ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 429 พร้อมกัน
โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงว่าพี่สาวจะกระตือรือร้นกับเรื่องนี้มากถึงเพียงนี้ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นก็อุ้มกวนเกอวิ่งมาหาด้วยตัวเองแล้ว เห็นโจวเสาจิ่นแล้วยังกล่าวอย่างเคืองๆ ด้วยว่า “เจ้าก็ช่างไม่รู้ความเสียจริง รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาถึงจิงเฉิงแล้วก็ยังไม่รีบบอกพวกข้าสักคำ ตามหลักแล้วพวกเราควรจะไปรอรับนางที่ประตูซีจื๋อด้วยถึงจะถูก”
แม้โจวชูจิ่นจะไม่ชอบเฉิงสวี่ แต่ตอนที่จี๋อิ๋งทุบตีคนไปในเวลานั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่ว่าอะไรเลยสักคำ โจวเสาจิ่นถึงได้ออกมาจากซอยจิ่วหรูและออกมาจากจินหลิงได้อย่างราบรื่น กระทั่งโจวชูจิ่นได้เป็นแม่คนเป็นต้นมาถึงได้เข้าใจเข้าใจความรู้สึกนั้นได้อย่างแท้จริง
ด้วยความเมตตาที่ได้รับในครั้งนั้น นางจึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปตลอดชีวิต
โจวเสาจิ่นยังมิได้เตรียมตัวเรื่องไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีๆ เลย ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเจื่อน พลางกล่าวขึ้นว่า “ข้าเองพอรู้ข่าวก็ส่งคนไปบอกท่านทันทีเลย ฮูหยินผู้เฒ่าแอบมาเงียบๆ ได้ยินว่าเวลานั้นไม่บอกแม้แต่พี่สาวเซียวและพี่สาวเซิง พวกเรายังถือว่าห่างกันอีกหนึ่งขั้นนะเจ้าคะ”
“เรื่องญาติพี่น้องนี้มิใช่ว่าต้องไปมาหาสู่กันบ่อยๆ หรอกหรือ” โจวชูจิ่นไม่เห็นด้วย กล่าวว่า “ต่อให้เป็นญาติสนิทกัน แต่ถ้าไม่ได้ไปมาหาสู่กันเป็นเวลานาน บางคราก็จืดจางลงได้ นอกจากนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอายุมากถึงเพียงนี้แล้ว การมาจิงเฉิงครั้งหนึ่งจึงมิใช่เรื่องง่าย ฮูหยินหยวนยังโวยวายเรื่องจะแยกตระกูลอยู่ที่จินหลิง ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องรู้สึกไม่สบายใจมากเป็นแน่ พวกเราไปเยี่ยมนาง ก็ทำให้นางดีใจขึ้นมาบ้าง”
ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางแล้วจะรู้สึกดีใจหรือไม่ดีใจกันแน่
โจวเสาจิ่นพึมพำอยู่ในใจ
แต่ถึงอย่างไรทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่านั้นก็ต้องไปเยี่ยมอยู่ดี
นางฟังหลี่ซื่อและโจวชูจิ่นปรึกษาหารือกัน “…วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าย้ายไปอยู่บ้านของนายท่านสี่ที่ประตูเฉาหยาง ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้ก็ต้องจัดเก็บข้าวของวันหนึ่ง ไปเยี่ยมวันมะรืนน่าจะเหมาะสมที่สุด ไม่เร็วและไม่ช้าเกินไป แต่ก็ควรจะให้คนนำเทียบไปส่งให้วันนี้จะดีที่สุด หากช้าเกินไป จะทำให้ดูไม่ค่อยให้ความเคารพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!”
โจวชูจิ่นเองก็คิดเห็นตรงกัน กล่าวว่า “ส่วนทางด้านของท่านลุงตระกูลหลี่นั้น ข้าว่าส่งเป็นของขวัญไปพร้อมกับพวกเราก็พอ ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ไม่อาจตรากตรำกับการเข้าสังคมมากนัก เมื่อก่อนตอนอยู่ที่จินหลิงนั้นก็ไม่ค่อยพบปะกับแขกเหรื่อสักเท่าใดนัก ในเมื่อท่านลุงตระกูลหลี่ทำการค้ามาถึงจิงเฉิงแล้ว ต่อจากนี้ไปโอกาสที่ทุกคนจะได้ไปมาหาสู่กันอีกคงมีอีกมาก หลังจากฤดูร้อนไปก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว เกรงว่าวันคล้ายวันเกิดในปีนี้คงต้องเฉลิมฉลองที่จิงเฉิงแล้ว ไม่มีท่านผู้นำตระกูลจวนรองกดข่มเอาไว้ งานวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าคงจะได้จัดอย่างครื้นเครง ถึงเวลานั้นท่านลุงตระกูลหลี่ค่อยไปร่วมดื่มสุราในวันคล้ายวันเกิดน่าจะดีกว่า”
หลี่ซื่อพยักหน้าหงึกๆ ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณโจวชูจิ่น ขอบคุณที่นางช่วยออกความเห็นให้ตน
โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ความจริงข้าเองก็ไม่ได้คิดไกลถึงเพียงนั้น เป็นแม่สามีของข้าที่ช่วยชี้แนะข้าตอนที่ข้าออกจากบ้านมา ตอนนี้สายตาของข้าล้วนผูกติดอยู่กับกวนเกอเอ๋อร์ ไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงไปสนใจเรื่องรอบข้าง” ทั้งยังกล่าวทอดถอนใจว่า “โชคดีที่แม่สามีของข้ามาแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าฮูหยินกลับไป ข้าทางด้านโน้นจะต้องวุ่นวายมากเป็นแน่แล้ว”
ในคำพูดนี้แฝงความรู้สึกยอมรับและขอบคุณความเอาใจใส่ดูแลของหลี่ซื่ออยู่ด้วยเล็กน้อย
หลี่ซื่อได้ยินแล้วกระบอกตารื้นชื้น
ได้ผ่านพ้นความทุกข์ยากของมารดาเลี้ยงไปแล้ว
นอกจากนี้ยังมีบุตรสาวเลี้ยงที่รู้ความและโตเป็นผู้ใหญ่แล้วถึงสองคน
มาถึงวันนี้ ถึงนับได้ว่านางได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลโจวอย่างแท้จริงแล้ว
ตอนที่ทั้งสามคน หรือความจริงแล้วควรจะกล่าวว่าขณะที่หลี่ซื่อและโจวชูจิ่นทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น โจวเสาจิ่นก็เอาแต่ฟังอยู่ข้างๆ เพียงอย่างเดียว สุดท้ายหลี่ซื่อและโจวชูจิ่นตกลงกันว่าจะส่งเทียบไปแจ้งวันนี้ โดยแบ่งเทียบออกเป็นสองใบ ใบหนึ่งเป็นของหลี่ซื่อและโจวเสาจิ่น และอีกหนึ่งใบเป็นของฮูหยินใหญ่เลี่ยวและโจวชูจิ่น ถึงเวลาพวกนางจะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ประตูเฉาหยางพร้อมกัน
หลี่ซื่อส่งโจวชูจิ่นออกจากประตูไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าโจวเสาจิ่นกลับกระวนกระวายใจขึ้นมา
ตอนที่ไปพบฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ควรจะแต่งกายอย่างไรดี
สวมสีแดงก็กลัวว่าจะฉูดฉาดเกินไป ไม่เหมาะกับนิสัยของนาง แต่หากสวมสีชมพู ฮูหยินผู้เฒ่าจะรู้สึกว่านางจืดชืดเกินไป ไม่เหมาะสมกับท่านน้าฉือหรือไม่…นางรื้อตู้ค้นหีบไปทั่วบ้าน ท้ายที่สุดแม้แต่หลี่ซื่อก็ทราบเรื่องด้วย กล่าวแนะนำนางว่า “เจ้าก็สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีเขียวน้ำทะเลที่ทำขึ้นมาเมื่อหลายวันก่อนตัวนั้นกับกระโปรงจีบสีขาว แล้วก็เหน็บดอกมะลิสักหนึ่งมาลาก็ได้แล้ว ทั้งดูงามสง่าแล้วก็สดใสมีชีวิตชีวาด้วย”
โจวเสาจิ่นหลุดยิ้มออกมา
นี่เป็นการแต่งกายที่นางชอบแต่งอยู่เป็นประจำ
ตนกังวลกับเรื่องชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียมากเกินไป ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้การพบหน้ากันในครั้งนี้พังไม่เป็นท่าก็ได้
โจวเสาจิ่นนั่งทำงานเย็บปักอยู่ในบ้านหนึ่งวันเต็มๆ จิตใจถึงได้สงบลงมา วันถัดมาสวมต่างหูไข่มุกใต้เพิ่มมาเพียงหนึ่งคู่เท่านั้น ที่เหลือก็แต่งกายตามหลี่ซื่อกล่าวมาแล้วไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
เนื่องจากบ้านหลังใหญ่ จึงต้องการคนมากตามไปด้วย
หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้ามาอยู่แล้ว บ่าวไพร่เดินขวักไขว่ไปมา บ้านที่ประตูเฉาหยางหลังนี้จึงดูครึกครื้นกว่าเมื่อหลายวันก่อนมาก แล้วก็มีกลิ่นอายของบ้านที่มีคนอยู่อีกด้วย
บางทีอาจเป็นเพราะฮูหยินใหญ่เลี่ยวมาด้วย ฮูหยินรองเว่ยจึงเป็นคนมารอต้อนรับพวกนางอยู่ตรงหน้าประตูเรือนชั้นใน
ปีนี้นางน่าจะมีอายุประมาณสี่สิบเอ็ดปี งดงามและอ่อนหวาน แม้จะผัดหน้าบางๆ ด้วยแป้งและทาตัวด้วยน้ำมันเอาไว้ ทว่าร่างกายที่ซูบผอมและดวงหน้าที่อ่อนล้าก็ยากที่จะปกปิดความเจ็บไข้เอาไว้ได้มิด
แต่โจวเสาจิ่นรู้ดีว่า นางช่างเหมาะกับคำกล่าวที่ว่า ‘ไม้หาบโค้งงอคงทนกว่า[1]’ ประโยคนั้นเหลือเกิน สุขภาพร่างกายของนางไม่แข็งแรง ทว่าบุตรชายบุตรสาวเชื่อฟัง สามีให้เกียรติ ก่อนที่ตระกูลเฉิงจะถูกลงทัณฑ์ทั้งตระกูล นางล้วนมีชีวิตที่ดีมาโดยตลอด
ทุกคนต่างทำความเคารพซึ่งกันและกันอย่างยิ้มแย้ม ฮูหยินใหญ่เลี่ยวคล้องแขนฮูหยินรองเว่ยเอาไว้อย่างสนิทสนม
บิดาของฮูหยินรองเว่ยเป็นสหายร่วมชั้นของนายท่านผู้เฒ่าเฉิงซวินที่ล่วงลับไปแล้ว ส่วนมารดาเป็นบุตรสาวของตระกูลหลี่แห่งเจียงหลู ซึ่งเป็นญาติกับตระกูลฟางบ้านเดิมของฮูหยินใหญ่เลี่ยว
ไปๆ มาๆ…ทุกคนต่างก็เป็นญาติกัน!
โจวเสาจิ่นเดินตามอยู่ด้านหลังสุด บิดผ้าเช็ดหน้าไปมาอย่างกระวนกระวายใจเล็กน้อย เมื่อเห็นปี้อวี้ที่ยืนยิ้มแย้มรอต้อนรับอยู่ตรงเฉลียงทางเดินของเรือนหลัก ก็ถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง ถึงได้รู้สึกว่าอารมณ์ผ่อนคลายขึ้นมาก
ปี้อวี้ก้าวออกมาทำความเคารพทุกคน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ารออยู่ในห้องอย่างใจจดใจจ่อเลยเจ้าค่ะ!” จากนั้นเดินไปเลิกผ้าม่านขึ้นให้พวกนางเดินเข้าไปในบ้าน
เมื่อเปรียบเทียบกับความเคร่งขรึมของโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับดูผึ่งผายสง่างามทว่าก็ไม่ขาดความสบายๆ เป็นกันเอง
เส้นผมของนางถูกม้วนขึ้นเป็นมวยหนึ่งอย่างง่ายๆ ปักปิ่นปักผมทองคำแท้ฝังเพชรไพฑูรย์คู่หนึ่ง สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยกรอมเข่าสีครามลายเมฆมงคลสีเงิน นั่งอยู่บนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่างในห้องรับแขกที่อยู่ทางทิศตะวันตกด้วยสีหน้าอ่อนโยน
พวกนางรีบก้าวออกไปทำความเคารพ
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูอบอุ่นขึ้นมา หันมากวักมือเรียกโจวชูจิ่นพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “อุ้มลูกมาให้ข้าดูสักหน่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่าชอบเด็ก ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้คนชื่นชอบได้มากกว่านี้แล้ว
โจวชูจิ่นรีบไปรับตัวกวนเกอมาจากมือของแม่นมแล้วอุ้มไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับทารกน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน ยิ้มพร้อมกับหยอกเย้ากวนเกอไปสองประโยค
โจวชูจิ่นและคนอื่นๆ ทั้งประหลาดใจและดีใจ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวบอกให้อุ้มทารกน้อยเข้าไปหา พวกนางคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะเพียงมองเด็กน้อยครั้งหนึ่ง แล้วตกรางวัลให้สักสองสามชิ้นเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะอุ้มเด็กน้อยเอาไว้ด้วยตัวเอง…เห็นได้ชัดว่าคงชอบมากจริงๆ
บรรยากาศภายในห้องจึงอบอุ่นและใกล้ชิดกันขึ้นมาหลายส่วน
สายตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกวาดผ่านร่างของโจวเสาจิ่นที่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ด้วยใบหน้าแต้มยิ้มนั้นไปคล้ายกับไม่ได้ตั้งใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าลอบถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
จะว่างดงามก็งดงามจริงๆ ราวกับคนที่แกะสลักมาจากหยกก็ไม่ปาน...แต่เหตุใดหัวใจดวงนี้ของนางถึงได้รู้สึกอึดอัดขนาดนี้กันนะ
เจ้าสี่จะชอบผู้ใดก็ไม่ชอบ เหตุใดถึงไปชอบเจ้าเด็กน้อยผู้นี้ได้
ถึงเวลานั้นคนทั้งครอบครัวต่างกินข้าวหม้อเดียวกัน แล้วเจียซ่านจะทำอย่างไร
นางนึกถึงถ้อยคำที่เฉิงเซ่ากล่าวกับนางเมื่อสองวันก่อนขึ้นมา จื่อชวนอยากแต่งกับผู้ใดข้าคิดว่าล้วนได้ทั้งนั้น…นับตั้งแต่ซวิ่นเกอเอ๋อร์และเจ้าสามจากไปแบบติดๆ กันเป็นต้นมา ข้าก็ยิ่งรู้สึกอยากใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ให้เรียบง่ายมากขึ้น…ทั้งสองคนต่างจากไปอย่างกะทันหันด้วยอาการจับไข้เพราะต้องลมหนาวโดยไม่ตั้งใจ…ชีวิตคนนั้นช่างสั้นนัก ข้ายังจำได้ว่าหนึ่งวันก่อนที่ซวิ่นเกอเอ๋อร์จะเสียนั้น ในมือยังถือหนังสือ ‘คำอธิบายสี่หนังสือแห่งข่งจื่อ’ อยู่เลย บอกว่าแม้จะขอลาหยุดกับสำนักศึกษาสองสามวันแต่ก็ไม่อาจปล่อยปละละเลยไม่ทำการบ้านได้…พอคิดถึงขึ้นมาในตอนนี้ ข้ายังรู้สึกเจ็บปวดใจราวถูกบดขยี้อยู่เลย…
…จื่อชวนเป็นผู้ใหญ่แล้ว การที่เขาทำเช่นนี้แล้วจะเกิดผลตามมาอย่างไรบ้างนั้น ข้าเชื่อว่าเขาเองก็ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว…
…เขาอยากมีชีวิตอย่างไรก็ตามใจเขาเถิด!”
ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรั้งให้เฉิงเซ่าอยู่พูดคุยด้วยนั้น บุตรชายคนโตและบุตรชายคนรองต่างเข้าใจว่าเพื่อพูดคุยเรื่องแยกตระกูลกับจวนรอง ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากที่เฉิงเซ่าทราบเรื่องของเฉิงฉือแล้ว นอกจากจะไม่ช่วยนางเกลี้ยกล่อมให้เฉิงฉือเปลี่ยนความคิดแล้ว กลับเกลี้ยกล่อมให้นางวางมือแทน
ที่เฉิงเซ่ากล่าวมานั้นทำไมนางจะไม่รู้
แต่รู้ก็ส่วนรู้ เพียงนางนึกถึงว่าถ้าโจวเสาจิ่นแต่งเข้ามาที่ตระกูลเฉิงจริงๆ…หลานสาวกลายมาเป็นสะใภ้ แล้วระหว่างพี่สาวน้องสาวทั้งหลายจะเรียกขานกันอย่างไร เจียซ่านน่าสงสารที่สุด…หญิงในดวงใจกลายมาเป็นอาสะใภ้คนเล็กของตัวเอง…นางรู้สึกขนหัวลุก
แยกนกเป็ดยวนยางคู่นี้เสีย?
แต่เจ้าสี่มิใช่เจียซ่าน ตนจะเกลี้ยกล่อมให้แยกได้หรือไม่ก็ไม่รู้
ยิ่งไปกว่านั้นตลอดทั้งชีวิตนี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าสี่ดูกระตือรือร้นต่อเรื่องแต่งงานและเค้นสมองขบคิดมากถึงเพียงนี้…เจ้าเด็กเสาจิ่นผู้นี้ นางเองก็โปรดปรานมากจริงๆ…แต่ขอเพียงมิใช่มาเป็นบุตรสะใภ้ของนาง นางจะต้องเติมหีบสินเจ้าสาวให้นางเป็นจำนวนมากด้วยความยินดีและให้นางได้แต่งงานออกไปอย่างสมเกียรติอย่างแน่นอน!
ควรจะทำอย่างไรนั้น นางแน่วแน่เด็ดขาดมาตลอด แต่กระทั่งได้เจอโจวเสาจิ่น ในใจก็คล้ายกับยังไม่แน่ใจ
บางที นางควรจะหาโอกาสคุยกับโจวเสาจิ่นสักครั้งหนึ่ง?
ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นบุตรชายที่กระตือรือร้นอยู่ฝ่ายเดียวก็เป็นได้
ถึงเวลานั้นถ้าหากนางไม่ตกลง บุตรชายยังจะรั้นแต่งได้อยู่หรือ
แต่ถ้าหากด้วยเหตุนี้ทำให้วาสนาการครองคู่ของบุตรชายถูกทำลายไปจะทำอย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองทารกน้อยอ้วนจ้ำม่ำในอ้อมแขน ใจหนึ่งก็คิดว่า จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งปล่อยให้บุตรชายกระทำตามใจเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าปีหน้าอาจจะได้อุ้มทารกน้อยอ้วนจ้ำม่ำอย่างคนที่อยู่ในอ้อมแขนตอนนี้ผู้หนึ่งก็เป็นได้ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า บุตรชายที่นางอุ้มท้องมากว่าสิบเดือนและคลอดออกมาอย่างยากเย็นนี้ จะปล่อยให้เขากระทำตามใจจนเรื่องวุ่นวายไปเฉยๆ เช่นนี้ได้อย่างไร หากมีข่าวลือเสียหายหรือคำนินทาว่าเขาล่อลวงหลานสาวออกไปแม้แต่นิดเดียว ชีวิตของเขาก็คงจะถือได้ว่าจบสิ้นกันแล้ว…
กระทั่งคืนเด็กให้โจวชูจิ่นและมอบของขวัญพบหน้าให้แล้ว ก็สนทนาปราศรัยกับฮูหยินใหญ่เลี่ยวไปสองสามประโยค ทำให้ฮูหยินใหญ่เลี่ยวโอ้อวดว่าหลานชายของตัวเองน่ารักน่าชังอย่างไร ดื้อรั้นอย่างไร และเฉลียวฉลาดอย่างไรไม่หยุด ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ยังคงตัดสินใจไม่ได้
เช่นนั้นก็คงต้องคอยดูไปทีละก้าวๆ แล้วกระมัง
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกไร้ทางออกเช่นนี้
โจวเสาจิ่นสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีต่อนาง
ดูไปแล้วคล้ายกับว่าเป็นเพราะมีผู้ใหญ่อย่างฮูหยินใหญ่เลี่ยวและหลี่ซื่อทั้งสองคนอยู่ด้วย นางจึงยังไม่ทันได้คุยกันตนก็ไม่ปาน แต่ความจริงแล้วท่าทางที่แสดงออกมานั้นกลับเผยระยะห่างที่เย็นชาออกมาด้วย
ถ้าหากเป็นผู้อื่น โจวเสาจิ่นคงไม่เก็บมาใส่ใจ
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนที่หากดูแคลนเจ้าก็จะมองข้ามเจ้าเสมือนเจ้าไร้ตัวตน แต่ถ้าโปรดปรานเจ้าก็จะแสดงออกมาให้เห็นโดยไม่ต้องระแวดระวัง การที่มีท่าทีกับนางเช่นนี้ อย่างไรก็ให้ความรู้สึกที่ยิ่งพยายามซ่อนเร้นก็ยิ่งเผยให้เห็นเด่นชัดขึ้นเล็กน้อย
ไม่ชอบนางหรือ
ก็เหมือนจะไม่ใช่
หรือจะชอบนาง…ก็เหมือนจะไม่ใช่อีก...
สุดท้ายแล้ว บางทีอาจจะยังพิจารณาสถานะของนางอยู่
ชั่วขณะนั้นในใจของโจวเสาจิ่นพลันรู้สึกปวดตุบๆ ขึ้นมา
สุดท้ายแล้วสถานะ…ก็เป็นจุดด้อยที่เด่นชัดข้อหนึ่งของนางอยู่ดี
นางเองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้เหมือนกัน!
แต่จะให้นางทำอย่างไรได้!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนที่ท่านน้าฉือใกล้ชิดที่สุดบนโลกใบนี้ หากไร้ซึ่งการสนับสนุนจากผู้อาวุโสอย่างนาง ชีวิตของนางและท่านน้าฉือในตระกูลเฉิง…คงจะลำบากไม่น้อยกระมัง
มือของโจวเสาจิ่นบิดเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัว
…………………………………………………………………
[1] ไม้หาบโค้งคงทนกว่า การใช้ไม้หาบที่โค้งงอหาบของทำให้รู้สึกมีน้ำหนักเบากว่าไม้หาบที่แข็งและตรงทื่อ เปรียบเปรยถึงชีวิตของคนเรามีป่วยไข้บ้างนั้นเป็นเรื่องธรรมดา หากไม่ป่วยไข้เลยต่างหากที่ดูอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่า