ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 433 แยกตระกูล
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วดวงตาก็เป็นประกาย
หมุนลูกประคำในมือเม็ดแล้วเม็ดเล่า ไม่ได้กล่าวอะไรกว่าครู่ใหญ่
ณ ซอยอวี๋เฉียน หลังจากที่โจวเสาจิ่นล้างหน้าล้างมือแล้วกำลังเตรียมจะขึ้นเตียงนั้น ซางมามากลับยกน้ำอุ่นเดินเข้ามาอย่างยิ้มแย้ม กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง วันนี้ทุกคนต่างเหนื่อยกันหมดแล้ว ข้ามาอยู่เวรกลางคืนดีหรือไม่เจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นชอบอยู่คนเดียว สาวใช้ที่มาอยู่เวรยามก็เพียงเฝ้าอยู่ด้านนอกเท่านั้น ได้ยินเช่นนั้นจึงไม่ได้คิดอะไรมาก เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปบอกจี๋เสียงที่อยู่เวรสักคำก็พอ!”
ซางมามาขานรับคำยิ้มๆ รอจนโจวเสาจิ่นดื่มน้ำและขึ้นเตียงเรียบร้อยแล้ว นางก็ช่วยเป่าดับตะเกียงไฟดวงอื่นๆ ภายในห้องให้ นำโคมไฟทรงลูกแตงขนาดเล็กหนึ่งเดียวในห้องไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง จากนั้นปิดประตูแล้วถอยออกไป
โจวเสาจิ่นขดตัวอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ทว่าในใจกลับคิดถึงเรื่องที่พูดกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวในวันนี้
ฮูหยินผู้เฒ่าคงเป็นกังวลใจเรื่องที่นางจะรับการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่นมิได้กระมัง
นอกจากนี้ถ้านางทิ้งท่านน้าฉือไปด้วยเหตุเพราะรับเรื่องเหล่านี้ไม่ได้ เช่นนั้นความพยายามทั้งหมดของท่านน้าฉือในตอนนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขบขันในสายตาของผู้อื่นไปเสีย
ในฐานะคนเป็นแม่ ฮูหยินผู้เฒ่าจะทำใจยอมให้บุตรชายได้รับความอับอายเช่นนั้นได้อย่างไร!
แต่นางจะทำอย่างไรถึงจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจว่ามันมิใช่เรื่องชั่วครั้งชั่วคราว และมิใช่เพราะนางไม่รู้ถึงความยากลำบากของวันข้างหน้าถึงได้พูดประโยคที่ว่าขอเพียงท่านน้าฉือไม่ปล่อยมือ นางก็จะไม่ปล่อยมือออกมา
โจวเสาจิ่นรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย
นางอยากจะตรงไปถามท่านน้าฉือเหลือเกิน
แต่เมื่อความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัวก็ถูกนางขจัดทิ้งไปในทันที
เรื่องนี้ไม่อาจบอกให้ท่านน้าฉือรู้ได้
เขาเป็นบุรุษ ไม่เข้าใจความรู้สึกของสตรี
ถ้าหากนางเป็นแม่ เกรงว่าก็คงจะทำอย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่ากระทำเช่นเดียวกัน ไม่แน่ว่าด้วยนิสัยของนางแล้ว อาจจะทำได้ไม่ละเอียดรอบคอบอย่างฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่เป็นได้!
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว นางก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย อยากจะทำตัวให้คุ้นเคยกับเรื่องดูแลเรือนชั้นในให้เร็วที่สุด ถ้าหากว่าต่อไปได้แต่งกับท่านน้าฉือจริงๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะต้องอยู่กับพวกเฉิงจิงเป็นแน่ ดูจากรูปการณ์ที่ท่านน้าฉือไปซื้อบ้านอยู่ที่ประตูเฉาหยางนั่นแล้ว ก็คงเพราะนางเป็นต้นเหตุ โดยมากตระกูลเฉิงคงจะให้พวกเขาย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง แม้นฮูหยินรองเว่ยจะดูอ่อนโยนจิตใจกว้างขวาง แต่ดูจากกิริยามารยาทที่นางปฏิบัติต่อผู้อื่นและเวลากระทำสิ่งต่างๆ แล้ว ก็มองออกว่ามาจากตระกูลใหญ่ เป็นคนที่จัดการดูแลเรือนชั้นในได้ อย่าให้ถึงเวลาแล้วนางจะเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องที่สุด แม้แต่ท่านน้าฉือก็ยังดูแลไม่ได้ คนของตระกูลเฉิงคงมีแต่ยิ่งรู้สึกว่านางไม่คู่ควรกับท่านน้าฉือแล้ว…
โจวเสาจิ่นรู้สึกกระดากอาย
ท่านน้าฉือยังไม่ได้บอกเลยว่าจะขอนางแต่งงานเมื่อใด แต่นางกลับมานั่งจินตนาการฝันกลางวันอยู่ตรงนี้เสียแล้ว
นางดึงผ้าห่มมาคลุมปิดหน้าเอาไว้
ภายในห้องมีเสียงกระแอมไอของบุรุษดังขึ้นเบาๆ
โจวเสาจิ่นดึงผ้าห่มที่คลุมใบหน้าเอาไว้ออก ร้องขึ้นเสียงหนึ่งอย่างทั้งประหลาดใจและทั้งดีใจว่า “ท่านน้าฉือ”
เฉิงฉือเดินเข้ามาจากหลังฉากกั้นยิ้มๆ
เขาสวมชุดเผาจื่อผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีน้ำเงินไพลิน ในมือยังถือดอกอวี้จานหนึ่งช่อใหญ่เอาไว้ด้วย
กลิ่นหอมอ่อนๆ ส่งกลิ่นอวลไปทั่วทั้งห้อง
ใบหน้าเล็กของโจวเสาจิ่นเนียนละเอียดแวววาวดุจหยกเนื้อดี ดึงผ้าห่มออกหมายจะลงมาต้อนรับ ทันใดนั้นก็คิดได้ว่าตนสวมเพียงชุดชั้นในเท่านั้น ก็รีบดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของตนเอาไว้อีกครั้ง หดใบหน้ากลับไปที่มุมเตียงด้วยดวงหน้าแดงก่ำ งึมงำกล่าวเสียงหนึ่งว่า “ท่านน้าฉือ”
เฉิงฉือหันไปยิ้มให้นาง อ่อนโยนงามสง่าและอบอุ่น เอ่ยขึ้นว่า “ตอนเข้าประตูมาเห็นดอกอวี้จานบานได้งดงามยิ่ง ก็เลยเด็ดมาด้วยหลายกิ่ง แจกันดอกไม้อยู่ที่ใดหรือ ข้าจะนำมาให้เจ้า จะให้ดีที่สุดควรจะเป็นแจกันหรู่เหยาสีน้ำเงินแกมเขียวหรือไม่ก็แจกันลายน้ำแข็งแตกของหลงเฉียน”
โจวเสาจิ่นไม่รู้จะพูดอะไรดีจริงๆ
นางยู่ปากกล่าวไปโดยสัญชาตญาณ “แจกันดอกไม้…น่าจะอยู่ในหีบ...แต่นั่นก็ออกจะวุ่นวายเกินไปแล้ว…” ที่สำคัญคือจะทำให้คนที่เฝ้าเวรยามอยู่รู้สึกตัวได้
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง
ถึงว่าซางมามามาขออยู่เฝ้าเวรยามกลางคืนด้วยตัวเอง ที่แท้ก็เป็นเพราะได้รับข่าวการมาของท่านน้าฉือตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วนี่เอง…
คนเจ้าเล่ห์ผู้นี้!
แก้มทั้งสองข้างของโจวเสาจิ่นร้อนดั่งไฟ ชี้สั่งการเฉิงฉืออย่างใจกล้า “ไปหยิบแจกันบนชั้นวางของมีค่ามาสักใบก็พอแล้วเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยเปลี่ยนใบใหม่”
ชั้นวางของมีค่าอยู่ในห้องรับแขกของเรือนปีกตะวันตก
เฉิงฉือเดินผ่านห้องโถงไปที่เรือนปีกตะวันตก
โจวเสาจิ่นมองเงาหลังของเขาที่เดินไปอย่างปราดเปรียวนั้นแล้วก็เม้มปากกลั้นยิ้ม
ไม่นาน เฉิงฉือก็ถือแจกันสีแดงสดใสเข้ามาใบหนึ่ง ยังใส่น้ำสะอาดมาด้วย นำดอกไม้ปักลงไปแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง
มิใช่บอกว่าจะเอามาให้นางหรอกหรือ
เหตุใดไม่เอามาวางบนโต๊ะข้างหัวเตียงเล่า
โจวเสาจิ่นกะพริบตาปริบๆ
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ร่างกายเจ้าไม่แข็งแรง วางดอกไม้ไว้ตรงหัวเตียงกลิ่นแรงเกินไป จะส่งกลิ่นจนทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายได้”
โจวเสาจิ่นพึมพำกล่าวขอบคุณด้วยความกระดากอาย
เฉิงฉือกลับนั่งลงข้างๆ เตียงอย่างไม่เกรงใจ มองนางยิ้มๆ โดยไม่พูดอะไร
สายตานั่น ช่างแตกต่างจากยามปกติยิ่งนัก
เป็นสายตาที่เจือความตื่นเต้นวูบไหว พึงพอใจ ปลาบปลื้มยินดีและความรู้สึกลึกซึ้งอย่างละเล็กละน้อย…ผสมปนเปกันและยากจะเข้าใจ ทำให้โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตักไม่หยุด ไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร งึมงำกล่าวขึ้นว่า “ท่าน…ท่านมาหาข้าดึกดื่นขนาดนี้…มีเรื่องอะไรใช่หรือไม่” ขณะที่กล่าว นางก็กระชับผ้าห่มที่ห่อตัวอยู่ให้แน่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เฉิงฉือหลุดหัวเราะออกมา กวักมือเรียกนาง พลางกล่าว “มานี่!”
โจวเสาจิ่นคิดจะปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อนึกถึงสายตาที่เฉิงฉือมองนาง ซึ่งเป็นสายตาที่มีความรู้สึกทุกอย่าง ยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือความรู้สึกที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว
นางกัดริมฝีปาก ขยับเข้าไปใกล้โดยที่ยังห่อตัวด้วยผ้าห่มอยู่
เฉิงฉือกางแขนออกกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน
โจวเสาจิ่นตกใจจนไม่กล้าขยับ
เฉิงฉือเปล่งเสียงหัวเราะบางเบาที่ข้างหูของนาง จูบกระหม่อมของนางเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เหตุใดเจ้าถึงได้น่ารักมากถึงเพียงนี้ ข้าควรจะทำอย่างไรกับเจ้าดี”
น้ำเสียงหวงแหนอย่างไร้ซึ่งทางออกนั่น ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกหัวใจสั่นสะท้าน ทำให้นางรู้สึกแปลกประหลาดและหวาดกลัวไปด้วย ขยับตัวหลบเลี่ยงพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ!”
น้ำเสียงแห้งผาก ทั้งยังเจือความดุดันเอาไว้หลายส่วน เพียงแต่เมื่อกล่าวออกมาด้วยเสียงหวานหยดย้อยของนางนั่นแล้ว จึงดูเหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังโมโหผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่มีแรงกดดันเลยแม้แต่นิดเดียว
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าเสียงดัง จูบหน้าผากนางเบาๆ
สาวน้อยของเขา…มักจะทำให้เขารู้สึกเบิกบานอยู่เสมอ!
นางไปเป็นแขกอยู่ที่เรือนชั้นในก็จริง ทว่าคนของเขาก็คอยเฝ้าดูนางอยู่ตลอด
ตอนที่มารดาให้นางไปห้องทางการเป็นเพื่อนด้วยอย่างกะทันหันนั้น เขาก็รู้สึกไม่สบายใจแล้ว
จึงเร่งตามไปในทันที
แต่มารดายังคงลงมือก่อนที่เขาจะเร่งไปถึง
ตอนที่เขาเร่งไปถึงนั้นสาวน้อยของเขากำลังคุกเข่าขอให้มารดาเขาช่วยสนับสนุนอยู่ตรงนั้น ยังเอ่ยคำพูดที่ว่า ขอเพียงท่านน้าฉือไม่ปล่อยมือ ข้าก็จะไม่ปล่อยมือ นั่นอีก
เฉิงฉือประคองดวงหน้าของโจวเสาจิ่นเอาไว้ จูบหน้าผากของนางแรงๆ อีกครั้งหนึ่ง
ความรู้สึกไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจ และลังเลใจทั้งหมดที่เขามีมาอย่างยาวนาน มิใช่เพราะนางเป็นคนขี้กลัวและมีนิสัยว่าง่ายหรอกหรือ
เขากลัวว่านางจะไม่ได้ชอบตนมากพอ หากพูดคำว่าชอบออกจากปากไปแล้ว คำห้ามปรามของพี่สาวนาง เกียรติของบิดานาง และคำติฉินนินทาของผู้อื่นจะทำให้นางเปลี่ยนความคิดได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะไม่มีแม้แต่โอกาสจะกู้ชีพให้ตัวเอง
เขาเองก็รู้สึกกลัว
และมิได้มั่นใจถึงเพียงนั้นเช่นกัน
เฉิงฉือกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น ขบติ่งหูของนางเบาๆ พร้อมกับเปล่งเสียงหนึ่งว่า “เด็กดี”
เนื่องจากรู้หัวใจตัวเองแล้ว จึงอยากจะสู่ขอสตรีที่หัวใจรักใคร่โหยหากลับไปด้วยเหลือเกิน
แต่การต่อสู้ของคนหนึ่งคนและความพยายามของคนสองคนนั้นช่างแตกต่างกันยิ่งนัก!
คล้ายกับตอนเป่าขลุ่ยแล้วมีคนมาดีดพิณคลออยู่ข้างๆ มิใช่แค่ยืนอยู่ข้างๆ เพื่อชื่นชมเพียงอย่างเดียว…มีคนอยู่เคียงข้าง มีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนด้วย…เขาจูบที่แก้มของโจวเสาจิ่นอีกครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นผลักเขาออก ดวงตาดอกท้อเบิกโพลงจ้องมองเขาด้วยใจเต้นระรัว
เขาหัวเราะร่าเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าหรือไม่”
โจวเสาจิ่นตกใจ
หรือเขาจะรู้เรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาพูดกับนางแล้ว?
อีกใจหนึ่งก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัววางแผนจะพูดกับนางในวันนี้ แต่ตอนที่พูดคุยกันนั้นกลับเป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหัน ท่านน้าฉือไม่น่าจะรู้ล่วงหน้าได้
แล้วถ้อยคำนี้ของเขาหมายถึงอะไรกันนะ
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่มีเรื่องอะไรจะพูดกับท่านนี่เจ้าคะ หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? พูดมาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มค่อยๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเขา
สาวน้อยของเขา เขากลัวว่านางจะได้รับความลำบาก แต่เพื่อคนที่ตนให้ความเคารพแล้ว นางกลับไม่เคยรู้สึกว่าเป็นความลำบากเลย
“เสาจิ่น!” เฉิงฉือเรียกนางอย่างอบอุ่นอ่อนโยน ขยี้ผมของนางไปด้วย
โจวเสาจิ่นรีบหลบเลี่ยงเฉิงฉือ ขยับถอยออกไปด้านหลัง พิงเตียงนอนเอาไว้ กล่าวขึ้นด้วยดวงหน้าเป็นสีชมพูว่า “มีอะไรหรือเจ้าคะ ท่านมีเรื่องอะไรก็รีบกล่าวมาเถิด ข้าอยากจะพักผ่อนแล้ว!”
เฉิงฉือมองท่าทางประหนึ่งระแวดระวังศัตรูของนางแล้ว ก็หัวเราะออกมาอีกครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นจึงใช้เท้าเขี่ยเขา เป็นสัญญาณบอกว่าให้เขารีบๆ พูดเสีย
“ข้าเพียงอยากมาดูเจ้าสักหน่อยเท่านั้น!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ไม่เก็บเอาการกระทำนั้นของนางมาใส่ใจ
“เช่นนั้นตอนนี้ท่านก็ได้เห็นแล้ว ยังไม่รีบกลับไปพักผ่อนอีก!” โจวเสาจิ่นหน้าแดง “กลับดึกระวังจะกลับไม่ทันเวลาปิดเมืองนะเจ้าคะ”
เฉิงฉือพยักหน้า พลางกล่าว “ข้าจะรอเจ้าหลับแล้วค่อยไป”
ที่ผ่านมาโจวเสาจิ่นไม่เคยดื้อดึงจนเอาชนะเฉิงฉือได้เลย
นางรีบนอนลงพร้อมกับมีผ้าห่มคลุมตัวเอาไว้อย่างตาลีตาเหลือก กล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องเจ้าค่ะๆ ท่านอยู่ที่นี่ด้วย ข้านอนไม่หลับ!”
เฉิงฉือขานรับอย่างง่ายๆ ว่า “ก็ได้” อย่างคาดไม่ถึง ช่วยกระชับผ้าห่มให้นางใหม่อีกครั้ง จูบหน้าผากของนางเบาๆ ถึงได้ยืดตัวขึ้นออกจากห้องนอนไป
โจวเสาจิ่นปากอ้าตาค้างเล็กน้อย
วันนี้ท่านน้าฉือดูแปลกยิ่งนัก!
เหตุใดถึงยอมไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น
ปกติเป็นคนหัวแข็งตามใจตัวเองมากผู้หนึ่ง
โจวเสาจิ่นกัดฟันเบาๆ สวมรองเท้าพาดตัวมองอยู่ตรงหน้าต่าง
เฉิงฉือออกจากประตูไปแล้ว
ออกจากซอยอวี๋เฉียนไปเช่นนั้นจริงๆ
โจวเสาจิ่นไม่เข้าใจ ทว่าก็คิดไม่ตกว่าเหตุใดเฉิงฉือถึงมาหานางยามสามของกลางดึกอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้ด้วย
นางให้ชุนหว่านไปสืบความที่ประตูเฉาหยาง
ชุนหว่านเร่งกลับมาอย่างรีบร้อนด้วยดวงหน้าซีดเผือด ถึงกับไล่บ่าวไพร่ที่อยู่ในห้องของโจวเสาจิ่นออกไปด้วยตัวเอง ร้อนใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ! ข้าไปที่ประตูเฉาหยางมา ได้ยินว่าซอยจิ่วหรูจะแยกตระกูลกัน จวนรองรั้งอยู่ที่จินหลิง ส่วนจวนหลักจะย้ายมาอยู่ที่จิงเฉิง ทรัพย์สมบัติของส่วนกลางเป็นของจวนรองทั้งหมด จวนหลักยังต้องชดใช้เงินให้จวนรองเป็นจำนวนมากอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ทรัพย์สินของจวนหลักที่อยู่จินหลิงล้วนขายออกไปทั้งหมดแล้ว แม้แต่สินเดิมของฮูหยินหยวนก็ไม่มีข้อยกเว้น ตอนนี้บ่าวไพร่จำนวนมากที่เคยรับใช้อยู่ที่จวนหลักล้วนไม่อยากรั้งอยู่ที่ซอยจิ่วหรูแล้ว อยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าพาพวกนางมาที่จิงเฉิงด้วย ตอนที่ข้าไปนั้น พี่สาวปี้อวี้เพิ่งจะได้รับจดหมายจากพี่สาวทั้งสองคนของนางพอดี อยากให้นางช่วยพูดกับฮูหยินผู้เฒ่า ให้พาครอบครัวของพวกเขาทั้งสองครอบครัวมาที่จิงเฉิงด้วย ทุกคนต่างร้อนใจกันเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าและนายท่านใหญ่จะตัดสินใจอย่างไรบ้าง!”
ดูทีแล้วเรื่องที่ซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันนั้นได้ลอยขึ้นมาจนถึงผิวน้ำแล้ว!
โจวเสาจิ่นกล่าวกับชุนหว่านว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใจ เนื่องจากเป็นบ่าวที่อยู่กันมาจากรุ่นสู่รุ่นของจวนหลัก หากว่ามีใจอยากติดตามมาอยู่ที่จิงเฉิงด้วย ก็ย่อมจะพามาด้วยอย่างแน่นอน การทิ้งคนเหล่านั้นเอาไว้ที่เมืองจินหลิงเช่นนั้น ต่อไปจะมีผู้ใดมารับใช้จวนหลักอีก หลักการข้อนี้แม้แต่ข้ายังรู้ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ฮูหยินผู้เฒ่าและนายท่านใหญ่จะไม่รู้ เจ้าออกไปอีกครั้งหนึ่ง นำเอาคำพูดนี้ไปบอกพวกนาง ปลอบโยนพวกนางสักหน่อย!”
ชุนหว่านพยักหน้าหงึกๆ
หลี่ซื่อเร่งรุดเข้ามา เอ่ยถามโจวเสาจิ่นด้วยสีหน้าซีดเผือดว่า “ข้าได้ยินพี่ใหญ่ข้าบอกว่า ด้านนอกกำลังลือกันว่าซอยจิ่วหรูจะแยกตระกูล เป็นเรื่องจริงหรือ”