ่งพยักหน้าอย่างพอใจ ทว่าในใจกลับยิ้มขมขื่น ส่วนอีกคนเม้มปากกลั้นยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกเบิกบานดั่งดอกไม้ผลิบาน
เฉิงฉือสบช่องระหว่างที่ฝานหลิวซื่อไปบอกให้สาวใช้เด็กยกบ๊ะจ่างเข้ามาเลิกคิ้วขึ้นพลางกระซิบถามโจวเสาจิ่นว่า “กล้าหัวเราะข้าหรือ ประเดี๋ยวรอดูข้าเอาคืนเจ้าอย่างไรก็แล้วกัน!”
โจวเสาจิ่นนึกถึงจูบเมื่อครู่ขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้
ดวงหน้าของนางแดงก่ำขึ้นมาในทันใด
ฝานหลิวซื่อหมุนกายเข้ามา เห็นโจวเสาจิ่นมีท่าทางเช่นนั้นก็อดรู้สึกฉงนสนเท่ห์เล็กน้อยไม่ได้
นายท่านสี่ยังไม่ได้ทำอะไรหรือพูดอะไรเลย ทำไมจู่ๆ คุณหนูรองถึงมีท่าทางเช่นนั้นได้
นางส่ายศีรษะอย่างงุนงง
โจวเสาจิ่นไหนเลยจะกล้าเผยพิรุธ แต่พอคิดว่าบ๊ะจ่างนั้นทำจากข้าวเหนียว กินมากไปก็ไม่ค่อยดี อีกทั้งคิดว่าเฉิงฉือเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนมาหลายวัน อาหารที่กินระหว่างทางจะต้องเป็นอาหารแห้งทั้งสิ้น ทว่าทันทีที่กลับมาคงไม่เหมาะสมนักหากกินอาหารเลี่ยนมากเกินไป ถึงฉุกคิดได้ว่าตนมัวแต่รู้สึกดีอกดีใจ จนไม่ได้แม้แต่จะถามไถ่เรื่องอาหารการกินของเฉิงฉือเลยสักคำ
สีหน้าของนางมีแฝงความละอายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ท่านกินอาหารเช้าแล้วหรือยัง อยากจะรีบกลับไปพักผ่อนหรือไม่เจ้าคะ”
ตอนฟ้าสางเฉิงฉือเพียงกินแป้งทอดครึ่งแผ่นและดื่มน้ำเล็กน้อยเท่านั้น
เขาอยากจะรีบกลับมาฉลองเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างเป็นเพื่อนโจวเสาจิ่นให้ได้ ครั้นกลับมาถึงแล้วก็รีบล้างหน้าเปลี่ยนชุดแล้วมาหาโจวเสาจิ่น แม้แต่น้ำสักอึกหนึ่งก็ไม่สนใจดื่ม
โจวเสาจิ่นเห็นท่าทางของเขาแล้วก็รู้ว่าเขาคงกินแต่อาหารแห้งเล็กๆ น้อยๆระหว่างทางเท่านั้น ก็รีบลุกขึ้นไปชงชาจอกหนึ่งให้เฉิงฉือ กล่าวอย่างขัดเขินว่า “ท่านนั่งลงก่อนสักครู่ ดื่มรองท้องสักหน่อย ข้าจะไปดูในครัว ท่านมีของที่อยากกินเป็นพิเศษหรือไม่ ถ้าไม่มี ข้าก็จะเตรียมอาหารตามใจแล้วนะเจ้าคะ!”
เฉิงฉือไหนเลยจะยอมปล่อยให้นางยุ่งวุ่นวายด้วยเรื่องของตน รีบกล่าวว่า “ข้าไม่เลือกกินหรอก เจ้าให้ป้ารับใช้ไปดูว่ามีอะไรบนเตาบ้างแล้วยกเข้ามาก็พอ อากาศร้อนขนาดนี้ เจ้าจะออกไปข้างนอกทำไม นั่งลงดีๆ ประเดี๋ยวค่อยกินเป็นเพื่อนข้า”
โจวเสาจิ่นยังไม่วางใจสักเท่าใด ยืนกรานจะไปห้องครัวให้ได้
เฉิงฉือจึงส่งสายตาให้ฝานหลิวซื่อทีหนึ่ง สื่อให้นางไปดูที่ห้องครัว จากนั้นก็กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “เจ้านั่งลงดีกว่า มีคนอยากจะมาโขกศีรษะให้เจ้า”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “ใครหรือเจ้าคะ”
นางรู้จักคนไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่จะโขกศีรษะให้นางเลย
เฉิงฉือไม่บอกนาง ให้นางไปที่ห้องรับแขกพร้อมกับเขา
โจวเสาจิ่นนั่งลงหน้าเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้องรับแขกกับเฉิงฉืออย่างสนใจใคร่รู้
ฝานหลิวซื่อจึงไปที่ห้องครัว
เฉิงฉือตะโกนขึ้นว่า “หลั่งเย่ว์”
ผ้าม่านถูกเลิกขึ้นมา หญิงสาวคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมแขนสั้นสีเขียวเข้มทับเสื้อตัวในผ้าไหมหังโจวสีขาว มุ่นผมเป็นมวยสตรีที่ออกเรือนแล้วเดินเข้ามา
“คุณหนูรอง!” นางโขกศีรษะให้โจวเสาจิ่นอย่างนอบน้อม
ดวงหน้าเรียวยาว คิ้วใบหลิว รอยยิ้มอ่อนหวาน ท่วงท่าผึ่งผาย
“ปี้อวี้!” โจวเสาจิ่นทั้งประหลาดใจและดีใจ กระโดดลงจากเตียงเตาในทันที ไม่รอให้นางน้อมกายลงอีกครั้ง ก็จับนางไว้แล้วกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้า… เจ้ามาได้อย่างไร เจ้าสบายดีหรือไม่”
นางสำรวจมองปี้อวี้อย่างละเอียด
ในเมื่อแต่งงานแล้ว ก็ควรอยู่ที่บ้านสามีเลี้ยงดูบุตรถึงจะถูก เดินทางไกลนับพันหลี่เพื่อมาหานางเช่นนี้ หรือว่าสามีของนางจะไม่ดีกันนะ
แต่ดูท่าทางแล้วไม่เหมือนอย่างนั้นเลย!
ปี้อวี้ไม่เพียงมีดวงหน้าแดงระเรื่อ เมื่อเทียบกับตอนที่เป็นสาวใช้ใหญ่ในเรือนหานปี้ซานยังมีความสุขุมเยือกเย็นที่ตกตะกอนมาจากการกินดีอยู่ดีหลายส่วน
โจวเสาจิ่นยิ่งฉงนสงสัยเข้าไปใหญ่
ปี้อวี้ถือโอกาสลุกขึ้นมา ตวัดสายตามองเฉิงฉือ แล้วจึงตอบยิ้มๆ ว่า “ผู้ที่ข้าแต่งงานด้วยเป็นพ่อบ้านน้อยคนหนึ่งในเรือนชั้นนอกของตระกูลเฉิงเจ้าค่ะ นายท่านสี่เห็นว่าเขาซื่อสัตย์สุจริต การทำงานก็หนักแน่นมั่นคง ประจวบกับเรือนที่ประตูเฉาหยางในจิงเฉิงกำลังซ่อมแซมปรับปรุงใหม่และขาดคนพอดี นายท่านสี่จึงขอให้สามีของอ ข้ามาที่นี่ ตอนนี้เขาดูแลการจับจ่ายซื้อของใช้ประจำวันในเรือนที่ประตูเฉาหยาง ข้าเลยตามมาจิงเฉิงด้วย นายท่านสี่ให้ข้ารับผิดชอบดูแลงานในเรือนชั้นใน ต่อไปข้ากับสามีของข้าก็จะประจำอยู่ในเรือนใหญ่ประตูเฉาหยางเจ้าค่ะ”
ในบรรดาสาวใช้ใหญ่ของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับปี้อวี้ดีที่สุด รองลงมาก็คือเจินจู
โจวเสาจิ่นเห็นปี้อวี้ดูค่อนข้างดีใจที่ได้พบกับคนรู้จักเมื่ออยู่ต่างถิ่น
“เช่นนี้ก็ดีจริงๆ!” นางบอกให้สาวใช้เด็กยกเก้าอี้ตัวเล็กเข้ามาให้ปี้อวี้นั่งตัวหนึ่ง แล้วหันหน้าไปพูดกับปี้อวี้อีกว่า “ต่อไปเจ้าก็มาหาข้าบ่อยๆ ได้”
ปี้อวี้พยักหน้ายิ้มๆ กล่าวว่า “นายท่านสี่ก็บอกเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ ดังนั้นวันนี้เลยตั้งใจพาบ่าวมาทักทายเป็นพิเศษ”
สาวใช้เด็กยกเก้าอี้ตัวเล็กมาวางข้างๆ โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นชี้ให้นางนั่งลงสนทนา
ปี้อวี้ลังเลอยู่นาน เมื่อเห็นเฉิงฉือพยักหน้าน้อยๆ ให้นาง นางขบคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กเพียงครึ่งเดียว
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามนางว่า “เจ้ามาถึงจิงเฉิงเมื่อใด คุ้นเคยกับที่นี่แล้วหรือยัง เจินจูกับหมาเหน่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่ได้พบพวกนางนานแล้ว! เจ้ากับเฝ่ยชุ่ยแต่งงานแล้ว ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าได้เพิ่มคนรับใช้บ้างหรือไม่ เป็นผู้ใด ข้ารู้จักหรือเปล่า”
ปี้อวี้ตอบคำถามทีละข้ออย่างนอบน้อม “วันที่สองที่นายท่านสี่กลับไปถึงก็ขอพวกข้าสามีภรรยากับฮูหยินผู้เฒ่า คืนวันนั้นพวกข้าจึงเก็บข้าวของออกเดินทางเลยเจ้าค่ะ แต่นายท่านสี่ยังติดธุระในจินหลิง ถัดไปไม่กี่วันถึงออกเดินทางตามมา ทว่านายท่านสี่เดินทางเร็ว พวกข้าเดินทางช้า เช้าวันนี้พวกข้ากับนายท่านสี่จึงเข้าเมืองมาพร้อมกัน ได้ยินมาว่าฤดูหนาวของจิงเฉิงหนาวเย็นมาก แต่ข้ายังไม่เคยสัมผัสเลยเจ้าค่ะ อย่างไรก็ตามอากาศในตอนนี้กลับเย็นสบายกว่าที่จินหลิง ข้ารู้สึกดียิ่ง หลังจากที่ข้ากับเฝ่ยชุ่ยออกจากจวน เจินจูและหมาเหน่ารับผิดชอบงานต่างๆ ที่ข้ากับเฝ่ยชุ่ยเคยดูแล จื่อถานกับเฉินเซียงที่เดิมเป็นสาวใช้ชั้นสองก็เลื่อนขึ้นตำแหน่งของเจินจูกับหมาเหน่า แล้วยังเลือกสาวใช้เด็กอีกสองสามคนเข้ามาด้วยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นมีภาพจำของจื่อถานกับเฉินเซียง
เด็กสาวทั้งสองคนต่างมีรูปโฉมงดงาม เมื่อเห็นผู้อื่นก็มักจะแย้มรอยยิ้มน้อยๆ น่ารักยิ่งนัก
จากนั้นโจวเสาจิ่นก็ชวนปี้อวี้คุยสัพเพเหระต่อ
ปี้อวี้ฉวยจังหวะที่โจวเสาจิ่นไม่ได้สังเกตเหลือบมองเฉิงฉือ เห็นเฉิงฉือมิได้ดูรำคาญใจแต่อย่างใด จึงรู้สึกวางใจ ยิ้มพลางสนทนากับโจวเสาจิ่น
ไม่นาน ฝานหลิวซื่อก็ยกบ๊ะจ่างเข้ามา
โจวเสาจิ่นบอกเฉิงฉือว่า “กินได้เพียงสองลูกเท่านั้นนะเจ้าคะ กินมากเกินไปก็ไม่ดี ประเดี๋ยวยังต้องกินข้าวอีก!”
เฉิงฉือยกยิ้มแต่ไม่เอ่ยคำใด ทว่าก็กินเพียงสองลูกเท่านั้น
ปี้อวี้ตกตะลึงเหลือแสน รีบก้มหน้าลงไป
สักพักสำรับอาหารก็ยกมาขึ้นโต๊ะแล้ว ปี้อวี้ช่วยวางกับข้าวกับเสี่ยวถาน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว โจวเสาจิ่นก็ ‘เร่ง’ เฉิงฉือว่า “ท่านรีบกลับไปพักผ่อนเถิดนะเจ้าคะ! เร่งเดินทางมาหลายวันคงจะเหนื่อยแล้ว”
เฉิงฉือเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “อยากจะไปเดินเที่ยวกับข้าหรือไม่”
โจวเสาจิ่นนึกถึงวันสรงน้ำองค์พระโพธิสัตว์
เฉิงฉือโอบกอดนางในอ้อมอกขณะนั่งชมทิวทัศน์บนหินครามก้อนใหญ่กลางภูเขา นางกลัวจะมีคนเดินผ่านมา รู้สึกตึงเครียดตลอดเวลาประหนึ่งสายธนูที่ขึงจนตึงก็ไม่ปาน... นางจะไม่ปล่อยให้โดนหลอกอีกแล้ว!
ยิ่งกว่านั้น ขอเพียงนางได้อยู่กับเฉิงฉือก็พอแล้ว ต่อให้อยู่แต่ในบ้านเช่นนี้ ก็สนุกเหมือนกันมิใช่หรือ
โจวเสาจิ่นปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า “อากาศร้อนขนาดนี้ พี่สาวไหว้วานให้ข้าดูแลกวนเกอให้ดี หนำซ้ำข้ายังต้องทำถุงเท้า ไม่อยากออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือนึกถึงท่าทางของโจวเสาจิ่นขณะทำงานเย็บปัก
นางคงไม่ยอมออกไปข้างนอกจริงๆ กระมัง
เฉิงฉือก็ถือเป็นผู้ที่เคยเดินทางไปหลายที่หลายแห่ง เห็นทัศนียภาพมามากมายคนหนึ่ง ในเมื่อโจวเสาจิ่นไม่อยากออกไปเที่ยว เขาจึงตัดสินใจอยู่บ้าน
เขาจะได้ไม่ล่อลวงนางออกไปแล้วจูบกอดนางอย่างห้ามใจไม่อยู่ ทำให้นางตกใจกลัว
วันนี้เด็กน้อยถูกรุกเร้ามากพอแล้ว รีบร้อนเกินไปใช่ว่าจะดี!
เฉิงฉือจึงคลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นมา กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ประเดี๋ยวข้าจะย้ายออกไปที่ประตูเฉาหยางก็แล้วกัน”
“อะไรนะเจ้าคะ!” โจวเสาจิ่นอ้าปากกว้างอย่างตกตะลึง “ท่าน… ท่านจะย้ายออกไปที่เรือนประตูเฉาหยางทางด้านโน้นหรือ ทำไมเจ้าคะ”
ที่นี่ไม่ดีหรือ
นางมิได้เจอท่านน้าฉือมานานแล้วมิใช่หรือ
โจวเสาจิ่นพลันรู้สึกลนลานในใจ
เฉิงฉือเห็นนางหน้าเปลี่ยนสี ก็รู้ว่าทนแยกจากตนไม่ได้ แต่ฝานมามายังจับตามองความเคลื่อนไหวในเรือนไม่วางตาเสมือนเสือจ้องจับเหยื่อก็ไม่ปาน เขาสะกดกลั้นแรงปรารถนาจะโอบกอดโจวเสาจิ่น ปลอบนางว่า “ฮูหยินใหญ่เลี่ยมาจิงเฉิงแล้ว ข้าอยู่ที่นี่อีกก็ไม่ค่อยสะดวกนัก ถือโอกาสย้ายออกวันนี้ได้พอดี! พวกเราล้วนอยู่จิงเฉิง เจ้ามีเรื่องอะไรก็ให้คนนำความไปบอกข้า อย่างมากเพียงครึ่งชั่วยามข้าก็เร่งมาหาได้”
ที่เขาเกเรซุกซนกับโจวเสาจิ่น เป็นเพราะว่ารอบกายล้วนเป็นคนของเขาทั้งสิ้น เขารู้ว่าไม่มีใครกล้าพูดจาไร้สาระแม้ประโยคเดียว แต่ฮูหยินใหญ่เลี่ยวไม่เหมือนกัน นางเป็นนายหญิงใหญ่ที่ดูแลการงานในเรือน เป็นปกติที่สายตาจะว่องไว เพียงแต่เขายิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งควบคุมตนเองไม่ได้ หนำซ้ำเด็กน้อยยังปกปิดไม่เก่ง หากว่าถูกฮูหยินใหญ่เลี่ยวจับได้ขึ้นมา เช่นนั้นเขากับเฉิงสวี่ต่างกันอย่างไร ยังจะมีอนาคตอะไรกับเด็กน้อยได้เล่า
ไม่เพียงเท่านี้ พี่ชายใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ยืนกรานว่าต้องการแยกตระกูล ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองจะต้องปล่อยข่าวลือออกมามากมาย ทำให้คนอื่นคิดว่าเป็นจวนหลักที่อกตัญญูจึงโวยวายอยากแยกตระกูลออกมา แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนสูญเปล่า รอให้ท่านผู้นำตระกูลจากจวนรองค้นพบว่าตนไม่มีกำลังต้านทานได้ จึงจะเป็นตอนที่ทุกคนนั่งลงหารือเงื่อนไขกันจริงๆ
เขาไม่ต้องการให้โจวเสาจิ่นสัมผัสเรื่องดำทมิฬเหล่านี้
หากย้ายออกไปอยู่ใกล้ๆ ประตูเฉาหยางก็ค่อนข้างสะดวกกว่า
เฉิงฉือที่ตัดสินใจมานานแล้วใช้สุ้มเสียงที่เขากับโจวเสาจิ่นได้ยินเพียงสองคนกล่าวขึ้นว่า “หากว่าเจ้าคิดถึงข้า ก็ไปหาข้าได้!” ขณะที่กล่าว ก็ใช้สุ้มเสียงที่ทุกคนได้ยินทั้งหมดกล่าวอีกว่า “เรือนที่ประตูเฉาหยางแบ่งเป็นส่วนตะวันออก ตะวันตกและกลางสามส่วน กว้างขวางยิ่งนัก หากว่าเจ้าอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกเบื่อ ก็ไปที่โน่นเพื่อผ่อนคลายจิตใจได้”
นางคงไม่คิดถึงเฉิงฉือหรอก!
โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงอย่างขวยเขิน
เฉิงฉือให้คนเก็บข้าวของ
แม้รู้ดีว่าการที่เฉิงฉือย้ายออกไปนั้นดีที่สุด แต่ในใจของนางยังคงรู้สึกหงอยเหงาว้าเหว่
ไม่รอรับประทานมื้อเย็น เฉิงฉือก็พาปี้อวี้และคนอื่นๆ ย้ายออกไปที่ประตูเฉาหยาง
เฉิงฉือเป็นคนรอบคอบยิ่งยวด เก็บกวาดห้องหนังสือจนสะอาดเรียบร้อย ไม่ทิ้งของอะไรไว้แม้ชิ้นเดียว ทำให้ห้องหนังสือที่เดิมทีค่อนข้างโล่งดูเย็นเยียบยิ่งขึ้น
โจวเสาจิ่นรู้สึกเซื่องซึม กลับไปหยอกเล่นกับกวนเกอนานค่อนวัน อารมณ์จึงค่อยๆ ดีขึ้นมา
ตกเย็น โจวชูจิ่นและคนอื่นๆ กลับมา พอรู้ว่าเฉิงฉือย้ายออกไปในตอนบ่ายแล้ว ต่างตกตะลึงกันหมด แต่ก็ลอบรู้สึกว่าเฉิงฉือกระทำการได้อย่างเหมาะสม รอบคอบและละเอียดเป็นอย่างยิ่ง ความประทับใจที่มีต่อเฉิงฉือจึงดียิ่งขึ้น
……………………………………………………………………