ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 427 สหายเก่าแก่
เฉิงเว่ยประหลาดใจเล็กน้อย
คนเป็นปู่ให้ความสำคัญกับหลานชายคนโต แต่บิดามารดารักใคร่เอ็นดูบุตรชายคนเล็ก
เขาเป็นบุตรชายคนกลางที่มีอุปนิสัยอ่อนโยนผู้นั้น บุตรชายที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้รับมาทั้งมิได้เป็นบุตรที่โดดเด่นเหนือผู้อื่น หนำซ้ำหยวนซื่อยังเป็นคนที่ชอบเอาชนะคนอื่นผู้หนึ่ง เขาจึงมิได้เรียกร้องอะไรมากจากบุตรชาย
ทว่าผู้เป็นพ่อเป็นแม่ย่อมเป็นห่วงบุตรไปตลอดชีวิต อย่างไรก็หวังว่าตอนที่ไม่มีตนคอยดูแลลูกๆ จะมีชีวิตที่ดีได้
หากได้รับการชี้แนะจากมารดา การปฏิบัติตัวกับผู้อื่นและจัดการธุระต่างๆ ของบุตรชายย่อมต้องก้าวหน้ามากขึ้นอย่างแน่นอน
เฉิงเว่ยรีบตอบตกลงในทันที
เฉิงฉือมิได้กล่าวอะไรอีก
เฉิงจิงคิดอยู่เสมอว่าหากตระกูลอยากจะเจริญรุ่งเรือง คนรุ่นก่อนต้องอุ้มชูคนรุ่นหลัง
หากเฉิงรั่งมีวาสนานี้ สองพี่น้องร่วมมือร่วมใจกันได้ คนข้างนอกก็ต้องมองตระกูลเฉิงเพิ่มมากขึ้นเป็นแน่
เขาจึงเห็นด้วยกับข้อเสนอของเฉิงฉือเป็นอย่างมาก
สามพี่น้องก็ไปดื่มชาเป็นเพื่อนเฉิงเซ่าที่ห้องหนังสือเรือนชั้นนอก
ภายในห้อง เฉิงเจิงไถ่ถามเรื่องการแยกตระกูล
สุดท้ายหญิงสาวที่ออกเรือนไปแล้ว ด้านหนึ่งคือบ้านสามี อีกด้านหนึ่งคือบ้านเดิม ไม่ว่าจะเป็นหน้ามือหรือหลังมือล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขทั้งสิ้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องไปยุ่ง หากคนของตระกูลกู้ซักถาม เพียงบอกว่าไม่รู้ก็แล้วกัน”
ในใจของเฉิงเจิงเต็มไปด้วยความขมขื่น
ไม่ว่าตระกูลนี้จะแยกตระกูลสำเร็จหรือไม่ กลัวว่าข้อกล่าวหาของต้นเหตุการแยกตระกูลนี้คงจะตกกับฮูหยินหยวนมารดาของนางเป็นแน่
แต่นางก็รู้ดีว่า ถึงพูดตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
เฉิงเจิงจับมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้วสะอื้นไห้ขึ้นมาว่า “อุปนิสัยของมารดาข้าก็รู้ดี ไม่ต้องพูดถึงข้า แม้แต่ท่านก็ยากจะเกลี้ยกล่อมนางได้… แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นมารดาของข้า ข้าจะมองนางโดยไม่ไยดีเลยไม่ได้ อย่างอื่นข้าก็มิกล้าคาดหวังนัก ขอเพียงท่านย่าเห็นแก่เจียซ่านว่ามีฐานะเป็นหลานชายคนโตของท่าน ก็โปรดช่วยเขาด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้เอ่ยคำใดกว่าครู่ใหญ่
หลังจากหยวนซื่อแต่งเข้ามาแล้วให้กำเนิดเฉิงเจิงบุตรสาวคนโตในปีนั้น หลายปีต่อมาก็มิได้ตั้งครรภ์อีกเลย นางจึงไปไหว้พระบนบานกับเทพ ปรากฏว่ากลับให้กำเนิดบุตรสาวอีกคนหนึ่ง ในใจของนางย่อมร้อนรนเหลือหลาย นอกจากจะไปหาหมอขอยาบำรุงแล้ว ก็ยังไปทำบุญตามวัดแต่ละแห่งอีกด้วย ไหนเลยจะมีใจหรือเวลามาดูแลบุตรสาวทั้งสอง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้วก็รับเฉิงเซิงกับเฉิงเซียวทั้งสองคนมาเลี้ยงดูในเรือน จวบจนหยวนซื่อให้กำเนิดเฉิงสวี่ เฉิงเจิงก็กลายเป็นเด็กสาวน้อยวัยสิบสองขวบแล้ว แม้แต่เฉิงเซียวผู้นั้นก็รู้ความแล้วเหมือนกัน ย่อมต้องใกล้ชิดกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวมากกว่าหยวนซื่อเป็นธรรมดา หลายปีแรกหยวนซื่อยุ่งอยู่กับการเลี้ยงดูเฉิงสวี่ผู้เป็นทายาทสืบสกุลเพียงคนเดียวผู้นี้ จึงมิได้สนใจบุตรสาว ครั้นมีเวลามาสนใจ เฉิงเจิงก็ออกเรือนไปเสียแล้ว ส่วนเฉิงเซียวก็ต้องพูดถึงเรื่องแต่งงานแล้วเช่นกัน
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใดเฉิงเซียวถึงได้แต่งงานกับหยวนหมิงญาติผู้พี่ของตนเอง
ด้วยเหตุนี้เมื่อถึงคราวของเฉิงสวี่ นางจึงกีดกันฮูหยินผู้เฒ่ากัวราวกับป้องกันขโมยอยู่ก็ไม่ปาน ไม่เพียงมิให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสอดมือยุ่งกับเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มต่างๆ ของบุตรชายแล้ว แม้แต่เรื่องการศึกษาเล่าเรียน ก็มิได้หยิบยืมมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลยสักนิด
แต่ก่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังพูดแนะนำอยู่บ้าง ให้นางอย่ามุ่งเน้นแต่การศึกษาของบุตร แต่ต้องให้บุตรได้เดินออกไปบ้างจะได้มีจิตใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่และมีความรับผิดชอบ
หยวนซื่อรับปากสัญญา ทว่าพอหมุนกายออกไปก็ยังคงทำตามความคิดเห็นของตนอยู่เช่นเดิม
ทว่าการเล่าเรียนของเฉิงสวี่กลับยอดเยี่ยมยิ่ง เมื่อผู้อื่นเอ่ยถึงก็ต้องยกนิ้วโป้งชมว่าดี แม้แต่จิงเฉิงที่อยู่คั่นกลางระหว่างทั้งสองคนก็รู้สึกลำบากใจเหลือล้น
ยังเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากวนจากจวนสี่ที่ปลอบฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นการส่วนตัวประโยคหนึ่งว่า บุตรหลานล้วนมีความสุขเป็นของตนเอง สอดมือยุ่งมากจนเกินไปจะกลายเป็นศัตรูไปเสีย ในตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังทุกข์ร้อนใจด้วยเรื่องของเฉิงฉือพอดี จึงได้วางมือลงอย่างช่วยไม่ได้ แล้วไปมาหาสู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ตอนนี้เฉิงเจิงมาขอร้องให้นางดูแลเฉิงสวี่ เป็นไปได้ว่าคงขบคิดมาแล้วว่าหยวนซื่อออกมาก่อเรื่องวุ่นวายขนาดนี้ สุดท้ายเป็นเพราะขาดคุณธรรมที่สตรีพึงมี หากนางเอ่ยปากอีกครั้งว่าจะเลี้ยงดูสั่งสอนเฉิงสวี่แทน ในตอนนี้ไม่ว่าหยวนซื่อหรือเฉิงจิงย่อมมิกล้าเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ ออกมา
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสียใจจากความผิดหวังไปแล้ว ไม่อยากดูแลใครแทนอีกแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงพูดถึงว่านางเลี้ยงดูฟูมฟักเฉิงเจิงกับเฉิงเซียวจนเติบใหญ่ ก็พอจะกล่าวได้ว่าพวกนางกตัญญูกตเวทีต่อนาง แต่หากว่านางเกิดความหมางใจกับหยวนซื่อขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าพวกนางคงจะเอนเอียงไปทางหยวนซื่อมากกว่าเล็กน้อย แต่ก็มิใช่จะบอกว่าเด็กเหล่านี้ผิดแต่อย่างใด ทว่านี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ผู้ใดก็หลีกเลี่ยงมิได้
อีกทั้งนางมิได้ไม่มีบุตรชายเสียหน่อย
เจ้าใหญ่ให้นางอยู่ที่นี่ เจ้ารองกับเจ้าสี่ล้วนไม่ได้ว่าอะไร!
เห็นได้ว่าผู้ใดเป็นผู้ให้กำเนิดก็สนิทชิดเชื้อกับผู้นั้น หาไม่แล้วเหตุใดตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันนี้ถึงต้องโต้เถียงกันด้วยเรื่อง ‘บุญคุณผู้ให้กำเนิด’ กับ ‘บุญคุณผู้เลี้ยงดู’ เล่า
ด้วยความฉลาดปราดเปรื่องและความเข้าใจที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่ากัวของเฉิงเจิง ย่อมคาดเดาความคิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้สี่ถึงห้าส่วน
นางไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้เอ่ยปากก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านย่า ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ทำให้ท่านลำบากใจมากเช่นกัน ข้าไม่กล้าขอให้เจียซ่านเป็นผู้ที่โดดเด่นเหมือนบิดา ท่านอารอง หรือท่านอาสี่เช่นนั้นได้ เพียงหวังว่าเขาจะเป็นคนเอาการเอางาน ท่านเห็นว่าเขายังมีผู้ช่วยคนหนึ่ง ท่านช่วยย้ำเตือนชี้แนะเขาสักเรื่องสองเรื่องนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนึกถึงดวงหน้าที่แต่ก่อนเปล่งประกายสดใสดุจดั่งกลางฤดูคิมหันต์ทว่าตอนนี้กลับเหงาหงอยราวหิมะ สุดท้ายใจของนางก็ทนไม่ได้ ถอนหายใจยาวอย่างห้ามไม่อยู่พร้อมกับเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวเจียซ่านมาจิงเฉิงแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถอะ!”
เฉิงเจิงเห็นว่าน้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัวผ่อนคลายลงบ้าง ก็รู้สึกดีใจเหลือแสน จับมือของฮูหยินผู้เฒ่ากัวขณะกล่าวขอบคุณไม่หยุด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้วก็คลี่ยิ้มขึ้นมาตามไปด้วย กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เจ้าเด็กโง่ ทำให้เจ้าลำบากใจแล้ว!”
“ขอเพียงทั้งครอบครัวใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและปรองดองกันได้ จะบอกว่าได้รับความลำบากใจได้อย่างไรกันเจ้าคะ” เฉิงเจิงกล่าวยิ้มๆ “อีกอย่างท่านย่าเป็นอิสตรีที่โดดเด่นไม่เป็นรองบุรุษผู้หนึ่ง หากได้รับการสั่งสอนจากท่าน จะต้องดีกว่าท่านพ่อเป็นแน่เจ้าค่ะ…”
นางหลอกล่อฮูหยินผู้เฒ่ากัว แม้แต่ฮูหยินรองเว่ยที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้ามาพอได้ยินแล้วก็ระบายยิ้มออกมา
ทั้งสามคนพูดคุยเรื่องการเลี้ยงดูบุตรอีก จนกระทั่งมีสาวใช้เด็กมาแจ้งว่ากู้ซวี่มาถึงแล้ว บทสนทนาถึงได้หยุดลง แล้วบอกให้สาวใช้เด็กนำกู้ซวี่กับบุตรชายทั้งสองคนเข้ามาทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากัว
***
ทว่าโจวเสาจิ่นที่อยู่ซอยอวี๋เฉียนกลับนั่งไม่ติดกับที่เล็กน้อย
วันนี้เฉิงฉือติดธุระมาอยู่เป็นเพื่อนนางไม่ได้ อีกทั้งหลี่ซื่อกำหนดวันที่หนึ่งเดือนหกเป็นวันออกเดินทางกลับเป่าติ้ง บอกว่ามิอาจพลาดงานวันคล้ายวันเกิดของโจวเจิ้นได้
ไม่ง่ายเลยกว่าที่นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่จะหาโอกาสพูดคุยกับขันทีน้อยคนหนึ่งที่ปรนนิบัติหลิวหย่ง ขอให้เขานำความไปแจ้งหลิวหย่งว่า เขาปรารถนาจะเป็นตัวแทนการค้าของราชสำนัก
หากองค์ฮ่องเต้ไม่โปรดปรานขันที ขันทีข้างกายล้วนถูกข่มขี่อย่างหนัก ต่อให้หลิวหย่งเป็นมหาขันทีสนองพระโอษฐ์เมื่อกระทำการใดๆ ก็ไม่กล้าทำตามอำเภอใจอยู่ดี
แต่ก่อนเขาเคยทำงานในสำนักสุรา ในเวลาสิบกว่าปี ทางด้านนั้นล้วนเป็นคนของเขาหมด เขาจึงสอบถามตระกูลหลี่ว่ามีธุรกิจค้าสุราหรือไม่ หากว่ามี เขาก็จะช่วยพูดให้ได้
ตระกูลหลี่มีโรงบ่มสุราพอดี หนำซ้ำยังมีขนาดใหญ่มากอีกด้วย มิใช่แค่ที่จิ่วเจียงเท่านั้น แม้แต่ที่เจียงซีก็มีชื่อเสียงหลายส่วนด้วยเช่นกัน
นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่เป็นคนทำมาค้าขาย หลังจากเสร็จสิ้นพิธีฉลองครบร้อยวันของกวนเกอได้ไม่กี่วันเขาก็หารือเรื่องส่งมอบสุรากับคนของโรงบ่มสุราแล้ว
หาไม่แล้วหลี่ซื่อก็คงไม่รอถึงเดือนหกแล้วจึงออกเดินทางหรอก!
นายท่านใหญ่ตระกูลหลี่อยากจะร่วมเดินทางไปกับพวกนาง จากนั้นก็ไปเยี่ยมเยียนโจวเจิ้นที่เป่าติ้งด้วยกัน แล้วเล่าถึงความเอื้อเฟื้อของเฉิงฉือให้โจวเจิ้นฟัง เขารู้กระจ่างแจ้งแก่ใจ หากไม่มีตระกูลโจว ตระกูลเฉิงคงจะไม่ชายตาแลมองเขาแม้แต่น้อย
แม้โจวเสาจิ่นจะทำงานเย็บปักแต่ก็มิอาจสงบใจลงได้ นางจึงวางงานเย็บปักลงเสีย เอนอิงบนหมอนอิงใบใหญ่ริมหน้าต่างขณะมองดูดอกซีฝู่ไห่ถังที่เพิ่งปลูกได้ไม่นานหน้าขั้นบันไดอย่างใจลอย
ไม่รู้ว่าท่านน้าฉือไปทำอะไรกันนะ
แต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นมังกรเทพที่เห็นหัวไม่เห็นหาง ออกบ้านไปหลายวันเพื่อทำมาค้าขาย…
นางเสียใจเล็กน้อยที่มิได้ซักถามสาวใช้ที่มาแจ้งข่าวเป็นประจำให้ดี
อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าท่านน้าฉือกลับมาเมื่อไร!
โจวเสาจิ่นกระหวัดนึกถึงเฉิงฉือที่โอบกอดนางจากข้างหลังขณะสอนนางเข้าม้วนภาพขึ้นมา
ดวงหน้าของนางพลันเห่อร้อนขึ้นมาในทันใด ในใจลอบสบถใส่เฉิงฉือคำหนึ่ง ครุ่นคิดว่า คนผู้นั้นชอบแตะเนื้อต้องตัวนางเสียเหลือเกิน นางรอคอยให้เขากลับมาได้อย่าง หากเขาไม่กลับมา นางจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสักพักหนึ่ง ทบทวนสิ่งที่เขาสอนมาให้ดีได้บ้าง
แม้จะรู้แจ้งแก่ใจ เพียงแต่มิอาจหักห้ามใจไม่ให้ไปคิดถึงได้!
นี่คงจะเป็นเพราะความรู้สึกหยั่งรากลึกลงไปเสียแล้ว!
ขณะที่โจวเสาจิ่นขบคิดอยู่นั้น ดวงหน้าก็แดงเถือกยิ่งขึ้น
มีก้อนหินก้อนเล็กกระทบกระจกหน้าต่างดังตุบๆ
โจวเสาจิ่นมิได้สนใจ
แต่ก้อนหินนั้นกลับกระทบบนกระจกหน้าต่างเป็นพักๆ เหมือนมีเด็กน้อยจอมแก่นที่กำลังเล่นสนุกอยู่อย่างนี้ก็ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นย่นหัวคิ้ว บอกให้จี๋เสียงออกไปดู
จี๋เสียงหมุนกายออกไปดูรอบหนึ่ง แต่ไม่เห็นอะไร
เสียงดัง ตุบๆ นั้นก็ไม่ได้ยินแล้วเหมือนกัน
พอจี๋เสียงเข้ามา เสียง ตุบๆ นั้นกลับดังขึ้นอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นบอกให้จี๋เสียงไปเรียกผู้คุ้มกันเรือนมา จู่ๆ ข้างนอกหน้าต่างก็มีดวงหน้าสะคราญโผล่ออกมา ดวงหน้าสะคราญนั้นยังมีรอยแง่งอนแต้มบนใบหน้า ขณะกล่าวว่า “เสาจิ่น ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไรกันแล้ว ทำไมไม่มีท่าทางของเด็กน้อยหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ข้าโยนก้อนหินไปมากมายขนาดนั้น เจ้าไม่แม้แต่จะฉงนสงสัยเลยสักนิด ไม่ออกมาตรวจดูก็พอว่า ยังให้สาวใช้เด็กไปเรียกผู้คุ้มกันเรือนมาอีกนะ…”
“จี๋อิ๋ง!” โจวเสาจิ่นทั้งประหลาดใจและดีใจ ผลักบานหน้าต่างที่เดิมปิดเอาไว้ออก แล้วรีบกล่าวว่า “เจ้ามาถึงจิงเฉิงเมื่อใด ก่อนหน้านี้ท่านน้าฉือยังบอกว่าเจ้าใกล้จะมาแล้ว แต่เจ้ากลับไม่มาเลย ตอนนี้เจ้าได้กลับบ้านแล้วหรือยัง บิดากับพี่ชายและพี่สะใภ้ของเจ้าดีกับเจ้าหรือไม่”
นางยิงคำถามเป็นชุดราวกับประทัดก็ไม่ปาน
จี๋อิ๋งเม้มปากกลั้นยิ้ม รอให้นางถามเสร็จถึงได้กล่าวเลี่ยงคำถามไปว่า “เจ้ารู้เรื่องของข้าหมดแล้วหรือ”
โจวเสาจิ่นงงงวยเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “รู้เรื่องอะไร”
พวงแก้มของจี๋อิ๋งซับสีแดงเรื่อคล้ายเมฆยามสนธยาขึ้นมา แล้วยืนพูดกับโจวเสาจิ่นอยู่ข้างนอกหน้าต่างอย่างนั้นว่า “…ที่บ้านอยากให้ข้าแต่งงานกับฉินจื่อผิง ข้าไม่ยินยอม… ฉินจื่อผิงไอ้สารเลวนั่นกลับตอบตกลง เขาเคยรับปากข้าว่าจะปฏิเสธงานแต่งนี้ แต่ใครจะรู้ว่าพอเขาหมุนกายไปก็วิ่งหนีไปเสียแล้ว พวกข้าสองตระกูลต่างหารือเรื่องสินสอดทองหมั้นกันแล้ว ข้าก็ถูกกักตัวอยู่ในโรงตัดเย็บ ไม่ง่ายเลยกว่าจะหนีออกมาได้…
…ครั้งนี้ข้าเพียงตามหาฉินจื่อผิงเพื่อคิดบัญชี…
…ดูว่าเหตุใดเขาถึงต้องตระบัดสัตย์…
…ปรากฏว่าท่านน้าฉือของเจ้าไม่อยู่บ้าน...
…เสาจิ่น เจ้าได้ยินข่าวคราวของฉินจื่อผิงมาบ้างหรือเปล่า”
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ข้าจะช่วยถามท่านน้าฉือให้เจ้าก็แล้วกัน!” แล้วเกลี้ยกล่อมนางอีกว่า “ข้าคิดว่าฉินจื่อผิงนั้นดียิ่ง เจ้าไม่ชอบเขาขนาดนั้นเชียวหรือ”
จี๋อิ๋งหน้าแดงเรื่อแต่มิได้ตอบอะไร เพียงกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าช่วยสอบถามข่าวคราวของฉินจื่อผิงให้ข้าก็แล้วกัน”
เห็นโจวเสาจิ่นพยักหน้า ก็บ่นขึ้นว่า “จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ล้วนต้องโทษท่านน้าฉือของเจ้า เขาว่างนักเลยมาเป็นพ่อสื่อให้ข้าอย่างนั้นหรือ” แล้วเอ่ยถามอีกว่า “เจ้าคงจะไม่รู้หรอกกระมัง ตระกูลฉินมิได้เป็นบ่าวไพร่ของตระกูลเฉิง ตระกูลของพวกเขาเป็นสามัญชนที่เป็นไท เพียงแต่ช่วยเหลือตระกูลเฉิงในเรื่องต่างๆ มาตลอดเท่านั้น ตอนนี้นอกจากข้าจะหาฉินจื่อผิง ฉินจื่ออันไม่พบแล้ว แม้แต่คนอื่นๆ ในตระกูลฉินก็ไม่เห็นเลยสักคน คราวก่อนตอนที่ข้าพบฉินจื่อผิง เขาบอกว่าคนในตระกูลฉินของพวกเขาอาจจะแยกตระกูลกัน สายของพวกเขาสายนี้กับสายของท่านปู่รองสายนั้นอาจจะกลับบ้านเกิดที่ซื่อชวนไปทำการเกษตร แต่สายของท่านปู่สามของเขานั้นอาจจะรั้งทำงานให้กับตระกูลเฉิงต่อไป เจ้าว่า มิใช่ว่าเขาจะกลับไปบ้านเกิดที่ซื่อชวนอย่างเงียบๆ หรอกหรือ อยากให้ข้าแต่งงานไกลถึงเพียงนั้น ต่อให้เป็นองค์ฮ่องเต้ก็เป็นไปไม่ได้หรอก!”
ทั้งหมดล้วนเป็นถ้อยคำที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัว
เห็นได้ว่าเรื่องแต่งงานนี้มิได้เหมือนกับที่จี๋อิ๋งพูดด้วยความขุ่นเคืองถึงเพียงนั้น
โจวเสาจิ่นกล่าวกับจี๋อิ๋งยิ้มๆ ว่า “ยืนอยู่ที่หน้าต่างคนละฝั่งพูดกันอย่างนี้ช่างเปลืองแรงนัก! เข้ามาดื่มชาสักจอกเถอะ”
จี๋อิ๋งเดินเข้ามา
โจวเสาจิ่นบอกให้สาวใช้เด็กยกน้ำชามา
สาวใช้เด็กเห็นจี๋อิ๋งที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาอยู่ในห้อง ก็ตกตะลึงตาค้าง
……………………………………………………….