ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 423 ออกเดินทาง
ปิดบังแม่สามี!
เรื่องต่างๆ ในบ้านนี้เกรงว่าคงมีน้อยนักที่ปิดบังแม่สามีได้
หยวนซื่อรู้สึกปวดหัวขึ้นมา จู่ๆ ก็ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากัวเรียกนางไปพบ ในใจอดรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อยไม่ได้ จึงไม่ได้สนใจว่าผู้ใดมาเรียกนาง พอทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวตัดสินใจจะไปจิงเฉิงในช่วงนี้เป็นระยะเวลาสั้นๆ และหลังจากเสร็จสิ้นพิธีแต่งงานของเฉิงเจียซ่านแล้วถึงจะตัดสินใจว่าจะกลับจินหลิงหรือไม่ นางก็ลิงโลดดีใจขึ้นมาในทันใด ไม่ง่ายเลยกว่าจะควบคุมสีหน้าอารมณ์ไม่ให้หลุดหัวเราะออกมาตรงนั้น
แม่สามีไปจิงเฉิงแล้ว ได้ทั้งหลบเลี่ยงเรื่องที่จินหลิงทางนี้ และได้แสดงท่าทีว่าทนต่อความวุ่นวายไม่ได้ พูดเรื่องที่แม่สามีไปจิงเฉิงให้กลายเป็นการหลีกเลี่ยงการบีบคั้นจากจวนรอง
นี่สมกับคำกล่าวที่ว่ากำลังง่วงเหงาหาวนอนก็เจอหมอนพอดีจริงๆ
หยวนซื่อย่อมไม่ปฏิเสธเป็นธรรมดา นอกจากจะช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวเก็บสัมภาระแล้ว ยังขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วยไปจิงเฉิงแล้วเร่งทางซอยซิ่งหลินให้จัดเตรียมงานแต่งงานให้เฉิงสวี่ด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ได้ยินว่าเรือนที่ประตูเฉาหยางที่เจ้าสี่อาศัยอยู่ปรับปรุงเสร็จแล้ว ข้าตั้งใจจะไปอยู่ทางโน้น ประเดี๋ยวตอนที่เจียซ่านแต่งงานจะได้ไม่ทำให้พวกเด็กๆ รู้สึกลำบากใจ”
หยวนซื่อเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมเสมอมา ทว่าตอนนี้กลับเลอะเลือน พูดเลี่ยงประเด็นไปว่า “ดูท่านพูดสิเจ้าคะ” ประโยคหนึ่ง แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กล่าวว่า “เรือนที่ประตูเฉาหยางของน้องสี่ข้าก็ได้ยินว่า กว้านซื้อเรือนของใต้เท้าหลายท่านที่อยู่ติดกันมา ในทั้งจิงเฉิงก็นับเป็นเรือนที่ใหญ่อันดับต้นๆ แม้แต่ญาติผู้พี่ของข้าก็ได้ยินเจ้าค่ะ น้องสี่กตัญญูมาโดยตลอด ท่านไปอยู่ด้วยสักระยะหนึ่ง ทำให้น้องสามีสี่มีความสุขก็ดีนะเจ้าคะ”
ญาติผู้พี่ที่นางพูดถึงก็คือหยวนเหวยชางผู้เป็นราชเลขาธิการ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ก็ด้วยเหตุผลนี้นั่นแหละ”
แต่ครั้นส่งหยวนซื่อออกไปแล้ว สีหน้าของนางก็เยียบเย็นลงมา กล่าวค่อนขอดกับสื่อมามาว่า “เจ้าดูสิ เพราะมิได้เป็นบุตรที่คลานออกมาจากท้องของข้าจึงไม่เหมือนกัน ข้าบอกว่าจะไปอยู่กับเจ้าสี่ทางโน้นสักระยะหนึ่ง นางก็ผลักไสข้าไปหาเจ้าสี่ตามคำพูดของข้าเสียได้ คงจะกลัวว่าเมื่อลูกสะใภ้ของนางเข้าเรือนมาข้าผู้เป็นหญิงชราหม้ายผู้นี้จะเป็นกาลกิณีอยู่ที่นั่น”
สื่อมามาได้แต่เกลี้ยกล่อมไปว่า “ท่านพูดเกินไปหน่อยนะเจ้าคะ ฮูหยินก็อยากให้ท่านมีความสุข ช่วงนี้นางกลับจิงเฉิงไม่ได้ อีกทั้งงานแต่งงานของคุณชายใหญ่สวี่ก็กำหนดวันไว้เรียบร้อยแล้ว สุขภาพของฮูหยินรองไม่ค่อยดี ช่วยงานอะไรไม่ได้มาก ท่านไปแล้ว มีท่านช่วยดูให้ ฮูหยินก็ราวกับเสือติดปีก จะไม่รู้สึกโล่งอกได้อย่างไร จะว่าไปแล้ว นายท่านสี่กับท่านอยู่ร่วมกันน้อยและห่างกันเสียมาก ท่านไปอยู่ทางโน้น นายท่านสี่จะต้องดีใจมากเป็นแน่เจ้าค่ะ อีกอย่างตอนนี้นายท่านสี่ยังไม่ได้แต่งงาน ท่านไปแล้ว ก็เร่งให้นายท่านสี่รีบแต่งงานได้พอดี ท่านก็จะได้อุ้มหลานอีกคนเร็วๆ เจ้าค่ะ”
พอพูดถึงเรื่องอุ้มหลาน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ร่าเริงขึ้นมา คลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ลูกสะใภ้ย่อมมิอาจเทียบเท่าบุตรชาย บุตรชายเป็นข้าที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ด้วยตนเอง ทว่าบุตรสะใภ้กลับเป็นแม่ของบุตรสะใภ้ที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ แม้แต่ลูกแมวกับลูกสุนัขเหล่านั้นยังรู้ว่าผู้ใดให้อาหารพวกมันๆ ก็คลอเคลียผู้นั้น นับอะไรกับคนเล่า ข้าเองก็มิได้คาดหวังให้นางดีกับข้าให้มาก เพียงแต่เมื่อนึกถึงว่าเพื่อเจียซ่านนางโวยวายอยากจะแยกตระกูล ถึงกับหลอกล่อเจ้าสี่ช่วยออกเงินให้พวกเขา ใจของข้าก็เจ็บช้ำปวดร้าว เห็นนางแล้วก็รู้สึกไม่พอใจ” ขณะที่กล่าว ก็ถอนหายใจ กล่าวอีกว่า “หรือว่าเพราะนางมิใช่สะใภ้ที่ข้าเลือก แม้ข้าจะไม่เอ่ยปากพูด แต่ความจริงในใจกลับไม่พอใจ ถึงได้จับผิดนาง หาข้อบกพร่องของนางไปเสียทุกเรื่อง แต่ข้าอายุมากแล้ว ไม่อยากให้ตนเองเป็นทุกข์ ถือว่าข้ากับนางไม่มีวาสนาต่อกันก็แล้วกัน”
สื่อมามายิ้มน้อยๆ อยู่ข้างหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีความรู้สึกรางๆ อย่างหนึ่งว่า ไปจิงเฉิงครั้งนี้เกรงว่าภายหน้าคงยากจะมีโอกาสกลับจินหลิงอีกแล้ว นางกำชับสื่อมามาว่า “เรื่องในเรือนหานปี้ซานก็ฝากฝังไว้กับเจ้า หากว่าพวกข้ากับจวนรองแยกตระกูลกัน แปดถึงเก้าในสิบส่วนเรือนหลังนี้คงต้องมอบให้จวนรอง ครั้งนี้ข้าก็นำพวกเครื่องประดับของมีค่าต่างๆ ไปจิงเฉิงด้วย ส่วนพวกเครื่องเรือน ภาพอักษร วัตถุโบราณ เครื่องเคลือบ และจานดีบุกเหล่านั้นในเรือนหานปี้ซานก็ฝากฝังไว้กับเจ้าและต้าหมั่นทั้งหมด”
ต้าหมั่นคือบุตรชายของสื่อมามา
เมื่อสื่อมามานึกถึงข้าวของของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เต็มห้องข้างห้าห้องแล้ว ก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง รีบพยักหน้าด้วยความเคารพ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแจกแจงเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ไปอำลาตระกูลต่างๆ ที่สนิทสนมกันมานานอาทิ ตระกูลกู้ ตระกูลกัว และตระกูลอื่นๆ เลือกวันฤกษ์ดีสำหรับออกเดินทาง แล้วพาพ่อบ้านใหญ่ฉินนั่งเรือไปจิงเฉิง
เฉิงฉือได้รับจดหมายก็ตกใจใหญ่ รีบกล่าวว่า “เหตุใดนางถึงอยากจะมาจิงเฉิงกะทันหันหรือ”
บอกว่าเพื่อเข้าร่วมงานแต่งงานของเฉิงสวี่ เขาไม่เชื่อเลยสักนิด
ฉินจื่อจี๋ตอบยิ้มๆ ว่า “ข้าก็ไม่ทราบขอรับ ท่านปู่รองส่งจดหมายมา เพียงบอกว่าให้ข้าแจ้งท่านเท่านั้น จัดที่พักดีๆ ให้ฮูหยินผู้เฒ่าโดยเร็วที่สุดขอรับ”
เฉิงฉือมอบหมายงานนี้ให้ฉินจื่อจี๋
พี่ชายใหญ่ของหลี่ซื่อมาถึงแล้ว ทางซอยอวี๋เฉี่ยนไม่มีบุรุษ เขาจึงไปช่วยรับรองแขกอยู่เนืองๆ หลายครั้ง นายท่านใหญ่หลี่เป็นคหบดีที่ฉลาดปราดเปรื่องยิ่งยวดและมีหูตากว้างไกลไม่ธรรมดาคนหนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็มีกิริยาวาจาที่ตรงไปตรงมาแต่ไม่ขาดความระมัดระวัง สุภาพเรียบร้อยแต่ไม่ถึงกับถ่อมตนจนเกินไป มองออกว่าเป็นคนที่คบหาสมาคมได้คนหนึ่ง ด้วยเห็นแก่หน้าของโจวเสาจิ่น เขาจึงเป็นเจ้าภาพนัดหลิวหย่งออกมา ตั้งใจจะแนะนำเขาให้หลิวหย่งรู้จัก อย่างอื่นไม่กล้ารับรอง แต่อย่างน้อยเรื่องการเป็นตัวแทนการค้าของราชสำนักทำนองนั้นไม่มีปัญหาเป็นแน่
เขาเอ่ยต้อนรับสองสามประโยค แล้วไปภัตตาคารที่ทำอาหารตำรับตระกูลแห่งหนึ่งย่านประตูตงจื๋อ
ทว่าหลายวันมานี้โจวเสาจิ่นกลับเสมือนอยู่ในภวังค์ความฝันก็ไม่ปาน
เฉิงฉือเขียนจดหมายถึงนางฉบับหนึ่งทุกวัน บางวันเพียงเล่าว่าเขากินอะไรหรือดื่มอะไรไปบ้าง ไม่ได้เขียนอะไรเลยนอกจากนี้ แต่ในจดหมายกลับแนบที่คั่นหนังสือวาดมือแผ่นหนึ่งหรือไม่ก็ดอกไม้ที่บานครึ่งหนึ่งดอกหนึ่งมาด้วย… ทุกวันเวลานี้ นางจะใจเต้นไม่เป็นส่ำ เก็บจดหมายกับที่คั่นหนังสือไว้ในกล่องไม้จันทน์แดงอย่างระมัดระวัง ส่วนดอกไม้ที่บานได้ครึ่งหนึ่งเหล่านั้น นางทำเป็นดอกไม้แห้ง แล้วเก็บทั้งหมดไว้ในกล่องเครื่องประดับ เวลาไม่มีอะไรทำก็หยิบออกมาดู
ชุนหว่านยกถาดน้ำชาเข้ามา เห็นโจวเสาจิ่นเล่นกับดอกไม้แห้งเหล่านั้นอีกแล้ว ก็อดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “คุณหนูรอง ดอกซ่อนกลิ่นนี้ที่ลานหลังเรือนของพวกเราก็ปลูกพุ่มหนึ่งนะเจ้าคะ หากท่านชื่นชอบ ประเดี๋ยวข้าจะเก็บมาให้ท่านสักหน่อยแล้วกัน เหตุใดต้องทำเป็นดอกไม้แห้งด้วยหรือเจ้าคะ”
นางไม่รู้เรื่องที่ซางมามาแอบมอบจดหมายให้โจวเสาจิ่นเป็นการส่วนตัว
โจวเสาจิ่นก็ไม่อธิบายให้มากความ ยิ้มน้อยๆ พลางลงกลอนกล่องไม้ แล้วเก็บไว้กับกล่องที่เก็บโฉนดที่ดินและเอกสารสำคัญต่างๆ ในชั้นวางที่หัวเตียง
ชุนหว่านก็เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินให้ข้ามาแจ้งท่านว่า ตอนเย็นนายท่านใหญ่ตระกูลหลี่จะไม่กลับมากินมื้อเย็น ถามท่านว่าอยากจะไปหาต้ากูไหน่ไนที่ซอยอวี๋ซู่กับนางหรือไม่เจ้าคะ”
นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ตั้งใจมาแสดงความยินดีเนื่องในพิธีครบร้อยวันของบุตรชายของโจวชูจิ่น เขายังเตรียมของขวัญมากมายให้กวนเกออีกด้วย แม้แต่โจวเสาจิ่น ก็ได้รับเครื่องเขียนทั้งสี่ชุดหนึ่ง ที่ประดับผมดอกเหมยทองคำคู่หนึ่ง กำไลหยกมันแพะคู่หนึ่ง ที่คาดผมทองคำฝังอัญมณีล้ำค่าอันหนึ่ง ที่คาดผมฝังไข่มุกทะเลใต้สีขาวอันหนึ่ง ยังมีผ้าดิบหายาก อาทิ ผ้าดิ้นทอง ผ้าทอลายดอกไม้และอื่นๆ จำนวนหนึ่งอีกด้วย
ฝานหลิวซื่อนับดูแล้ว สิ่งของทั้งหมดนี้อย่างน้อยก็มีค่าสองร้อยเหลี่ยง
ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น บ่าวไพร่น้อยใหญ่ในซอยอวี๋เฉียนก็ได้รับสินน้ำใจจากเขาด้วย
ฝานหลิวซื่อกล่าวว่า “เขาก็เห็นแก่หน้าของฮูหยินเหมือนกัน เป็นการเอาใจเขามาใส่ใจเรา คุณหนูรองก็ควรจะดีกับฮูหยินให้มากขึ้นถึงจะถูกนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นคิดว่าถ้อยคำของฝานหลิวซื่อมีเหตุผลยิ่ง นางเองก็ไม่ได้พบพี่สาวมาหลายวันแล้วเช่นกัน นางผัดหน้าแต่งตัวแล้ว ไปซอยอวี๋ซู่กับหลี่ซื่อ
ใกล้ถึงพิธีครบร้อยวันของกวนเกอ บรรดาญาติๆ ของตระกูลเลี่ยวแวะเวียนมามอบของขวัญอยู่เรื่อยๆ
ตอนที่โจวเสาจิ่นกับหลี่ซื่อไปถึงก็พบกับฟางเซวียนกับมารดาของนางพอดี
ฟางผู้เป็นมารดาเป็นสตรีที่สุภาพอ่อนโยนมากคนหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วท่าทางของฟางเซวียนดูเหมือนเอาแต่ใจกว่าเล็กน้อย
นางเพียงทำความเคารพโจวเสาจิ่นตามมารยาท แล้วยืนอยู่ข้างหลังฟางผู้เป็นมารดา ฟังมารดากับฮูหยินใหญ่เลี่ยวพูดคุยเรื่องวันวาน เมื่อฟางผู้เป็นมารดาเห็นโจวเสาจิ่นแล้ว ไม่เพียงเอ่ยปากชมว่านางงดงาม ยังชมว่านางอ่อนโยนนุ่มนวลอีกด้วย ให้ฟางซื่อสนิทสนมกับนางให้มาก
ฟางเซวียนมองโจวเสาจิ่นทีหนึ่งด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วตอบรับอย่างขอไปที
แม้แต่ก่อนที่จะกลับมามีชีวิตใหม่โจวเสาจิ่นก็ไม่ได้สนิทสนมกับวงศ์ญาติที่ดูแคลนนาง นับประสาอะไรกับหลังจากที่กลับมามีชีวิตใหม่เล่า
นางยิ้มน้อยๆ แล้วไปเยี่ยมโจวชูจิ่นในห้องชั้นในพร้อมกับหลี่ซื่อ
ฟางผู้เป็นมารดาเห็นแล้วก็อดดุว่าฟางเซวียนสองสามประโยคไม่ได้ว่า “ทุกคนล้วนเป็นญาติกันหมด ทำไมเจ้าถึงได้ทำตัวไร้เหตุผลขนาดนี้ด้วย ต่อให้ไม่ชอบใจ เมื่ออยู่ต่อหน้ากัน อย่างไรก็ต้องโอภาปราศรัยสักหน่อย ต่อไปก็ไปมาหาสู่กันให้น้อยลงก็พอแล้ว ชักสีหน้าเช่นนั้นให้คนอื่นเห็นได้อย่างไร”
ฟางเซวียนโมโหที่มารดาเข้าข้างโจวเสาจิ่น จึงกระซิบอย่างอดไม่ได้ว่า “ข้าเพียงไม่ชอบนางเจ้าค่ะ พี่สาวเจียก็บอกว่านางเติบโตในซอยจิ่วหรูมาตั้งแต่เด็ก ควรจะรู้จักพี่ชายสวี่ดีถึงจะถูก แต่นางเห็นพี่สาวเจียแล้วกลับทำตัวเย็นชายิ่งนัก บางทีนางอาจจะเคยชอบพี่ชายสวี่มาก่อนก็เป็นได้เจ้าค่ะ…”
ฟางผู้เป็นมารดารีบเอามือปิดปากนาง กล่าวด้วยใบหน้าถมึงทึงว่า “ถ้าหากเจ้ากล้าพูดอีกคำ หลังจากข้ากลับไปแล้วจะฟ้องบิดาของเจ้าเป็นอย่างแรก ให้เขาใช้กฎตระกูลลงโทษเจ้า!”
ฟางเซวียนไม่เคยเห็นมารดาดุนางเช่นนี้มาก่อน พยักหน้ารับคำอย่างหวาดกลัว
สีหน้าของฟางผู้เป็นมารดาคลายลงเล็กน้อย จากนั้นก็กุมมือของบุตรสาวไม่ปล่อยตลอดทาง
โจวเสาจิ่นกับหลี่ซื่อรับประทานมื้อเย็นที่ซอยอวี๋ซู่แล้วจึงกลับไป
ทว่าพอกลับไปได้ไม่นานนายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ก็ให้คนนำความไปแจ้งว่าอยากพบหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อให้บ่าวรับใช้หลบออกไป เชิญพี่ชายไปสนทนาที่โถงรับรอง
นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ดื่มสุราเข้าไปมาก ท่าทางเมากรุ้มกริ่ม เมื่อเอ่ยปากพูดก็มีกลิ่นสุราคลุ้ง ทว่าความคิดยังคงกระจ่างชัด “เจ้าลองเดาสิว่านายท่านสี่ตระกูลเฉิงให้ข้าไปทำอะไร เขาแนะนำข้าให้หลิวหย่งรู้จัก! เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลิวหย่งคือใคร คือมหาขันทีที่มีอำนาจที่สุดในวัง ณ ตอนนี้! หากว่าพวกเราเดินในเส้นสายของเขาได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทำมาค้าข้ายในจิงเฉิงเลย แม้แต่เรื่องที่อยากจะเป็นตัวแทนการค้าของราชสำนัก นั่นก็เป็นเรื่องที่เอื้อมถึง… วันนี้ข้าตื่นเต้นดีใจมากเกินไป เลยดื่มสุราเพิ่มอีกสองจอก นายท่านสี่ผู้นี้จริงใจไม่เลว ไม่พูดมาก ทว่าแต่ละประโยคที่เอ่ยออกมาล้วนพูดได้ตรงประเด็น ครั้งนี้หากมิใช่เพราะเขา ไหนเลยข้าจะได้รับโอกาสทำงานนี้ จักต้องเชิญนายท่านสี่ออกไปร่ำสุราสังสรรค์สักวันให้ได้! จะว่าไปแล้ว นายท่านสี่ตระกูลเฉิงแต่งงานแล้วหรือยัง หากเขามิได้มียศเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง แต่งเจ้าหญิงใหญ่ของพวกเราให้เขาก็ไม่เลวเหมือนกันนะ!”
หลี่ซื่อรีบโบกมือติดๆ กันพลางกล่าวว่า “พี่ใหญ่ เรื่องนี้ท่านอย่าได้สอดมือเข้าไปยุ่งโดยเด็ดขาดนะเจ้าคะ เรื่องแต่งงานของนายท่านสี่ฉือ เว้นเสียแต่ว่าท่านอยากให้เจ้าหญิงใหญ่ของพวกเราไปเป็นอนุ ไม่อย่างนั้นก็ห้ามพูดถึงสักคำนะเจ้าคะ!”
นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่หัวเราะร่าพลางกล่าวว่า “ข้ามิได้แค่คิดเล่นๆ เท่านั้นหรอกหรือ ข้าจะให้เจ้าหญิงใหญ่ของพวกเราไปเป็นอนุของคนอื่นจริงๆ ได้อย่างไรเล่า”
หลี่ซื่อโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เร่งให้พี่ชายกลับห้องไปพักผ่อน
ทว่านายท่านใหญ่ตระกูลหลี่กลับตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ลากหลี่ซื่อสนทนาไปครึ่งค่อนคืนแล้วจึงกลับเรือนรับรองแขก
หลี่ซื่ออดทอดถอนใจเล็กน้อยไม่ได้ว่า “ข้าเพียงบอกว่านายท่านสี่ฉือเย็นชากับผู้อื่น กลับนึกไม่ถึงว่าเป็นผู้ที่เบื้องหน้าเย็นชาทว่าใจดีมีเมตตายิ่งคนหนึ่ง
หลี่มามายิ้มพลางพยักหน้าไม่หยุด
วันรุ่งขึ้น หลี่ซื่อเล่าเรื่องที่เฉิงฉือใช้เส้นสายช่วยนายท่านใหญ่ตระกูลหลี่ให้โจวเสาจิ่นฟัง
โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ในภาพจำของนาง ท่านน้าฉือมิใช่ผู้ที่กระตือรือร้นถึงเพียงนั้น
อย่างไรก็ตาม บางทีอาจจะถูกผู้หลักผู้ใหญ่กดคุมอยู่ที่จินหลิง ต่อให้เขามีความตั้งใจก็ไม่อยากทำเรื่องให้ยุ่งยาก
“พรุ่งนี้พวกเราไปขอบคุณท่านน้าฉือเถอะนะเจ้าคะ” ขณะที่โจวเสาจิ่นกล่าว ดวงหน้าก็ซับสีแดงเรื่อจางๆ “ให้ท่านน้าฉือรู้ว่าพวกเราจดจำบุญคุณของเขานะเจ้าคะ”