ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 438 เรื่องหยุมหยิม
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกไม่หยุด ใบหน้าแต้มยิ้มนั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา สะอึกสะอื้นกล่าวว่า “หากท่านไม่บอกข้า ต่อให้ข้ามีชีวิตเท่าท่านในตอนนี้ ก็คงจะยังไม่รู้ว่าควรจะเดินออกมาหาถนนเส้นนั้นได้อย่างไร!”
ท่าทางมึนๆ งงๆ ของนางทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเบิกบานใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่าอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “ไปพักผ่อนเถิด! หากข้าเดาไม่ผิด พรุ่งนี้อาเซวียนก็คงจะมาเป็นแขกที่นี่แล้ว เจ้ายังต้องรวบรวมกำลังวังชาเพื่อให้การรับรองนางให้ดี อย่าให้ข้าต้องเสียชื่อ”
มิใช่ชื่อเสียงของตระกูลเฉิง มิใช่ชื่อเสียงของจวนหลัก แต่เป็นชื่อเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
โจวเสาจิ่นดีดตัวลุกขึ้น ขานรับคำ “เจ้าค่ะ” อย่างกระตือรือร้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ
โจวเสาจิ่นออกมาได้พบกับฮูหยินรองเว่ยพอดี เล่าเรื่องทั้งหมดที่นางจัดการไปในวันนี้ให้ฮูหยินรองเว่ยฟัง ฮูหยินรองเว่ยรีบกล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้ว” แล้วไปส่งนางที่ประตูชั้นในด้วยตัวเอง จากนั้นถึงได้หมุนกายไปที่เรือนเฮ่อโซ่วถังที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพักผ่อนอยู่ พูดเรื่องการเรียนของเฉิงรั่งกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว “…ไม่ไปสำนักศึกษาหลวง แต่กลับไปที่สำนักศึกษาซานหมิง ได้ยินมาว่าสำนักศึกษาซานหมิงแห่งนั้นสู้สำนักศึกษาซวงเฮ่อมิได้ด้วยซ้ำเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวอธิบายอย่างใจเย็นว่า “ที่สำนักศึกษาหลวงนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่คิดจะประสบความสำเร็จในเส้นทางขุนนาง ชอบพูดเรื่องพื้นเพเดิมของครอบครัว พูดเรื่องคุณสมบัติ และพูดเรื่องอำนาจ อีกทั้งโดยปกติก็ต้องพบปะเข้าสังคมสังสรรค์กันมาก น้อยคนที่จะนั่งอ่านหนังสือกันอย่างเงียบๆ ส่วนสำนักศึกษาซวงเฮ่อเป็นสำนักศึกษาส่วนบุคคล อาจารย์ใหญ่เป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียนที่มีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า ระบบการเรียนการสอบนั้นไม่ต้องพูดถึง พื้นฐานของนักเรียนก็แน่นหนาแข็งแกร่ง แต่คนที่มีพรสวรรค์ด้านการเรียนก็มากตามไปด้วย รั่งเกอเอ๋อร์นั้นสุขภาพไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก กำลังวังชาไม่ค่อยดีนัก หากไปสำนักศึกษาซวงเฮ่อ เกรงว่าการเรียนจะหนักหนาจนยากที่จะผลักดันตัวเองไปอยู่ข้างหน้าได้ เมื่อเวลายาวนานไป ความสนใจต่อการเรียนก็จะลดน้อยลง ไม่สู้ไปสำนักศึกษาซานหมิงจะดีกว่า เมื่อเทียบกับสำนักศึกษาซวงเฮ่อแล้ว ไม่ว่าจะเป็นขนาดความใหญ่หรือนักเรียนล้วนด้อยกว่ามาก ทว่าส่วนที่ดีกว่าก็คือบรรดาอาจารย์ต่างสอนหนังสือด้วยความอดทนและใส่ใจ ทั้งยังชื่นชอบเด็กที่ถึงแม้จะหัวช้าแต่ก็ขยันขันแข็งเหล่านั้นอีกด้วย จึงเหมาะสมกับรั่งเกอเอ๋อร์ที่สุดแล้ว…
…สำนักศึกษาแห่งนี้เป็นลุงของเจ้าที่แนะนำมาให้ เขาไม่มีทางปล่อยศรโดยไร้ทิศทางอย่างแน่นอน พวกเจ้าวางใจเถิด…
…ทางด้านของเจ้ารอง เจ้าก็ต้องไปพูดกับเขาสักหน่อย หากว่าที่ทำการไม่มีธุระอะไร ก็ให้อยู่บ้านมากสักหน่อย อยู่คอยชี้แนะการเรียนให้รั่งเกอเอ๋อร์ ให้ความสนใจเขาเป็นพิเศษสักหน่อย ด้วยความรู้ความสามารถของเจ้ารองแล้ว รั่งเกอเอ๋อร์ควรจะเป็นนักเรียนที่โดดเด่นที่สุดในสำนักศึกษาถึงจะถูก...
…วันนี้พวกเรากับซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้ว ต่อไปกิ่งก้านที่จิงเฉิงนี้ก็ต้องอาศัยเจียซ่านและรั่งเกอเอ๋อร์เป็นคนนำเกียรติมาให้ตระกูลแล้ว รั่งเกอเอ๋อร์จะเอาแต่หลบอยู่หลังเจียซ่านต่อไปเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีก ต่อให้อนาคตจะมิอาจสอบผ่านจนได้รับการแต่งตั้งเป็นจิ้นซื่อได้ ทว่าก็ไม่อาจละทิ้งการเรียนหนังสือ เจ้ากล้าตัดสินโดยพลการหรือว่าการที่รั่งเกอเอ๋อร์เรียนหนังสือได้ธรรมดาสามัญนั้นบุตรชายของเขาก็จะเป็นเหมือนกับเขาด้วย”
ฮูหยินรองเว่ยพยักหน้าหงึกๆ ยืนมือแนบลำตัวสกัดกั้นความรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่ข้างๆ ขานรับคำอย่างนอบน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “นายท่านสี่มาเจ้าค่ะ”
เกรงว่าพอได้ยินว่าฮูหยินใหญ่เลี่ยวและฮูหยินรองฟางพาฟางเซวียนมาหานางที่นี่ ก็เลยออกหน้ามาช่วยเสาจิ่นกระมัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวร้องหึเสียงเย็น
ฮูหยินรองเว่ยรีบลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา
แม้นนางจะไม่ได้เฉลียวฉลาดเท่าหยวนซื่อ ทว่าก็มิใช่คนโง่
เมื่อก่อนเพียงแม่สามีได้ยินชื่อของน้องสี่ดวงตาก็เจือไปด้วยรอยยิ้มแล้ว แต่ช่วงนี้กลับปฏิบัติต่อน้องสี่อย่างเฉยชาไม่เย็นและไม่ร้อน เห็นได้ชัดว่าระหว่างมารดาและบุตรชายนั้นกำลังมีปัญหากันอยู่ แต่ไม่ว่าระหว่างพวกเขามีปัญหาอะไรกัน น้องสี่ก็เป็นบุตรชายที่แม่สามีโปรดปรานที่สุด นางจึงไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเผยสีหน้าเคร่ง นั่งรอให้เฉิงฉือเข้ามาหาอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
เฉิงฉือทำความเคารพมารดาเสร็จแล้วจึงนั่งลงบนตั่งตรงข้ามกับมารดา รอให้สาวใช้เด็กนำน้ำชาขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็ไล่ให้คนที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องออกไป กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่า “หลายวันก่อนพี่ใหญ่มาหาข้า ถามข้าว่าในบ้านยังมีเงินที่ใช้ได้จำนวนเท่าไร บอกว่าเจียซ่านใกล้จะแต่งงานแล้ว ก่อนหน้านี้ตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากที่จัดงานที่จิงเฉิงเสร็จเรียบร้อยแล้วจะให้พวกเขาสองสามีภรรยาไปอยู่ที่จินหลิงสักระยะหนึ่ง หนึ่งเพื่อให้พวกเขาได้แสดงความกตัญญูต่อท่าน สองเพื่อให้พวกเขาได้ไปมาหาสู่กับญาติพี่น้องที่บ้านเดิมของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าสะใภ้คนใหม่ไม่รู้จักญาติพี่น้องของตัวเองแม้แต่คนเดียว ด้วยเหตุนั้นบ้านที่ซอยซิ่งหลินจึงปรับปรุงอย่างง่ายๆ ครั้งหนึ่งและซื้อของมาเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้พวกเรากับซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้ว ต่อไปทุกคนต่างก็ต้องมาอยู่จิงเฉิง เรือนหลังใหม่หลังแต่งงานของเจียซ่านจึงไม่อาจจัดเตรียมอย่างง่ายๆ เช่นนี้ได้แล้ว จึงถามข้าว่าในบ้านยังมีเงินที่ใช้ได้เป็นจำนวนเท่าไร…บอกว่าครอบครัวต้องประสบกับเรื่องเช่นนี้ จะต้องไม่มีเงินเหลือมากมายเป็นแน่ เดิมทีเขาอยากจะหารือกับตระกูลหมิ่นให้จัดงานแต่งของเจียซ่านอย่างเรียบง่ายสักหน่อย จึงเขียนจดหมายไปให้พี่สะใภ้ใหญ่ แต่พี่สะใภ้ใหญ่ไม่เห็นด้วย บอกว่านางมีบุตรชายเพียงคนเดียว อีกทั้งพี่ใหญ่ยังเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนัก คนที่เกี่ยวดองด้วยยังเป็นตระกูลหมิ่นของฝูเจี้ยน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจสร้างความลำบากให้คุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นได้ ถ้าหากหาเงินจากกองกลางไม่ได้จริงๆ ค่าใช้จ่ายสำหรับงานแต่งของเจียซ่านก็ให้ไปเอาจากของนางก็แล้วกัน ไม่ต้องใช้ของกองกลางแล้ว…”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวพลันไม่น่าดูเป็นอย่างมากขึ้นมาในทันที ถามว่า “เจ้าตอบไปว่าอย่างไร”
เงินที่จ่ายให้จวนรองล้วนเป็นเงินกองกลางของจวนหลัก มิได้ยุ่งกับสินติดตัวของหยวนซื่อเลยแม้แต่แดงเดียว
ตอนนี้เฉิงสวี่ใกล้จะแต่งงาน ตามหลักแล้วเงินจำนวนนี้ก็ควรจะหยิบออกมาจากเงินกองกลางของจวนหลัก ไม่มีเหตุผลอะไรให้ไปยุ่งกับสินติดตัวของหยวนซื่อ
แต่หลักการมิได้อยู่นอกเหนือน้ำใจคน
วันนี้ครอบครัวประสบกับเรื่องที่ไม่เคยพานพบมาก่อน ต่อให้มีเงินกองกลางจำนวนมากเท่าไร แต่ไม่มีการค้า ไม่มีที่นาแล้ว…มิใช่ว่าควรจะหาซื้อทรัพย์สิน ให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ก่อนหรอกหรือ นี่กลับเป็นห่วงแต่เรื่องงานแต่งของบุตรชายตัวเองเท่านั้น
ยังอยากจะจัดอย่างใหญ่โตอีก
กลัวว่ากองกลางจะหาเงินมาให้ไม่ได้ ก็จะให้ไปเอาจากสินติดตัวของตัวเอง
และบุตรชายหูเบาของนางผู้นั้นก็ยังจะเชื่อฟัง มาปรึกษาหารือกับน้องชายของตัวเองอีก...
นางช่างเลี้ยงบุตรชายมาได้ดีจริงๆ!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำพัดกลมในมื้อแน่นจนนิ้วมือซีดขาวเล็กน้อย
เฉิงฉือลอบถอนหายใจครั้งหนึ่ง
ทั้งๆ ที่พี่ใหญ่รู้ว่ามารดามีเรื่องบาดหมางกับหยวนซื่ออยู่ ก็ยังจะพูดเรื่องเช่นนี้ออกมาอีก เห็นได้ชัดว่าเรื่องระหว่างแม่สามีและบุตรสะใภ้นั้น สามีผู้เป็นคนกลางจะช่วยไกล่เกลี่ยวอย่างไรนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
หวังว่าต่อไปเขาจะไม่โง่งม ผลักให้เสาจิ่นไปเผชิญหน้ากับมารดา
เขากุมมือของมารดาเอาไว้ กล่าวปลอบโยนนางเสียงเบาว่า “ท่านแม่อย่าได้เข้าใจผิด พี่ใหญ่เองก็เข้าใจความยากลำบากของครอบครัวดี แต่สุดท้ายแล้วตำแหน่งค้ำตัวเขาอยู่ตรงนั้น งานแต่งของเจียซ่านหากอัตคัดเกินไปก็ดูไม่ดีนัก ตอนนั้นข้าบอกพี่ใหญ่ไปว่า เรื่องนี้ต้องกลับมาหารือกับท่านก่อน แต่เมื่อกลับมาถึงข้าก็หาวิธีเตรียมเงินเอาไว้แล้วหนึ่งแสนเหลี่ยง ข้าคิดว่าถึงเวลานั้นให้บอกกับพี่ใหญ่ว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินส่วนตัวของท่าน กล่าวคือ แทนที่จะให้พี่สะใภ้ใหญ่นำเงินส่วนตัวของนางออกมาให้เจียซ่านแต่งงาน มิสู้ให้ท่านออกเงินเองจะดีกว่า…”
เมื่อเป็นเช่นนี้ หยวนซื่อก็จะไม่มีคำพูดอะไรให้พูดได้แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกุมมือเฉิงฉือกลับอย่างแน่น ไม่เปล่งเสียงใดกว่าครู่ใหญ่ แต่เมื่อเอ่ยปากก็ “แม้นพวกเรากับซอยจิ่วหรูจะแยกตระกูลกันแล้ว แต่พวกเราต่างหากที่เป็นสายหลักของตระกูลเฉิง กฎระเบียบภายในบ้านก็ย่อมต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมปฏิบัติอย่างที่ซอยจิ่วหรูเคยปฏิบัติกันมา”
ธรรมเนียมปฏิบัติของซอยจิ่วหรูนั้น เวลาแต่งงานบุตรชายของภรรยาเอกใช้เงินหนึ่งพันเหลี่ยง บุตรชายของอนุใช้เงินห้าร้อยเหลี่ยง บุตรสาวของภรรยาเอกใช้เงินเจ็ดร้อยเหลี่ยง บุตรสาวของอนุใช้เงินสามร้อยเหลี่ยง เพียงแต่ว่าซอยจิ่วหรูร่ำรวยมาเป็นเวลานาน จึงไม่ได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบนี้มานานแล้ว
เฉิงฉือหัวเราะอย่างฝืดเฝื่อน เกลี้ยกล่อมฮูหยินผู้เฒ่าว่า “พวกเราก็มิได้ขาดเหลือเงินทองอะไร อีกไม่กี่วันข้าค่อยถ่ายโอนเงินกลับมาให้หนึ่งแสนเหลี่ยง ท่านไม่จำเป็นต้องขุ่นเคืองใจด้วยเรื่องนี้ อารมณ์เสียแล้ว ไม่คุ้มค่ากันหรอกขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่กล่าวอะไร
แต่วันรุ่งขึ้นเมื่อเจอหน้าโจวเสาจิ่นแล้ว ก็ต้องการให้โจวเสาจิ่นคัดลอกสมุดบัญชีในเรือนชั้นในของซอยจิ่วหรู ยังกำชับนางด้วยว่า “รายจ่ายแต่ละรายการเจ้าจงจำเอาไว้ให้หมด ต่อไปมีเรื่องอะไรก็ให้ใช้จ่ายไปตามนั้น”
โจวเสาจิ่นนั้นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างฮูหยินผู้เฒ่ากัวและเฉิงจิง นางจึงรับคำอย่างเชื่อฟัง เริ่มต้นคัดลอกสมุดบัญชีของเรือนชั้นในของซอยจิ่วหรู
ตกบ่าย ฟางเซวียนก็มาจริงๆ
นางสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยไร้ลวดลายสีม่วงอ่อน กระโปรงจีบสีขาวพระจันทร์ รองเท้าผ้าปักที่สวมอยู่บนเท้าประดับเอาไว้ด้วยไข่มุกขนาดใหญ่เท่าเม็ดบัว ดูหรูหราและไม่ขาดความงดงาม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงนั่งสนทนากับนางอยู่ในห้องรับแขก
ส่วนโจวเสาจิ่นนั่งคัดลอกสมุดบัญชีอยู่ในห้องข้าง
ฮูหยินผู้เฒ่ารั้งให้อยู่รับมื้อเย็นด้วย ทั้งสองต่างรับประทานอาหารเย็นเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับจวน
ฮูหยินรองฟางรอนางอยู่ในห้องนอนของฟางเซวียน เมื่อเห็นนางก็ถามขึ้นว่าวันนี้อยู่ตระกูลเฉิงได้ทำอะไรบ้าง
ฟางเซวียนบอกมารดาไปตามจริง
ฮูหยินรองฟางได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าบอกว่า คุณหนูรองตระกูลโจวก็อยู่ด้วย แต่ว่าตอนที่เจ้ากับฮูหยินผู้เฒ่าสนทนากันอยู่นั้น นางนั่งคัดลอกสมุดบัญชีอยู่ในห้องข้างอย่างนั้นหรือ”
นี่เห็นได้ชัดว่ากำลังสอนคุณหนูรองตระกูลโจวว่าการครองเรือนนั้นต้องทำอย่างไร!
แต่ธรรมเนียมปฏิบัติของแต่ละบ้านล้วนไม่เหมือนกัน การให้คุณหนูรองตระกูลโจวคัดลอกสมุดบัญชีของตระกูลเฉิงนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่
เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นมารดาของขุนนางใหญ่ ยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟางเซวียนจึงไม่กล้าซุกซน ปรับอารมณ์และจิตใจอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปตลอดทั้งบ่าย จึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก ได้ยินเช่นนั้นก็อ้าปากหาวครั้งหนึ่งพร้อมกับตอบว่า “ใช่แล้วเจ้าค่ะ! ฮูหยินรองเว่ยบอกว่า ฮูหยินผู้เฒ่าให้นางคัดลอกสมุดบัญชีเหล่านั้นทั้งหมดหนึ่งจบ จากนั้นให้เก็บไว้ในห้องเก็บของ บอกว่าสมุดบัญชีบางส่วนของเมื่อก่อนสูญหายไปแล้ว จึงต้องเก็บสมุดบัญชีเหล่านี้เอาไว้ใช้เป็นอ้างอิงในอนาคต”
นี่ก็มีความเป็นไปได้!
จวนหลักแยกตัวออกมาจากซอยจิ่วหรู มีของบางอย่างที่อาจสูญหายไปบ้างก็เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้
แต่ในใจของฮูหยินรองฟางยังคงรู้สึกไม่วางใจทั้งหมด
ทุกครั้งที่ฟางเซวียนไปตระกูลเฉิงล้วนให้นางสังเกตดูว่าโจวเสาจิ่นทำอะไรบ้างมาอย่างละเอียด ได้รู้ว่าโจวเสาจิ่นนั่งคัดลอกสมุดบัญชีโดยตลอด ยังเรียกให้ปี้อวี้สาวใช้ใหญ่ที่เคยรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปช่วยคัดด้วย ส่วนฟางเซวียนก็ได้รับการชี้แนะจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว เริ่มเรียนเขียนอักษรกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว นางถึงได้วางใจลงได้
และแล้วฤดูร้อนก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
เรื่องที่จินหลิงก็จัดการอย่างเหมาะสมลงตัวหมดแล้ว
ข้าวของต่างๆ ก็ทยอยกันส่งมาจากเมืองจินหลิง ปี้อวี้และคนอื่นๆ ต่างวุ่นอยู่กับการกำกับบ่าวชายป้ารับใช้ทั้งหลายนำข้าวของต่างๆ ไปจัดเก็บให้เรียบร้อยในแต่ละห้อง
ต้นเดือนแปด หยวนซื่อก็เร่งเดินทางกลับมาจากจินหลิงเพื่อฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์
คนที่มาด้วยยังมีบ่าวไพร่ที่ยินดีติดตามมาตั้งรกรากอยู่ที่จิงเฉิงกับตระกูลเฉิงด้วยอีกสิบกว่าครอบครัว ยังมีบางส่วนที่ไม่อยากมาตั้งรกรากอยู่ที่จิงเฉิงแต่ก็ไม่อยากไปจากตระกูลเฉิงเช่นกัน หยวนซื่อจึงจัดแจงให้พวกเขาช่วยดูแลหลุมศพของบรรพบุรุษและสุสานของตระกูลแทน
แน่นอนว่าพื้นที่ที่ซอยซิ่งหลินมีไม่เพียงพอแล้ว ส่วนใหญ่จึงถูกจัดให้มาอยู่ที่ประตูเฉาหยาง
หยวนซื่อล้างหน้าล้างตาที่ซอยซิ่งหลินครั้งหนึ่งแล้วก็เร่งเดินทางมายังบ้านที่ประตูเฉาหยาง
นางมองต้นไม้เก่าแก่ที่สูงเสียดฟ้า ทางเดินที่กว้างขวาง ตัวบ้านที่งดงาม และน้ำทะเลสาบที่เคลื่อนเป็นริ้วสีทองในบ้านแล้วก็เบิกดวงตาโตอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยถามมามาที่นางทิ้งเอาไว้ให้อยู่ดูแลเฉิงจิงที่ซอยซิ่งหลินว่า “นายท่านสี่ซื้อบ้านหลังนี้มาตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
หลังใหญ่กว่าบ้านที่ซอยซิ่งหลินมากโข
ก่อนหน้านี้หยวนซื่อได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวใช้เงินส่วนตัวซื้อบ้านใกล้ๆ กับประตูเฉาหยางให้เฉิงฉือหลังหนึ่ง นางยังคิดว่าอย่างมากก็คงเป็นบ้านที่มีขนาดไม่ต่างไปจากบ้านที่ซอยซิ่งหลินนัก คิดไม่ถึงว่าจะ…ใหญ่โตขนาดนี้
เมื่อเทียบกันแล้วมิได้ด้อยไปกว่าพื้นที่พักอาศัยของจวนหลักที่ซอยจิ่วหรูเลย
มามาผู้นั้นกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “ได้ยินว่าเป็นบ้านสามหลังรวมกัน ต้องเจรจากันอยู่นานกว่าจะซื้อทั้งหมดมาได้ ส่วนเรื่องที่ว่าเริ่มทำการปรับปรุงตั้งแต่เมื่อใดนั้น ข้าก็ไม่ทราบแล้ว…ตอนที่นายท่านสี่มาบอกนั้นก็เข้ามาอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
หยวนซื่อขานรับคำเสียงหนึ่งว่า “อืม” ด้วยจิตใจเลื่อนลอย ได้พบกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนหลักของลานบ้านหลัก ณ ถนนฝั่งตะวันออก