ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 431 ตัดสินใจเลือก
โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องทางการนานเท่าไรแล้ว กระทั่งมีสายลมพัดผ่านมาสายหนึ่ง พัดมาจนนางรู้สึกเย็นไปถึงกระดูก นางถึงได้ได้สติคืนกลับมา ค่อยๆ นั่งยองๆ ลงไปข้างบานประตูอย่างช้าๆ มือทั้งสองข้างกอดตัวเองเอาไว้แน่น
ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงรู้สึกเหน็บหนาวยิ่ง
หยาดน้ำตาค่อยๆ ไหลลงมา หยดลงบนก้อนศิลาสีเขียวคล้ำ เจิ่งนองจนกลายเป็นรอยน้ำเปียกชื้นวงกลมขนาดเล็ก
นางอยากกลับบ้าน
อยากโยนทุกอย่างทิ้งไปแล้วกลับบ้านไปเสีย
แต่บ้านของนางคือที่ใดเล่า
ที่ซอยอวี๋เฉียนก็เป็นบ้านที่ท่านน้าฉือมอบให้นาง บ้านที่เมืองเป่าติ้งแม้นบิดาจะโปรดปรานนาง แต่ถ้าหากรู้ว่านางชอบท่านน้าฉือ เกรงว่าก็คงจะไม่ยกโทษให้นางง่ายๆ หรอกกระมัง
ไปหาพี่สาว?
นางนึกถึงภาพของโจวชูจิ่นที่อุ้มกวนเกอเอาไว้ขึ้นมา
ไม่ได้!
นางไม่อาจรบกวนพี่สาวอีกแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าพี่สาวจะได้มีชีวิตที่สงบสุข
โจวเสาจิ่นมองรอยเปียกชื้นบนก้อนศิลาสีเขียวคล้ำนั้นอย่างโง่งม
มีเสียงของสาวใช้เด็กดังเข้ามาจากด้านนอก “ยังหาตัวคุณหนูรองโจวไม่เจออีกหรือ”
สาวใช้ในบ้านจะเรียกนางว่า ‘คุณหนูรอง’ มีเพียงสาวใช้ของจวนตระกูลเฉิงเท่านั้นที่จะเรียกนางว่า ‘คุณหนูรองโจว’
โจวเสาจิ่นหลบเข้าไปอยู่ในห้องที่มีโถสุขาวางอยู่โดยสัญชาตญาณ
ธูปหอมกลิ่นดอกไป่เหอส่งกลิ่นอบอวลจนนางรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย
มีเสียงตะโกนเรียกอย่างระมัดระวังของสาวใช้เด็กดังเข้ามาจากด้านนอก “คุณหนูรองโจวเจ้าคะ! คุณหนูรองโจว!”
“ข้าไม่เป็นไร!” โจวเสาจิ่นตอบ น้ำเสียงงึมงำเล็กน้อย “ข้ารู้สึกปวดท้องเล็กน้อย! จะรีบกลับไปในไม่ช้า”
สาวใช้เด็กขานรับคำยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วถอยออกไป
ด้านนอกกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกตัวว่าใบหน้าของตนเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
หากเดินออกไปในสภาพเช่นนี้ ทุกคนต้องรู้แน่ว่านางผ่านการร้องไห้มา
นางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดใบหน้า
นึกถึงถ้อยคำเหล่านั้นของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว ในใจก็บังเกิดความความกรุ่นโกรธสายหนึ่งขึ้นมา
ชาติก่อน ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ดูถูกนางเช่นนี้เหมือนกัน คล้ายกับว่านางเป็นคนไร้ประโยชน์ผู้หนึ่ง
ยังมีหยวนซื่ออีก ที่มักจะคิดว่านางทำให้หยวนซื่อเสียหน้า
กล่าวไปกล่าวมา ก็เพียงเพราะรู้สึกว่านางอ่อนแอรังแกได้ง่ายก็เท่านั้น
ทำไมนางจะต้องปล่อยให้ตัวเองถูกพวกนางบี้จนแบนด้วย!
โจวเสาจิ่นไม่ยินยอม
ชาติก่อนนางทำผิดไปแล้ว ชาตินี้ก็ยังจะปล่อยให้ผิดต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ
พระพุทธองค์ให้โอกาสนางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ก็เพื่อให้นางกลับไปเดินบนเส้นทางเก่าของชาติก่อนอย่างเลินเล่อไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกหรืออย่างไร!
ต่อให้ต้องร่ำไห้ ก็ไม่อาจร่ำไห้ในเวลานี้ได้!
ต่อให้ต้องเสียหน้า ก็ไม่อาจเสียหน้าในสถานการณ์เช่นนี้ได้!
โจวเสาจิ่นเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นเล็กน้อย ถามออกไปว่า “ด้านนอกยังมีคนอยู่หรือไม่”
สาวใช้เด็กคนที่ตอบนางเมื่อครู่นี้ขานตอบว่า “บ่าวนามว่าจู๋อวี่ เฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตูเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นว่า “รบกวนเจ้าช่วยแอบไปเรียกซางมามาที่ตามข้าเข้ามาในจวนให้มาหาข้าสักหน่อย ข้ามีเรื่องด่วนต้องการพบนาง”
สตรีมาเป็นแขกในบ้านของผู้อื่น ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องไม่คาดคิดอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้ อย่างเช่นเรื่องระดูมาอย่างกะทันหันจนทำให้ชุดเปื้อนจำพวกนั้น…สาวใช้เด็กผู้นั้นมิได้สงสัยอะไร รีบไปเรียกซางมามาให้มาหา
ซางมามาเป็นคนฉลาดมีไหวพริบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงยัดเงินหลายเหรียญทองแดงให้สาวใช้เด็กผู้นั้นและไล่คนออกไปตั้งแต่ตอนอยู่หน้าประตูห้องทางการแล้ว ถึงได้กระซิบเรียก “คุณหนูรองเจ้าคะ” เบาๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ด้านนอกไม่มีคนแล้วเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นถึงได้เดินออกมาจากห้องที่มีโถสุขาวางอยู่
ซางมามาเห็นดวงตาที่ค่อนข้างแดงก่ำของนางแล้วก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
โจวเสาจิ่นเองก็ไม่เกรงใจนางอีก เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารีบคิดหาวิธี อย่าให้ผู้อื่นมองออกว่าข้าผ่านการร้องไห้มา”
ซางมามาขานรับคำซ้ำๆ พลางคิดว่าโชคดีที่ที่ตรงนี้เป็นห้องทางการ มีน้ำเย็นอยู่ด้วย จึงนำผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำให้นางเอาไปเช็ดดวงตา ส่วนตัวเองไปเรียกชุนหว่านมา ทั้งสองคนช่วยล้างหน้าล้างตา หวีผมและเติมแป้งบางๆ ให้นางใหม่อีกครั้งโดยไม่พูดไม่จา นอกจากดวงตาที่ยังแดงเรื่อเล็กน้อยแล้ว ก็มองแทบไม่ออกแล้วเคยผ่านการร้องไห้มา
หัวสมองของโจวเสาจิ่นว่างเปล่า ปล่อยให้พวกนางแต่งแต้มใบหน้าของตน กระทั่งซางมามากระซิบบอกนางว่าเสร็จแล้ว นางถึงได้สูดลมหายใจเข้ายาวๆ ครั้งหนึ่ง นั่งลงบนม้านั่งคนงามยาวที่ขนาบไปตามเฉลียงทางเดิน มองต้นหวงหยางที่เขียวชอุ่มและอุดมสมบูรณ์พลางขบคิดคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปด้วยอย่างละเอียด
ความจริงแล้วถ้อยคำของฮูหยินผู้เฒ่าก็มีเหตุผล
ทั้งมิใช่คำกล่าวโคมลอยไร้มูลและมิใช่ดูถูกหรือโจมตีนาง
ถ้าหากนางแต่งเข้าตระกูลเฉิงไปจริงๆ จะเผชิญหน้ากับเฉิงเจียซ่านอย่างไรนั้นก็เป็นปัญหายากข้อหนึ่ง หากไม่ระมัดระวัง เฉิงเจียซ่านอาจจะคิดว่าท่านน้าฉือฉุดตนไป…เนื่องจากเมื่อก่อนท่านน้าฉือดีกับนางเป็นอย่างมาก หากนางและท่านน้าฉือไม่มีอะไรกัน ทุกคนก็คงไม่คิดไปในทางนั้น แต่ครั้นนางแต่งกับท่านน้าฉือ ต่อให้ไม่มีเรื่องอะไรก็พูดให้เหมือนมีจมูกมีดวงตาโผล่ออกมาได้ นับประสาอะไรกับเรื่องที่มีมูลเกิดขึ้นจริงๆ!
โจวเสาจิ่นบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ
แต่ถ้าหากนางเชื่อฟังคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวและยอมแพ้ไปทั้งอย่างนี้?
นางนึกถึงรอยยิ้มอ่อนโยนและอ้อมกอดอบอุ่นของเฉิงฉือ ยังมีน้ำเสียงอ่อนนุ่มยามกระซิบปลอบนางอีก...หัวใจของนางเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ได้ ลุกขึ้นมาอย่างดุดัน
ไม่ ไม่ ไม่!
นางไม่อาจยอมแพ้เรื่องท่านน้าฉือได้
บนโลกใบนี้ ในใจของนางนั้นไม่มีผู้ใดเทียบท่านน้าฉือได้อีกแล้ว
นางอยากจะอยู่กับเขา
ถึงแม้ต่อไปจะถูกผู้คนรังแก ทำให้ต้องลำบาก หรือถูกดุด่า นางก็ยังอยากจะอยู่กับท่านน้าฉือ
โจวเสาจิ่นเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวด้วยความรีบร้อนเล็กน้อย แล้วหยุดลงอีกครั้งหนึ่ง
แต่ถ้าหาก...ท่านน้าฉือเสียใจภายหลังเล่า?
บางครั้งคิดเอาไว้แบบหนึ่ง แต่สิ่งที่ได้พานพบจริงๆ กลับเป็นอีกแบบหนึ่งก็เป็นได้
นางไม่มีข้อดีอะไรสักอย่าง ทั้งไม่อาจช่วยสร้างความสำเร็จอะไรให้ท่านน้าฉือ แล้วก็ไม่อาจช่วยท่านน้าฉือสร้างสัมพันธ์อันดีกับญาติพี่น้องด้วย หากเวลาเนิ่นนานไปแล้วท่านน้าฉือเสียใจภายหลังขึ้นมาจะทำอย่างไร
โจวเสาจิ่นรู้สึกได้อยู่รางๆ ว่าตนคงไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้แน่!
มิใช่เพราะท่านน้าฉือเปลี่ยนใจ แต่เป็นตัวนางเองที่ไม่เหลืออะไรให้มีชีวิตอยู่ต่อแล้วต่างหาก
นางนึกถึงวันเวลาโดดเดี่ยวไร้ชีวิตชีวาอันแสนยาวนานที่บ้านสวนต้าซิ่งในชาติก่อนขึ้นมา
วันเวลาเช่นนั้นนางยังอยู่มาได้ เมื่อมีความทรงจำอันสวยงามของท่านน้าฉืออยู่ด้วย ทำไมนางจะอยู่ไม่ได้กัน?
เมื่อความคิดวาบผ่าน ในหัวของนางก็มีเสียง ครืน เสียงหนึ่ง คล้ายกับเสียงฟ้าคำรามดังขึ้นมา
ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ตอนที่นางยังไม่ได้รับรักตอบนั้น ก็เคยคิดเช่นนี้มาก่อน
ขอเพียงมีความอบอุ่นอ่อนโยนของเขาเพียงหนึ่งสาย ขอเพียงเขามองย้อนกลับมาเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น…แต่เหตุใดพอได้มาแล้ว กลับลืมความพากเพียรก่อนหน้านี้ไปเสียแล้วเล่า?
มนุษย์ช่างละโมบไม่รู้จักพอเสียจริงๆ!
โจวเสาจิ่นค่อยๆ นั่งลงบนม้านั่งคนงามอีกครั้งอย่างช้าๆ
จิตใจค่อยๆ ปลอดโปร่งขึ้นมา
อย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวมา เพื่อนางแล้วท่านน้าฉือถึงขั้นยุยงให้หยวนซื่อแยกตระกูล
ภายใต้โลกหล้านี้ไม่มีกำแพงที่ไร้ซึ่งลมพัดผ่าน
ถ้าหากหยวนซื่อรู้เรื่องนี้ ต่อไปท่านน้าฉือจะเงยหน้าขึ้นมาเป็นคนอีกได้อย่างไร!
แต่ถ้าหากว่าขณะที่ท่านน้าฉือถูกทุกคนสาปแช่งและวิพากษ์วิจารณ์นั้น นางกลับยอมแพ้ไปอย่างขี้ขลาด ทิ้งเขาให้เผชิญหน้ากับการถูกผู้คนกล่าวโทษเพียงลำพัง…ประหนึ่งคนทรยศ…เกรงว่านี่อาจจะทำให้ท่านน้าฉือเสียใจยิ่งกว่าการถูกผู้คนสาปแช่งและวิพากษ์วิจารณ์เสียอีกกระมัง
มิใช่ว่านางในชาติก่อนก็เคยประสบกับเรื่องเช่นนี้มาก่อนแล้วหรอกหรือ
ตอนที่หยวนซื่อดุด่านาง หรือตอนที่บ่าวไพร่ในซอยจิ่วหรูต่างชี้หน้าต่อว่านางนั้น…นางเกลียดชังเฉิงสวี่…เวลานั้นมีเพียงความรู้สึกเกลียดชังที่สูงเสียดฟ้าเท่านั้น…แต่เมื่อคิดขึ้นมาอีกครั้งในเวลานี้แล้ว เกรงว่าสิ่งที่มีมากกว่านั้นคือความขุ่นแค้นใจที่เขาปล่อยให้ตนแบกรับสิ่งเหล่านั้นเพียงลำพังผู้เดียว…
ท่านน้าฉือดีกับนางถึงเพียงนี้ เป็นคนที่นางเก็บเอาไว้ในใจก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอผู้นั้น แล้วนางจะทำร้ายเขาเพราะความกลัวของตัวเองได้อย่างไร จะทนดูเขาถูกสาปแช่งเหตุเพราะตนถูกผู้คนดูถูกได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นถูผ้าเช็ดหน้าในมือ จัดจอนผม จากนั้นลุกขึ้นมา กล่าวกับซางมามาและชุนหว่านที่ยืนมองนางด้วยความเป็นห่วงอยู่ไม่ไกลยิ้มๆ ว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปที่โถงรับรองกัน อย่าปล่อยให้พวกนางต้องรอข้านาน!”
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง
คุณหนูรองคนที่เมื่อครู่ยังดูคล้ายกับดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาผู้นั้น เหตุใดเพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมา ดูผึ่งผายและสุขุมประหนึ่งแม่ทัพที่ชนะศึกสงครามมาก็ไม่ปาน
พวกนางไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น
นางก้าวเร็วๆ เข้าไปในโถงรับรอง
การแสดงงิ้วกำลังแสดงถึงช่วงสำคัญพอดี
แต่การมาถึงของนางยังคงดึงดูดความสนใจของทุกคนอยู่ดี
โจวชูจิ่นส่งสัญญาณให้น้องสาวไปนั่งข้างๆ นางอย่างยิ้มแย้ม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นยังคงแดงเรื่อเล็กน้อย ถ้าหากใส่ใจ ก็ไม่ยากที่ค้นพบว่านางผ่านการร้องไห้มาก่อน แต่ท่าทางของนางกลับสงบและสง่างาม มีความสุขุมและเด็ดเดี่ยวอย่างคนที่ผ่านการขบคิดมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว กระทั่งดูแน่วแน่มั่นคงกว่านางคนก่อนหน้านี้เสียอีก
ดั่งภาพวาดสตรีงดงามทว่าดูธรรมดาสามัญภาพหนึ่ง ที่ได้รับการแต่งแต้มดวงตาจากปรมาจารย์ฝีมือสูงส่งอย่างกะทันหัน ทำให้ดูมีชีวิตจิตใจขึ้นมาในทันใดก็ไม่ปาน
ในใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกเคร่งขึ้นมา
ฟางเซวียนขมวดคิ้วมุ่นขึ้นอย่างไม่พอใจ
โจวเสาจิ่นยังคงสงบนิ่ง เดินแย้มยิ้มไปนั่งข้างๆ โจวชูจิ่น กระซิบกล่าวบางอย่างกับนางสองสามประโยค จากนั้นลุกขึ้นเดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ ทว่าสายตาทิ่มแทงยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นใจเต้นไม่หยุด มือเท้าอ่อนเล็กน้อย
แต่นางรู้ดีว่า ถ้าหากนางแต่งงานกับเฉิงฉือจริงๆ ไม่สิ ถ้าผู้อื่นรู้สัมพันธ์ของนางและเฉิงฉือขึ้นมา นางอาจจะต้องเผชิญกับสายตาทิ่มแทงที่มากกว่าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวสิบเท่า ร้อยเท่า หรือกระทั่งพันเท่าเสียอีกก็เป็นได้…นางจึงถอยไม่ได้
นอกจากนี้ไม่มีทางให้ถอยด้วย
ถ้านางถอย นางและท่านน้าฉือก็จบสิ้นกันแน่แล้ว!
มือที่ซ่อนอยู่ในอาภรณ์ของโจวเสาจิ่นกำแน่น แต่รอยยิ้มของนางยังคงสงบและอ่อนโยนดังเดิม
“ฮูหยินผู้เฒ่า” นางหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าตั่งหลัวฮั่น ปล่อยให้ฟางเซวียนมองนางด้วยความประหลาดใจ “ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวเจ้าค่ะ…”
ตัดสินใจได้รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลอบประหลาดใจ
เลือกจะไปจากเจ้าสี่หรือว่าเลือกที่จะอยู่กับเจ้าสี่ต่อไปกันนะ?
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าลมหายใจของตัวเองล้วนเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงขึ้นมาแล้ว
นางยิ้มพลางให้ฟางเซวียนประคองนางลุกขึ้นมา
ทุกคนต่างมองมาที่พวกนาง
นักแสดงสองคนที่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นนั้นก็หยุดการแสดงลงอย่างมึนๆ งงๆ ตามไปด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่มีอะไรๆ พวกเจ้าแสดงต่อไปเถิด เสาจิ่นมีเรื่องอยากคุยกับข้า”
ทุกสายตาจับจ้องมา โจวเสาจิ่นกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน
นี่ทำให้นางรู้สึกอึดอัดยิ่ง
แต่นางยังคงรักษารอยยิ้มของตนเอาไว้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจ้องมองนางอย่างลึกล้ำอยู่หลายอึดใจ หมุนกายออกจากโถงรับรองไป
ฟางเซวียนตามไปด้วยอย่างรีบร้อน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไปชมการแสดงงิ้วเถิด! มีเรื่องอะไรข้าจะเรียกสาวใช้เอง”
ฟางเซวียนขาน “เจ้าค่ะ” เสียงหนึ่ง มองโจวเสาจิ่นอย่างอดไม่ได้ทีหนึ่ง ถึงได้จากไป
โจวเสาจิ่นประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัวเช่นเดียวกับที่เคยทำเมื่อก่อน ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งสองคนเดินมุ่งหน้าไปยังต้นตั๊กแตนต้นใหญ่ตรงกลางลานบ้านอย่างไม่เร็วและไม่ช้า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้เปล่งเสียงเอ่ยคำใด
โจวเสาจิ่นเลือกที่จะเอ่ยปากกล่าวขึ้นก่อน
นางกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่า คำพูดที่ท่านกล่าวมาเมื่อครู่นี้ข้าได้เอาไปขบคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว…” นางชอบท่านน้าฉือ! โจวเสาจิ่นหน้าแดงเล็กน้อย ถ้อยคำเช่นนี้ นางไม่มีหน้าพูดออกมาต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ “แต่ข้ายังคงอยากจะลองดูเจ้าค่ะ!”
“ลองดูหรือ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหยุดฝีเท้าลง สายตาที่มองนางยิ่งทิ่มแทงมากยิ่งขึ้น “ช่างเป็นคำพูดของเด็กจริงๆ! คนที่ถูกฆ่าให้ตายไปแล้วจะยังกลับมามีชีวิตได้อีกหรือ คนที่ถูกคนในสังคมปฏิเสธอย่างดูแคลนไปแล้วจะยังเป็นคนได้อย่างปกติอีกหรือ ลองดูอย่างนั้นหรือ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์ของการลองดูนั้นเป็นอย่างไร…”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงนุ่ม “แต่ข้ายังคงอยากจะลองดู เรื่องนี้มิใช่ความผิดของท่านน้าฉือเพียงผู้เดียว” นางก้มหน้าลง “ถ้าหากข้าปฏิเสธท่านน้าฉือ ท่านน้าฉือจะเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ในเมื่อข้าเองก็มีส่วนผิด ก็ควรจะเดินไปพร้อมกับท่านน้าฉือด้วยถึงจะถูก...ไม่ว่าต่อไปจะต้องพานพบกับความยากลำบากอะไร ข้าก็อยากจะเดินไปพร้อมกับท่านน้าฉือเจ้าค่ะ…”
ขณะที่นางกล่าวก็คุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวอย่างจริงจังและจริงใจว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ขอท่านได้โปรดสนับสนุนข้าด้วยเจ้าค่ะ!”