ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 439 สะใภ้ใหญ่
แสงแดดยามรุ่งอรุณสาดส่องอยู่ทั่วลานบ้านอันเงียบสงบ ในอากาศยังมีความสดชื่นที่เป็นเอกลักษณ์จำเพาะของอากาศยามเช้าในฤดูใบไม้ร่วงหลงเหลืออยู่ด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสวมชุดเพ่ยจื่อสีเหลืองอ้อยปลายชุดทอลายคลื่นน้ำตัวหนึ่ง เกล้าผมขึ้นเป็นมวย อาจเพื่อให้เข้ากับฤดูกาล จึงปักผมด้วยกิ่งดอกกุ้ยฮวาเอาไว้ กำลังตัดแต่งกิ่งต้นสนที่มีความสูงเท่าคนกระถางหนึ่งอยู่ตรงกลางลานบ้านโดยมีเจินจูและอีกหลายคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ จากท่าทางนั่นแล้วดูมีชีวิตชีวากว่าตอนอยู่ที่เรือนหานปี้ซานเสียอีก
เห็นได้ชัดว่าเรื่องแยกตระกูลอะไรนั้น ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับสภาพจิตใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลย
หยวนซื่อพึมพำอยู่ในใจ ก้าวออกไปทำความเคารพแม่สามีอย่างนอบน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหันมาพยักหน้าให้นาง กระทั่งตัดแต่งกิ่งสุดท้ายเสร็จ มองสำรวจอย่างถี่ถ้วนหนึ่งรอบ เมื่อพอใจแล้วถึงได้ส่งกรรไกรในมือให้เจินจูที่อยู่ข้างๆ รับผ้าเช็ดมือสีม่วงที่เตรียมเอาไว้ตั้งนานแล้วมาเช็ดมือ ตอนนี้เองถึงได้ถามนางว่า “มาแล้วหรือ รับมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง”
หยวนซื่อรีบก้าวออกไปประคองแขนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ เอ่ยขึ้นอย่างนบนอบและระมัดระวังว่า “เพิ่งมาถึงเมื่อคืนเจ้าค่ะ ดึกมากเกินไป กลัวว่าจะรบกวนท่าน เป็นความคิดของนายท่านใหญ่ ให้ข้าค่อยมาหาท่านเช้าตรู่วันนี้แทน จึงยังไม่ได้รับมื้อเช้าเลยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวร้อง “อืม” เสียงหนึ่งโดยไม่แสดงความเห็นอะไรเพิ่ม กล่าวเสียงเรียบว่า “เช่นนั้นก็มารับมื้อเช้าเป็นเพื่อนข้าก็แล้วกัน”
หยวนซื่อก้มหน้าลงพลางขานรับ “เจ้าค่ะ” ทั้งสองคนจึงเดินเข้าเรือนหลักไป
เครื่องเรือนทาน้ำมันเคลือบสีดำ ฉากกั้นงาช้างสิบสองบานพับ ผ้าม่านเตียงผ้าไหมบางเบาสีเหลืองอ่อนโปร่งแสงดุจม่านหมอก แจกันดอกไม้กระเบื้องเคลือบสีขาวข้างๆ บานหน้าต่างกระจกหลากสีนั้นมีดอกกุ้ยฮวาที่เพิ่งหักกิ่งมาใหม่ๆ เสียบเอาไว้ด้วยสองสามกิ่ง ทั้งห้องจึงอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา
ไม่ด้อยไปกว่าบ้านที่ซอยจิ่วหรูเลยแม้แต่นิดเดียว
หยวนซื่อทั้งรู้สึกชื่นชมและอิจฉาไปด้วยอย่างอดไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าช่างมีวาสนาดีจริงๆ บุตรชายทั้งสามคนแต่ละคนต่างสร้างชื่อเสียงมาให้ ครอบครัวประสบกับความโชคร้าย นางยังคงร่ำรวยเงินทอง สิ่งที่ควรจะมีก็ยังมีเหมือนเดิมมิได้ลดน้อยลง
หากว่าแก่ตัวลงไปแล้วนางมีชีวิตอย่างฮูหยินผู้เฒ่าได้ก็คงจะดี
ฮูหยินรองเว่ยคอยกำกับสาวใช้เด็กตั้งโต๊ะอาหาร ทั้งสามคนนั่งรับประทานมื้อเช้าบนตั่งตัวใหญ่ริมหน้าต่างในห้องรับแขกกันอย่างเงียบๆ
กระทั่งรับประทานอาหารเสร็จ สาวใช้เด็กเก็บกวาดโต๊ะและนำน้ำชาขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินรองเว่ยจึงถอยออกไป
หยวนซื่อถึงได้กล่าวถึงเรื่องที่จินหลิงขึ้นมา “…ทางด้านสุสานของตระกูลนั้นได้สร้างบ้านขนาดห้าห้องขึ้นมาใหม่หนึ่งหลัง เมื่อเลือกวันมงคลได้แล้ว ก็จะย้ายป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษทั้งหลายเข้าไป มอบหมายให้บ่าวรับใช้ที่จงรักภักดีไปดูแลอยู่ที่นั่น สิ่งของในบ้านที่นำมาด้วยได้ล้วนส่งมาที่นี่ทั้งหมดแล้ว ส่วนที่นำมาไม่ได้นั้น ได้ซื้อบ้านขนาดสามถึงสี่หมู่หลังหนึ่งที่ซอยสือโถวแล้วนำของไปเก็บไว้ที่นั่นชั่วคราวก่อน มอบหมายให้บ่าวรับใช้ที่จงรักภักดี รวมถึงฝากฝังให้ท่านลุงและญาติผู้น้องทั้งหลายช่วยดูแลชั่วคราวสักระยะหนึ่ง รอให้ข้าเสร็จจากเรื่องงานแต่งของเจียซ่านแล้ว จะกลับไปจัดการเก็บกวาดสิ่งของในบ้านใหม่อีกครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ”
ยังมีทรัพย์สินอีกหนึ่งชุดใหญ่ส่งมาจากจินหลิง เฉิงสวี่รับผิดชอบคุ้มกันมากับเรือ จึงต้องรออีกหลายวันกว่าจะเดินทางมาถึง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าน้อยๆ พลางกล่าว “ลำบากเจ้าแล้ว”
หยวนซื่อรีบลุกขึ้นยืน กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นสิ่งที่บุตรสะใภ้สมควรทำเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยกมือขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้นางนั่งลงมาสนทนากัน กล่าวขึ้นว่า “ต้นไม้ดอกไม้ในเรือนเพาะชำเหล่านั้นล้วนขนมาหมดแล้วกระมัง”
หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ล้วนขนออกมาแล้ว จะมาถึงจิงเฉิงพร้อมกับเรือของเจียซ่านเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วหมุนลูกประคำในมือ กล่าวขึ้นว่า “ยามเปลี่ยนสถานที่ใหม่ ต้นไม้ตาย ทว่าคนกลับมีชีวิต อยู่ที่บ้านหลังเก่ามาร้อยกว่าปี วันนี้กลับต้องย้ายออกมา ไม่รู้ว่าต่อไปพวกเจ้าจะตั้งรกรากอยู่ที่จิงเฉิงหรือไม่”
หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ อย่างสุภาพว่า “นายท่านทั้งสามคนล้วนเป็นคนกตัญญูรู้คุณ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีหลุมอุปสรรคใดที่ข้ามไม่ได้บ้าง ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ตั้งใจดูแลร่างกายให้แข็งแรง ยังมีความสุขของวันข้างหน้าให้ได้ยินดีอีกเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าจะให้ข้ามีชีวิตอยู่จนกลายเป็นวิญญาณปีศาจไปหรืออย่างไร”
หยวนซื่อรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ในบ้านมีผู้อาวุโสคนหนึ่งก็เสมือนกับมีสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีท่านนั่งเป็นองค์ประทาน ในใจของพวกข้าล้วนรู้สึกกระวนกระวายยิ่ง ท่านอย่าได้กล่าวคำพูดชวนหดหู่ใจเช่นนี้อีก พวกข้ายังหวังจะได้จัดงานวันมหาวันคล้ายวันเกิดครบรอบแปดสิบปีให้ท่านอยู่นะเจ้าคะ!”
เมื่อสองปีก่อนท่านผู้นำตระกูลจวนรองเฉิงซวี่ก็จัดงานวันมหาวันคล้ายวันเกิดครบรอบแปดสิบปีไป
เมื่อก่อนเนื่องจากมีเขากดข่มเอาไว้ คนรุ่นหลังล้วนไม่อาจจัดงานวันเกิดได้ ตอนนี้แยกตระกูลแล้ว งานวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงจัดอย่างครึกครื้นได้แล้ว
เนื่องด้วยคำพูดดังกล่าว บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนจึงถือได้ว่าดูอบอุ่นเป็นมิตรขึ้นมาเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “งานแต่งของเจียซ่านนั้นเจ้ามีการเตรียมการอย่างไรบ้าง”
แววตาของหยวนซื่อเป็นประกายเล็กน้อย รู้ว่าสามีได้รายงานความเห็นของตนให้แม่สามีทราบแล้ว
“นายท่านใหญ่ได้เป็นเจ้ากรมอยู่ในราชสำนัก ได้มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ เดิมทีนี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องน่ายินดีที่สุด” นางกล่าวช้าๆ “แต่ถ้าจะจัดงานรื่นเริงด้วยเรื่องนี้ อาจทำให้บรรดาเจ้าพนักงานที่คอยสอดส่องดูแลขุนนางทั้งหลายเอาเรื่องนี้ไปโจมตีนายท่านใหญ่ว่าชอบความฟุ้งเฟ้อ หยิบหย่งและอวดดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงไม่ควรเปิดเผยสู่สาธารณะเท่าไรนัก แต่ประจวบเหมาะกับที่เจียซ่านจะแต่งงานพอดี ข้าจึงคิดว่า มิสู้ใช้โอกาสที่เจียซ่านแต่งงานนี้จัดงานใหญ่เชิญญาติสนิทมิตรสหายมา ถือโอกาสเฉลิมฉลองให้นายท่านใหญ่ด้วย…”
“เจ้าเพียงบอกมาว่าเจ้าจะใช้เงินจำนวนเท่าไรก็พอ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวตัดบทคำพูดของนางอย่างกะทันหัน บรรยากาศอบอุ่นเป็นมิตรเมื่อครู่นี้มลายหายไปในทันใด
หยวนซื่อสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
คนเป็นย่าบ้านไหนบ้างที่ได้ยินว่าหลานชายกำลังจะแต่งงานแล้วไม่ตื่นเต้นยินดี มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเขาผู้นี้เท่านั้นที่ไม่รู้ว่าจะดีใจขึ้นมาในเวลาไหน และไม่รู้ว่าจะมีสีหน้าเย็นชาเวลาไหนด้วย
นางเอ่ยขึ้นว่า “ยังมิได้คำนวณอย่างละเอียดเจ้าค่ะ แต่ข้าคิดว่าสินเจ้าสาวของตระกูลหมิ่นนั้นอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีประมาณสามสิบหกเกี้ยวหาม อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ต้องใช้สามพันเหลี่ยง ยังมีน้ำชา สุรา ปะรำพิธี และเครื่องดนตรี…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวตัดบทคำพูดของนางอีกครั้งว่า “สองหมื่นเหลี่ยงพอหรือไม่”
“หา!” หยวนซื่อตะลึงงัน
งานแต่งงานของคนโดยทั่วไปนั้น เงินจำนวนห้าพันเหลี่ยงก็ถือว่ามีหน้ามีตามากแล้ว นี่เงินจำนวนสองหมื่นเหลี่ยง…ไม่เพียงจัดงานแต่งได้อย่างดีเท่านั้น แม้แต่ค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปกับการปรับปรุงบ้านก่อนหน้านี้ก็ได้กลับคืนมาทั้งหมดอีกด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเพียงกล่าวว่า “สถานการณ์ของที่บ้านในเวลานี้เจ้าเองก็ทราบดี ตามความเห็นของข้าแล้ว จะให้ดีที่สุดงานแต่งของเจียซ่านควรจะเรียบง่ายเข้าไว้ แต่เจ้าก็พูดมาแล้วว่างานแต่งของเจียซ่านนั้นไม่เพียงเป็นการเกี่ยวดองกับตระกูลหมิ่นอย่างเดียว แต่เพื่อเฉลิมฉลองให้เจ้าใหญ่ด้วย อีกทั้งเขายังเป็นหลานชายคนโตจากภรรยาเอกของจวนหลักของพวกเรา จะใช้เงินมากสักหน่อยก็ได้! ค่าใช้จ่ายสำหรับงานแต่งของเขา ข้าจะเป็นคนจัดการเองก็แล้วกัน!” กล่าวจบ นางตะโกนบอกสื่อมามาว่า “เจ้าไปหยิบตั๋วเงินมาให้ฮูหยินสองหมื่นเหลี่ยง!”
สื่อมามาขานรับคำยิ้มๆ แล้วถอยออกไป หยวนซื่อยังไม่ได้สติคืนกลับมา
ตั๋วเงินสองหมื่นเหลี่ยง!
มิใช่สองพันเหลี่ยงหรือสองร้อยเหลี่ยง แต่เป็นสองหมื่นเหลี่ยง!
ฮูหยินผู้เฒ่าพูดว่าจะให้ก็ให้เลยง่ายๆ!
ราวกับว่านั่นมิใช่ตั๋วเงินสองหมื่นเหลี่ยงแต่เป็นเพียงลูกกวาดหนึ่งกำมือหรือขนมไม่กี่ชิ้นเท่านั้นก็ไม่ปาน
นางสัมผัสได้มานานแล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวมีเงิน เพียงแต่ไม่คิดว่าจะมีเงินมากถึงเพียงนี้
ฮูหยินผู้เฒ่า…ช่างมีวาสนาดีจริงๆ
ในใจของหยวนซื่อคล้ายกับมีก้อนอะไรมาอุดลมหายใจเอาไว้ กล่าวความรู้สึกอะไรไม่ออก จนกระทั่งสื่อมามาหยิบตั๋วเงินมาให้นาง นางถึงได้สติคืนกลับมา ลุกขึ้นยืนด้วยอาการตื่นเต้นเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ นี่…นี่…”
“จะให้ไปยุ่งกับสินติดตัวของเจ้าได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวค่อยๆ จิบน้ำชาคำหนึ่ง กล่าวต่อว่า “เจียซ่านเป็นหลานชายคนโตของข้า เขาจะแต่งงาน ข้าที่เป็นย่าผู้หนึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจผิดต่อเขาได้ เจ้าวางใจเถิด” จากนั้นถือจอกชาเอาไว้ กล่าวว่า “เจ้าเพิ่งกลับมาถึงจิงเฉิง คาดว่ายังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก ที่นี่ข้ามีสะใภ้รองอยู่เป็นเพื่อนก็พอแล้ว เจ้าไปจัดการธุระของเจ้าเถิด!”
ความจริงแล้วหยวนซื่อยังมีเรื่องอยากพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกมาก แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยื่นมือให้เงินมาถึงสองหมื่นเหลี่ยง ถึงตอนนี้นางก็ยังคงอยู่ในอาการตกใจอยู่ จึงไม่มีกะจิตกะใจคุยอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีก หลังจากกล่าวขอบคุณแล้วฮูหยินรองเว่ยก็ไปส่งนางที่ประตู
นางมองท่าทางที่จัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างสบายๆ ของฮูหยินรองเว่ยแล้วก็อดรู้สึกใจกระตุกไม่ได้
เจียงซ่านแต่งงาน ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแก่สถานะหลานชายคนโตจากภรรยาเอกของเขาจึงให้เงินมาสองหมื่นเหลี่ยง การที่ฮูหยินรองเว่ยได้ป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้ เมื่อผ่านไปนานวันเข้า หัวใจของมนุษย์ล้วนเติบโตขึ้นมาจากก้อนเนื้อ หากฮูหยินผู้เฒ่าจดจำความดีของนาง รอให้ถึงวันที่รั่งเกอเอ๋อร์แต่งงาน ฮูหยินผู้เฒ่าจะมอบของส่วนตัวอย่างอื่นให้รั่งเกอเอ๋อร์หรือไม่นะ!
อารมณ์ของหยวนซื่อจึงเปลี่ยนเป็นเปราะบางขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อกลับถึงซอยซิ่งหลินและได้พบกับเฉิงจิงแล้ว นางปรึกษาเฉิงจิงว่า “ท่านเป็นบุตรชายคนโต จะให้ท่านแม่ไปอยู่กับน้องสี่ได้อย่างไร นอกจากนี้สุขภาพร่างกายของน้องสะใภ้รองก็ไม่ดีนัก ต้องวิ่งไปวิ่งมาเพื่อปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนี้ทุกวันก็ถือว่าลำบากยิ่ง พวกเรารับท่านแม่กลับมาดีหรือไม่”
เฉิงจิงยิ้มเฝื่อน กล่าวขึ้นว่า “ทำไมข้าจะไม่รู้ แต่ท่านแม่บอกว่าที่นี่คับแคบเกินไป นางรู้สึกไม่คุ้นเคย ข้ายังให้คนไปสืบดูว่าตรอกซอยที่รายล้อมอยู่หน้าหลังซ้ายขวานี้มีใครขายบ้านบ้างหรือไม่ แต่ก็ยังคงไม่มีเช่นเดิม ต่อให้ข้าอยากขยับขยายบ้านก็ทำไม่ได้! ข้าว่าก็ตามใจท่านแม่เถิด ทางด้านโน้นข้าเองก็เคยเห็นมาแล้ว กว้างขวางกว่าที่นี่มากโข ท่านแม่อยู่แล้วก็สบายใจ มีญาติสนิทมิตรสหายมาเยี่ยมเยียน ดูงิ้ว หรือเดินชมสวนต่างๆ ก็ถือว่ามีที่ให้ได้ฆ่าเวลาบ้าง”
บิดามารดารักบุตรชายคนเล็ก ข้อนี้ช่างเห็นได้ชัดยิ่งนักจากฮูหยินผู้เฒ่า
เกรงว่าต่อไปในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าคงจะมีแต่น้องสี่ผู้เดียวเท่านั้นแล้ว!
หยวนซื่อใจกระตุก กล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ พวกเราก็ย้ายไปอยู่ที่ประตูเฉาหยางด้วยดีหรือไม่ ท่านดูอย่างตระกูลเลี่ยวจากเจิ้นเจียงหรือตระกูลหลี่จากหลูเจียงล้วนอยู่แถวนั้นกันทั้งสิ้น ตอนนี้พวกเรากับซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้ว จะได้ใช้ช่วงที่เจียซ่านแต่งงานนี้แก้ไขชื่อเสียงเรียงนามของพวกเราใหม่ให้ถูกต้องด้วยพอดี ต่อไปตระกูลเฉิงที่ซอยจิ่วหรูก็คือตระกูลเฉิงที่ซอยจิ่วหรู ตระกูลเฉิงที่ประตูเฉาหยางก็คือตระกูลเฉิงที่ประตูเฉาหยาง…”
“เจ้ากล่าววาจาไร้สาระอะไรกัน” เฉิงจิงกล่าวตัดบทคำพูดของหยวนซื่อยิ้มๆ ว่า “บ้านที่ประตูเฉาหยางนั้นเป็นบ้านที่ท่านแม่ใช้เงินส่วนตัวซื้อให้เจ้าสี่ เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย ต่อไปอย่าได้กล่าววาจาเช่นนี้อีก วันนี้พวกเราและซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกัน อำนาจต่างๆ ก็ค่อนข้างอ่อนแอลงแล้ว หากว่าระหว่างพี่น้องยังมาแตกคอกันด้วยเรื่องเงินทองพวกนี้อีก เช่นนั้นจวนหลักของพวกเราก็ถือได้ว่าจบสิ้นกันแล้ว นอกจากนี้ซอยซิ่งหลินก็เป็นบ้านเก่าแก่ดั้งเดิมของตระกูลเฉิงของพวกเรา เป็นสถานที่ที่จื้อกงพักอาศัยอยู่ตอนอยู่จิงเฉิง บริเวณโดยรอบล้วนเป็นบัณฑิตทั้งนั้น พอบอกว่าจะย้ายออกก็จะย้ายออกเลยได้อย่างไร ต่อให้ท่านแม่เห็นด้วย ข้าก็ยังคงเสียดายที่จะจากไปอยู่ดี!”
เรื่องของพรรคเจ็ดดารานั้นเฉิงจิงทราบเรื่องดี
มารดาจะมีเงินส่วนตัวซื้อบ้านให้น้องสี่มากมายขนาดนั้นได้อย่างไร แต่เพื่อตระกูลเฉิงและเพื่อจวนหลักแล้ว น้องสี่ได้เสียสละตัวเองมาเป็นเวลานาน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอยากซื้อบ้านให้ตัวเองสักหลังหนึ่ง ต่อให้อยากใช้ชีวิตอย่างสำมะเลเทเมาสักครั้ง เขาที่เป็นพี่ชายผู้หนึ่งนี้ก็ได้แต่ต้องหาวิธีเก็บกวาดความวุ่นวายให้เขาเท่านั้นแล้ว!
หยวนซื่อจำต้องจบหัวข้อสนทนานี้ไปชั่วคราวก่อน เล่าเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบตั๋วเงินจำนวนสองหมื่นเหลี่ยงให้นางให้เฉิงจิงฟัง
เฉิงจิงคาดเดาว่าเงินก้อนนี้น่าจะเป็นเงินที่เฉิงฉือหาวิธีถ่ายโอนมาจากพรรคเจ็ดดารา
ทุกวันนี้คลังกองกลางไม่มีเงินเหลือแล้ว
สองหมื่นเหลี่ยงมิใช่จำนวนน้อยๆ เลย!
เขาแสร้งทำเป็นประหลาดใจพร้อมกับถามขึ้นเสียงหนึ่งว่า “จริงหรือ”
หยวนซื่อเอาตั๋วเงินให้เขาดู
เฉิงจิงจึงสาธยายต่อหน้าภรรยาว่ามารดาดีมากเพียงใดและรักใคร่บุตรชายหญิงมากเพียงใดไปคำรบหนึ่ง
แม้นในใจของหยวนซื่อจะไม่ค่อยยินดีนัก แต่ก็ไม่อาจไม่เออออตามได้
เฉิงจิงจึงปรึกษากับนางว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดพวกเขาสองสามีภรรยาจะไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่ประตูเฉาหยางด้วยกัน
เพียงหยวนซื่อนึกถึงสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอนหยิบเงินสองหมื่นเหลี่ยงออกมานั้น ในใจก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา รีบตอบตกลงในทันที