ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 426 มาถึงจิงเฉิง
นายท่านผู้เฒ่ารองตระกูลเลี่ยวย่อมไม่เชื่อเป็นธรรมดา แต่เฉิงฉือกลับถามอะไรก็ตอบไม่รู้ทั้งสิ้น เขาจึงได้แต่เลิกถามไปอย่างเก้อกระดาก
แม้แต่ตระกูลอย่างตระกูลเลี่ยวยังทราบเรื่องแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่ตระกูลฟาง ตระกูลหยวน ตระกูลหมิ่นหรือตระกูลกู้ตระกูลสามีของเฉิงเจิงจะไม่ทราบเรื่อง
หยวนเหวยชางมิได้กล่าวอะไร ทว่าตระกูลหมิ่นกลับยินดีที่จะเห็นจวนหลักแยกตระกูลได้สำเร็จ
เมื่อแยกตระกูลกันแล้ว หากไม่มีเฉิงสือกับเฉิงเจิ้งที่อายุมากกว่าเฉิงสวี่ เฉิงสวี่ก็จะเป็นคุณชายใหญ่และเป็นหลานชายสายตรงคนโตของจวนหลักแต่เพียงผู้เดียว อนาคตของตระกูลเฉิงก็ควรจะอยู่ภายใต้การดูแลจัดการของเขาโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ทว่าตระกูลฟางกับตระกูลกู้กลับรู้สึกว่าไม่เหมาะสมเท่าใดนัก โดยเฉพาะตระกูลกู้ นายท่านผู้เฒ่าสี่ที่อยู่จิงเฉิงถึงกับเรียกเฉิงเจิงไปสอบถามด้วยตนเอง
เฉิงเจิงได้แต่กล่าวอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ข้าส่งคนไปสอบถามแล้วเจ้าค่ะ อีกไม่กี่วันก็คงจะทราบเรื่อง ถึงตอนนั้นจะมารายงานให้นายท่านผู้เฒ่าทราบอีกทีนะเจ้าค่ะ”
นายท่านผู้เฒ่าสี่ตระกูลกู้เป็นคนค่อนข้างหัวโบราณ พอได้ยินแล้วก็ลูบเคราพลางพยักหน้า กล่าวว่า “จับเสือพี่น้องร่วมมือ ออกศึกพ่อลูกร่วมเคียง[1] พวกเจ้าย่อมรู้ความจริงมากกว่าข้า ข้าก็จะไม่พูดอะไรแล้ว เรื่องบางเรื่องทำลงไปแล้วก็เสมือนสาดน้ำออกไป ยากจะเก็บกลับมาได้อีก ต้องระมัดระวังให้ดีถึงจะถูก”
ต่อหน้าผู้อาวุโส เฉิงเจิงรับคำอย่างพินอบพิเทา ทว่าพอกลับถึงเรือนปีกตะวันออกที่ตนอาศัยกลับรู้สึกร้อนรนเหมือนมีไฟสุม แม้จะเดินวนไปมาอยู่ในห้องสองรอบแต่อารมณ์ก็มิได้สงบลงมาเลยสักนิด จึงไปยังเรือนที่ประตูเฉาหยาง
ใครจะรู้ว่าตั้งแต่เฉิงฉือจนถึงพ่อบ้านฉินจื่อจี๋ กระทั่งปี้อวี้ที่ดูแลเรือนชั้นในต่างไม่อยู่เลยทั้งสิ้น
สาวใช้เด็กที่อยู่เวรในบ้านแจ้งด้วยเสียงสั่นเครือว่า “พ่อบ้านใหญ่ฉินมาจิงเฉิงเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเจ้าค่ะ คืนวันก่อนก็มาถึงทงโจวแล้ว เช้าตรู่วันนี้นายท่านสี่เพิ่งจะได้รับจดหมายแจ้ง นายท่านผู้เฒ่ารอง นายท่านใหญ่ นายท่านรอง ฮูหยินรองและคุณชายรองรั่งล้วนเร่งรุดไปที่ประตูซีจื๋อเจ้าค่ะ…”
เฉิงเจิงทั้งประหลาดใจระคนยินดี ยินดีที่ท่านย่าที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปีมาจิงเฉิง ย่าหลานจะได้พบหน้ากัน นางจะได้แสดงความกตัญญูกตเวทีแก่ท่านย่า และประหลาดใจที่ไม่รู้ว่าท่านย่ามาจิงเฉิงครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับการแยกตระกูลกับตระกูลเฉิงหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าตระกูลกู้คิดว่าจวนหลักไม่ควรพูดถึงเรื่องการแยกจวนเลย… เกรงว่าคงจะมีความคิดเห็นต่างๆ นานาต่อนางผู้เป็นหลานสะใภ้เป็นแน่
ด้านหนึ่งนางส่งคนไปซอยซิ่งหลิน อีกด้านรีบไปที่ประตูซีจื๋อ
เฉิงเจิงไม่พบผู้ใดเลยสักคนที่ประตูซีจื๋อ ทว่าคนที่ส่งไปที่ซอยซิ่งหลินกลับพาหลี่ว์มามาบ่าวข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาพบ
“ต้ากูไหน่ไน!” หลี่ว์มามามิกล้าโอหังเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉิงเจิง คุกเข่าลงหน้าเฉิงเจิงดังตึง น้ำตาก็ร่วงลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้าคิดถึงแย่เลยนะเจ้าคะ! ท่านรีบตามข้าไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเถิด!”
เฉิงเจิงนึกถึงท่านย่าที่อบรมสั่งสอนตนเอง หยาดน้ำตาก็ไหลรินลงมาตามไปด้วย รีบดึงหลี่ว์มามาขึ้นมาแล้วเร่งรุดไปที่ซอยซิ่งหลิน
ซอยซิ่งหลินเป็นเรือนขนาดห้าวงหลังหนึ่ง เฉิงจิงกับเฉิงเว่ยอาศัยอยู่ร่วมกัน มีห้องหนังสือที่ลานชั้นนอกสองห้องสำหรับแต่ละคน ส่วนห้องโถงใช้ร่วมกัน เฉิงจิงอาศัยอยู่ในเรือนหลัก ส่วนเฉิงเว่ยอาศัยอยู่ในลานด้านหลัง เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาถึง ตระกูลเฉิงก็เปิดประตูใหญ่ต้อนรับ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถูกเชิญให้ไปนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่นในห้องโถงของเรือนหลัก หลังจากที่เฉิงจิง เฉิงเว่ย เฉิงฉือ ฮูหยินรองเว่ยและเฉิงรั่งบุตรชายเฉิงเว่ยโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ทุกคนต่างนั่งล้อมรอบฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นเฉิงรั่งที่สุภาพอ่อนโยนยังเขินอายอยู่เหมือนเดิม ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ ดึงตัวเฉิงรั่งไปไถ่ถามเรื่องการเรียนของเขา
พอทราบว่าเฉิงรั่งอ่าน ‘อรรถาธิบายหนังสือทั้งสี่’ จบแล้วรอบหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ยินดีเป็นอย่างมาก กล่าวว่า “ตอนที่ปู่ของเจ้าอายุเท่าเจ้า เพิ่งจะเริ่มอ่าน ‘อรรถาธิบายหนังสือทั้งสี่’ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามสิ่งสำคัญควรอยู่ที่ประสิทธิภาพมิใช่ความรวดเร็ว เจ้าต้องเข้าใจความนัยแฝงใน ‘หนังสือทั้งสี่’ ให้ดีถึงจะถูก หากมีส่วนใดที่ไม่เข้าใจ ก็ถามอาฉือของเจ้าได้ ความเรียงของอาสี่ของเจ้าก็เขียนได้ดีมากเช่นกัน ในปีนั้นยังเคยได้รับคำชมจากท่านปู่ของเจ้าด้วย”
เฉิงรั่งหน้าแดงพลางขานรับว่า “ขอรับ” แล้วมีสาวใช้เด็กเลิกผ้าม่านขึ้นพลางแจ้งว่า “ต้ากูไหน่ไนมาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขอบตาแดงเรื่อ และมิได้สนใจสะใภ้รองที่เอ่ยทักทาย รีบกล่าวว่า “รีบเชิญนางเข้ามาๆ!”
เฉิงเจิงเข้ามาแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว พร้อมกับเอ่ยว่า “ท่านย่า” น้ำตาก็ร่วงเผาะๆ ดั่งสายฝนพรำก็ไม่ปาน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ร้องไห้ตามไปด้วย
เฉิงจิงและคนอื่นๆ ผินหน้าไปทางอื่น
ฮูหยินรองเว่ยก้าวไปช่วยประคองเฉิงเจิงด้วยดวงตาแดงก่ำ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “ต้ากูไหน่ไนอย่าร้องไห้เลย! เจ้าร้องไห้อย่างนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ”
เฉิงเจิงก็รู้ตัวเช่นกัน เพียงแต่น้ำตานี้รินไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่เท่านั้นเอง
นางเช็ดขอบตาสองครั้ง แล้วจึงหยุดร้องไห้ คลี่ยิ้มพลางเอ่ยเรียกว่า “ท่านย่า”
ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ได้รับการปลอบประโลมจากเฉิงฉือก็หยุดร้องไห้แล้วเหมือนกัน เมื่อได้ยินแล้วก็ระบายยิ้มพลางจับมือของเฉิงเจิง ดวงหน้าเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีขณะกล่าวว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามาจิงเฉิง ข้าเพียงกลัวว่าจะรบกวนการงานของพวกเจ้า จึงไม่ได้บอกใครเลยสักคน!”
เฉิงเจิงย่อมบอกไม่ได้ว่าผู้อาวุโสของตระกูลกู้ทราบเรื่องที่ตระกูลเฉิงต้องการแยกตระกูล นางอยากมาสอบถามสถานการณ์ จึงตอบยิ้มๆ ว่า “ข้าไม่มีอะไรทำเลยคิดจะไปเยี่ยมท่านอาฉือ ถึงได้ทราบว่าท่านมาจิงเฉิงเจ้าค่ะ!”
“เห็นได้ว่าต้ากูไหน่ไนของพวกเรากับท่านแม่มีวาสนาต่อกันนะเจ้าคะ!” ฮูหยินรองเว่ยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเย้าแหย่ “จู่ๆ นึกอยากมาเยี่ยมขึ้นมา ก็บังเอิญพบว่าท่านแม่มาจิงเฉิง… วันนี้ต้ากูไหน่ไนต้องรีบกลับไปหรือไม่ ไม่อย่างนั้นก็รั้งกินมื้อเย็นที่นี่เถอะ”
เฉิงเจิงพยักหน้าหงึกหงัก ส่งบ่าวรับใช้ไปรับบุตรชายกู้หนิงกับกู้จงมา จากนั้นก็ส่งจดหมายแจ้งกู้ซวี่ที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการว่า ท่านย่ามาแล้ว!
บ่าวรับใช้ขานรับติดๆ กัน แล้วออกจากเรือนหลักไป
เฉิงจิงก็รีบจัดห้องหับให้มารดา
“พวกเจ้าไม่ต้องลำบากขนาดนี้หรอก” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ “ข้าเพียงมาจิงเฉิงเพื่อผ่อนคลายจิตใจเท่านั้น วันนี้พักอยู่ในเรือนรับรองแขกก็แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะไปดูเรือนที่ประตูเฉาหยางของเจ้าสี่และพักอยู่ที่นั่นสักสองสามวัน”
เฉิงเว่ยสองสามีภรรยาส่งสายตาให้กันและกัน
เฉิงจิงเอ่ยขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ท่านแม่นั่งรถม้ามาตลอดทางคงจะเหนื่อยล้า ไม่สู้พักอยู่ที่นี่สักสองสามวันแล้วค่อยไปดีกว่านะขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาจิงเฉิง จะต้องเยี่ยมเยียนพบปะเครือญาติที่อาศัยอยู่ในจิงเฉิง เขาเป็นบุตรชายคนโต ควรจะปรนนิบัติดูแลมารดา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย้ายไปอยู่ที่ประตูเฉาหยาง ถ้าหากบรรดาญาติๆ มาเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ต้องไปที่ประตูเฉาหยางทางด้านโน้น อีกทั้งหยวนซื่อกำลังโวยวายจะแยกตระกูลที่บ้านเกิดอยู่ กลัวว่าคนที่มีเจตนาจะคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับหยวนซื่อแม่สามีและบุตรสะใภ้คู่นี้ไม่ลงรอยกัน
ขณะที่กล่าว เขาก็ส่งสายตาให้เฉิงเว่ย
บุ้ยใบ้ให้เฉิงเว่ยช่วยเกลี้ยกล่อมมารดา
เฉิงเว่ยไม่กล้าเอ่ยคำใด
มารดาปกปิดพวกเขาเรื่องที่มาจิงเฉิงกะทันหัน ซ้ำยังพาพ่อบ้านใหญ่ฉินมาด้วย แปดถึงเก้าในสิบส่วนจะต้องมาด้วยเรื่องการแยกตระกูล ไม่ว่ามารดาจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เขายังไม่ทันได้พูดคุยกับมารดา ตอนนี้จึงไม่กล้าพูดส่งเดชออกไป
เขามองไปทางเฉิงฉือ
หลายปีมานี้จื่อชวนอยู่ที่จินหลิงดูแลมารดา ทั้งยังเป็นบุตรชายคนเล็ก ในใจมารดานึกคิดอะไร เขาควรจะรู้แจ่มชัดที่สุด ต่อให้ไม่รู้แจ่มแจ้ง อย่างน้อยหากเขาพูดอะไรผิดมารดาก็จะไม่โกรธเคืองอย่างแน่นอน
เฉิงฉืองงงันยิ่งนัก
เหตุใดจู่ๆ มารดาถึงอยากมาอยู่ที่เรือนประตูเฉาหยางหรือ
หรือว่าอยากจะพูดกับเขาด้วยเรื่องของโจวเสาจิ่นกันนะ
เฉิงฉือก้มหน้าคางชิดอกยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้สนใจเฉิงเว่ยเลยสักนิด
ตอนที่เขาออกจากบ้านได้ให้คนนำจดหมายไปให้โจวเสาจิ่น เพียงบอกว่าตนติดธุระ วันนี้ไม่อยู่บ้าน นางจะได้ไปแล้วไม่คอยเก้อ
ช่วงนี้เด็กน้อยมาเล่นในห้องหนังสือของเขา
จู่ๆ บอกให้นางไม่ต้องมา ก็ไม่รู้ว่าเด็กน้อยจะรู้สึกเบื่อหรือไม่กันนะ!
เฉิงเว่ยลอบบ่นในใจ ได้แต่ทำทีเป็นไม่เห็นสายตาที่เฉิงจิงส่งมา บอกกับภรรยาว่า “ท่านแม่มาแล้ว เจ้าต้องส่งคนไปแจ้งเซียวเจี่ยเอ๋อร์กับเซิงเจี่ยเอ๋อร์สักหน่อยถึงจะถูก ทางด้านห้องครัวก็ต้องไปดูด้วย ประเดี๋ยวต้าหลุนพวกเขามาแล้วพวกเราก็ยกสำรับมาวาง ท่านแม่ ท่านว่าอย่างไรขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า พลางตอบว่า “ตอนนี้เย็นแล้ว พรุ่งนี้ค่อยส่งจดหมายไปแจ้งเซียวเจี่ยเอ๋อร์กับเซิงเจี่ยเอ๋อร์ทางด้านโน้นดีกว่า ส่งพ่อบ้านไปบอกสักหน่อยก็ได้แล้ว เรื่องนี้ก็มอบหมายให้รั่งเกอเอ๋อร์แล้วกัน รั่งเกอเอ๋อร์ เจ้าทำได้หรือไม่”
เฉิงรั่งรีบก้าวมารับคำ ดวงหน้าแดงก่ำจนแทบจะหลั่งโลหิตออกมาได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มร่าพลางกล่าวว่า “รั่งเกอเอ๋อร์อายุไม่น้อยแล้ว ถึงวัยที่ควรจะจัดการธุระต่างๆ ได้แล้ว”
เฉิงเว่ยและคนอื่นๆ รีบน้อมกายขานรับ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เอ่ยว่า “สำหรับเรื่องในครัว ให้บ่าวหญิงในครัวไปดูก็ได้แล้ว ร่างกายของสะใภ้รองไม่ค่อยดีนัก รีบกลับเรือนไปผลัดอาภรณ์ เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายตัวสักหน่อยแล้วมาสนทนาเป็นเพื่อนพวกข้าก็แล้วกัน พวกเจ้ามีธุระอะไรก็ไปจัดการเรื่องของตนเองเถอะ ประเดี๋ยวต้าหลุนพวกเขามาแล้ว ค่อยยกสำรับไปวางในห้องโถง”
ฮูหยินรองเว่ยได้ยินแล้วน้ำตารื้นชื้นขอบตา
นางแต่งงานมาได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว นางให้กำเนิดบุตรยาก ครรภ์แรกๆ ล้วนแท้งบุตรทั้งหมด ไม่ง่ายเลยกว่าจะให้กำเนิดเฉิงเซิงกับเฉิงรั่ง หรือเพราะเหตุนี้ ตั้งแต่เล็กเฉิงรั่งจึงมีร่างกายอ่อนแอเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่บ่อยๆ ด้านการเรียนก็มิได้เฉลียวฉลาดเท่าเฉิงสวี่ แต่แม่สามียังคงเมตตานางอยู่เสมอ นอกจากจะไม่บ่นว่าสักคำ ตอนที่นางกล่าวโทษตนเองก็ยังปลอบประโลมนาง หลังจากที่เฉิงเว่ยมารับราชการในจิงเฉิงก็ยังส่งนางกับบุตรชายมาอยู่กับเฉิงเว่ยที่จิงเฉิงกันพร้อมหน้า และเก็บเฉิงเซิงที่สดใสมีชีวิตชีวามาดูแลอยู่ข้างกายอีกด้วย…
“ท่านแม่!” ฮูหยินรองเว่ยจับแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วสะอื้นไห้ขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าสบายดี เจ้าไม่ต้องร้องแล้ว…”
ฮูหยินรองเว่ยตกใจสะดุ้งโหยง พยายามกลั้นน้ำตา พลางเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจว่า “ท่านแม่”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็หัวเราะพลางตบมือของนาง กล่าวว่า “เอาละๆ ข้ารู้ว่าเจ้ามีความกตัญญู พวกเจ้าทุกคนไปเถอะ! ข้าจะคุยกับเจิงเจี่ยเอ๋อร์”
บรรดาบุตรชายกับหลานชายต่างพากันออกจากห้องรับแขกในเรือนหลัก
ครั้นออกจากห้องโถงแล้ว เฉิงจิงก็บ่นขึ้นว่า “ท่านแม่อยากจะไปอยู่ที่ประตูเฉาหยาง ก็ไม่ช่วยเกลี้ยกล่อมให้สักหน่อย ทางด้านโน้นว่างเปล่าไร้ผู้คน อีกทั้งเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ใหม่ที่เพิ่งเข้าเรือนมา จะปรนนิบัติมารดาให้ดีได้อย่างไร”
เฉิงเว่ยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
เฉิงฉือก็กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “มิใช่ว่าพี่สะใภ้โวยวายจะแยกตระกูลหรือ ข้าก็เห็นแก่จวนหลักของพวกเรา ท่านแม่ถูกท่านผู้นำตระกูลจวนรองบีบบังคับให้ไม่มีทางเลือก ได้แต่วิ่งหนีมาจิงเฉิง ทั้งรู้สึกวิตกกังวลและขุ่นเคือง คิดว่าคงจะไม่มีหน้าไปพบบรรดาญาติๆ เหล่านั้น จึงไปอยู่ที่บ้านของบุตรชายคนเล็กอย่างเงียบๆ ประเดี๋ยวพวกเราจ่ายเงินให้จวนรองแล้ว ก็ยืนยันชื่อเสียงของจวนรองว่าไร้เมตตาและความเป็นธรรมได้พอดี นี่ก็ดีกว่ามิใช่หรือ”
เรือนที่ซอยซิ่งหลินก็เล็กเกินไปจริงๆ
นอกจากนี้ยังต้องจัดพื้นที่สำหรับเป็นเรือนหอให้เฉิงเจียซ่านอีก
หนำซ้ำมารดาเป็นหญิงหม้าย วันที่เฉิงเจียซ่านแต่งงานย่อมมิอาจอยู่ในเรือนหลักได้
จะให้นางย้ายไปอยู่ที่เรือนด้านหลังอย่างนั้นหรือ
ทั้งชีวิตของมารดาล้วนไม่เคยได้รับความอยุติธรรมเช่นนี้มาก่อน
ไม่มีเหตุผลที่บุตรชายสองสามคนที่ล้วนโตกันหมดแล้วต้องมาผิดใจกันด้วยเรื่องเล็กน้อยถึงเพียงนี้
เฉิงฉือกล่าวว่า “ท่านแม่ก็คิดเผื่อพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ บ้านสามีของเจิงเจี่ยเอ๋อร์ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้เป็นที่สุด”
เฉิงจิงหน้าแดงเถือก กระซิบว่า “เรื่องแยกตระกูลนั้นอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว”
“ใช่แล้ว!” เฉิงฉือกล่าว “แผ่นดินนี้เมื่อรวมกันนานแล้วย่อมต้องแยกกัน เมื่อแยกกันนานแล้วย่อมต้องรวมกัน นับประสาอะไรกับตระกูลต่างๆ เล่า! ข้าไม่รู้ว่าพี่ใหญ่ลำบากใจด้วยเรื่องอะไร”
เฉิงจิงยิ้มแก้เก้อ
เฉิงเว่ยรีบดึงตัวเองออกจากโคลน กล่าวกับเฉิงฉือว่า “ในเมื่อเจ้าก็คิดว่าดี เช่นนั้นก็ให้พี่สะใภ้รองของเจ้าตามไปปรนนิบัติท่านแม่ก็แล้วกัน”
พี่สะใภ้รองก็เป็นคนที่มีลักษณะนิสัยอ่อนโยนคนหนึ่งเช่นเดียวกัน ให้พี่สะใภ้รองกับเด็กน้อยได้มีปฏิสัมพันธ์กันก่อนแต่เนิ่นๆ ภายหลังเด็กน้อยแต่งเข้ามาแล้วก็จะได้มีสหายผู้หนึ่ง
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่สะใภ้รองจะไปหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ให้รั่งเกอเอ๋อร์ไปปรนนิบัติต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่ควรทำ ท่านแม่มิได้พูดไว้หรอกหรือว่ารั่งเกอเอ๋อร์ถึงวัยที่ควรจะจัดการธุระเป็นแล้ว บ่าวไพร่ทางด้านโน้นมีน้อยพอดี จะได้ให้รั่งเกอเอ๋อร์ไปวิ่งเต้นเป็นธุระให้ท่านแม่”
………………………………………………………………….
[1] จับเสือพี่น้องร่วมมือ ออกศึกพ่อลูกร่วมเคียง หมายความว่า หากครอบครัวสมัครสมานสามัคคี กระทำสิ่งใดๆ ก็จะประสบความสำเร็จ