ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 441 ใส่ใจ
เฉิงจิงมีสีหน้าไม่พอใจ ถามเฉิงฉือว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่ปรึกษาข้าสักคำเล่า”
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่มิใช่ว่ากำลังปรึกษาท่านอยู่หรอกหรือ ที่ใต้เท่าซ่งเสนอให้ข้ารับราชการนั้น ก็มิใช่เรื่องวันนี้เมื่อวานนี้เสียหน่อยขอรับ!”
เฉิงจิงรู้สึกหายใจไม่ออก
เขาคิดว่าคราวก่อนเขาได้พูดไปอย่างชัดเจนแล้ว คิดไม่ถึงว่าเฉิงฉือกลับมิได้เอาไปใส่ใจ ยังคงยืนกรานในแนวทางของตัวเองดังเดิม
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทนมองเฉิงจิงหรือไม่ก็เฉิงเว่ยกดข่มเฉิงฉือไม่ได้
ถ้าหากตอนนั้นมิใช่เพราะการเสียสละของเฉิงฉือ พวกเขาจะได้กลับไปรับราชการหลังการไว้ทุกข์อย่างราบรื่น และยังโลดแล่นอยู่ในเส้นทางราชการอย่างสงบสุขและราบรื่นได้หรือ
นางยังมีชีวิตอยู่ เจ้าใหญ่ก็แสดงท่าทางออกคำสั่งกับเจ้าสี่แล้ว ไม่พอใจอะไรเล็กน้อยก็ว่ากล่าวเจ้าสี่เสมือนบิดาตำหนิบุตรชายก็ไม่ปาน ถ้าหากนางตายไป ในสายตาของเจ้าใหญ่ยังจะมีน้องชายของตัวเองที่เสียสละตนเพื่ออนาคตของเขาผู้นี้อยู่อีกหรือ
เจ้าสี่ไม่เพียงต้องออกไปรับราชการเท่านั้น ยังต้องรับราชการอย่างเชิดหน้าชูตาโดยการตอบรับคำเชิญของซ่งจิ่งหรานด้วย
นางกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจในทันทีว่า “เจ้าใหญ่ นี่เจ้ากล่าวอะไรออกมา ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เจ้าก็จะไม่รู้ด้วยอย่างนั้นหรือ เมื่อก่อนที่เจ้าสี่ไม่รับราชการก็เพราะเฉิงซวี่ยืนกรานจะให้เจ้าสี่ดูแลกิจการของซอยจิ่วหรู ตอนนี้พวกเราและซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้ว กิจการของตระกูลมีพวกพ่อบ้านคอยดูแลอยู่ เป็นธรรมดาที่เจ้าสี่ควรจะออกไปรับราชการได้แล้ว ตอนที่เจ้าสี่บอกข้าว่าซ่งจิ่งหรานเสนอให้เขาเป็นขุนนางนั้นข้ายังรู้สึกประหลาดใจเลย เจ้าเป็นพี่ชายใหญ่ของเจ้าสี่ เรื่องของเจ้าสี่เจ้าควรจะคิดวางแผนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วถึงจะถูก ข้าเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความจริงแล้วไม่เคยคิดเรื่องของเจ้าสี่มาก่อนเลยนี่เอง…แล้วช่วงนี้เจ้าทำอะไรอยู่ ตอนที่โวยวายว่าต้องการจะแยกตระกูลนั้นไม่เคยตริตรองมาก่อนเลยว่าหลังจากแยกตระกูลแล้วจะมีชีวิตอย่างไรต่อไปเลยอย่างนั้นหรือ เช่นนี้เจ้ายังกล้าจะแยกตระกูลอีกหรือ สมองของเจ้ามีน้ำเข้าจนเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร”
เฉิงจิงถูกมารดาตำหนิต่อหน้าน้องชายทั้งสองคน รวมถึงภรรยาและน้องสะใภ้ไปคำรบหนึ่ง อ้าปากหมายจะกล่าวอธิบาย ทว่าถูกภรรยาเตะเบาๆ ที่เท้าเสียก่อน
เขารีบหันไปมองภรรยาในทันที
ภรรยากลับส่งสัญญาณให้เขาไม่ต้องวู่วาม ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น และรีบกล่าวขอโทษมารดากับน้องสี่เสีย
เขาเข้าใจหลักที่ว่าครอบครัวสามัคคีปรองดองกันจะนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์นั้นดี เพียงแต่ว่าเรื่องในครั้งนี้มารดาและน้องเล็กทำเกินไปแล้ว
ครั้งนี้เขาจึงไม่สนใจสัญญาณเตือนของภรรยา แต่ยังคงกล่าวต่อไปว่า “ท่านแม่ กรมขุนนางนั้นมิใช่ว่าจะมีตำแหน่งดีๆ ว่างอยู่ตลอดเวลา เพราะข้าตั้งใจจะหางานที่ดีๆ ให้เจ้าสี่สักตำแหน่งหนึ่ง ฉะนั้นถึงได้ใช้เวลาคัดเลือกจนล่าช้า มิใช่เพราะไม่พยายามอย่างเต็มความสามารถ ความจริงแล้วข้าถูกใจตำแหน่งรองสำนักขนส่งเกลือเหลี่ยงไหวให้เจ้าสี่ เพียงแต่ว่าตำแหน่งรองสำนักขนส่งเกลือนั้นเริ่มต้นจากยศห้าผิ่น เจ้าสี่ยังไม่เคยรับราชการมาก่อน ทางด้านของกรมการตรวจตรานั้นไม่ค่อยน่าทำนัก ข้ากำลังพิจารณาอยู่ว่าควรจะหาตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาทำไปพลางๆ ก่อนสักตำแหน่งหนึ่ง เริ่มจากยศหกผิ่น อาจจะไม่สูงส่งนักแต่ก็พอไปวัดไปวาได้ รอให้สำนักขนส่งเกลือทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ ก็จะได้กลับเข้าเมืองหลวงพอดี ตอนนั้นคงหาตำแหน่งงานที่ใช้ยศห้าผิ่นทำสักตำแหน่งหนึ่งได้อย่างราบรื่น…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่รอให้เขาพูดจบก็ถ่มน้ำลายใส่เขาครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงเคร่งว่า “ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าตระกูลเฉิงของพวกเราผงาดขึ้นมาในรัชกาลนี้ได้ก็เพราะอาศัยการขนส่งเกลือ ตอนนั้นสำนักขนส่งเกลือเหลี่ยงไหวช่วยคืนเงินแทนข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำ น้องชายคนเล็กของเจ้าต้องวิ่งไปมาระหว่างไหวอันและจินหลิงอยู่สองปีเต็มๆ สองปีนั้นข้าไม่ได้หลับสนิทเลยแม้แต่คืนเดียว กลัวว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับสำนักขนส่งเกลือแล้วจะลากน้องชายของเจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แม้แต่เจ้าหน้าที่เสมียนฝ่ายพลเรือนเซียงจื้อหย่งประจำไหวอันคนที่เคยช่วยเหลือน้องชายของเจ้ามาก่อนในเวลานั้น น้องชายของเจ้ายังช่วยคิดหาทางโยกย้ายเขาไปเป็นนายอำเภอที่ซงเจียงแทน เซียงจื้อหย่งผู้นั้นยังส่งคนมาคารวะข้าทุกๆ เทศกาลปีใหม่มิได้ขาด เจ้าคิดว่าสองปีนั้นน้องชายของเจ้าถือย่ามไปรับเงินจากที่นั่นมาเฉยๆ อย่างนั้นหรือ นั่นเป็นการที่น้องชายของเจ้าเสี่ยงชีวิตไปหาเงินมาให้พวกเจ้าใช้อย่างไร เจ้าเห็นว่าตอนนี้ที่บ้านสูญเสียกำลังทรัพย์ไปมาก ก็เลยคิดจะตักตวงเงินจากสำนักขนส่งเกลือกลับมาสักหน่อยใช่หรือไม่ เมื่อก่อนน้องชายของเจ้าเป็นพ่อค้า พ่อค้าย่อมแสวงหาผลกำไร จึงยังพออภัยให้ได้ ตอนนี้เจ้าจะให้น้องชายของเจ้าไปเป็นรองสำนักขนส่งเกลือจากนั้นก็โกยเงินกลับมาที่บ้าน เช่นนั้นมันคือการยักยอกโกงกินแล้ว! นี่เจ้าอยากหาอนาคตให้น้องชายของเจ้าอย่างนั้นหรือ ข้าดูแล้วเจ้าอยากจะให้น้องชายของเจ้าตายเร็วขึ้นมากกว่ากระมัง”
เมื่อกล่าวมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเฉิงจิง แม้แต่เฉิงเว่ยที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ยังตกใจเป็นอย่างมาก เฉิงจิงยิ่งแล้วใหญ่คุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสียงดังพึ่บพับ กล่าวขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งโมโห! ท่านฟังข้าอธิบายก่อน พวกข้าสามพี่น้อง ข้าจะให้เกิดเรื่องกับเจ้าสี่ได้อย่างไร ข้าเพียงแต่คิดว่าเจ้าสี่คุ้นเคยกับการขนส่งเกลือ มิสู้ลองไปทำงานที่สำนักขนส่งเกลือดูก่อน…”
เฉิงจิงคุกเข่าลงไปแล้ว เฉิงเว่ยจึงไม่อาจยืนต่อไปได้ จึงคุกเข่าลงตามไปด้วย
หยวนซื่อและฮูหยินรองเว่ยชิวซื่อเห็นสถานการณ์นี้แล้ว ก็ได้แต่คุกเข่าลงตามไปด้วยเช่นกัน
ฮูหยินรองเว่ยเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากอย่างห้ามไม่อยู่
นางอยู่จิงเฉิงมาสิบกว่าปี ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับฮูหยินผู้เฒ่าเท่าไรนัก เมื่อก่อนรู้เพียงว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนเด็ดเดี่ยวมากผู้หนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อแก่ชราลง เพื่อเรื่องของน้องสี่แล้วฮูหยินผู้เฒ่าจะถึงกับทำตัวไร้เหตุผลเสมือนกับเป็นเด็กน้อยผู้หนึ่งขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าคำกล่าวเก่าแก่เหล่านั้นช่างกล่าวได้มีเหตุผลนัก
คนเป็นพ่อเป็นแม่นี้มักจะรักบุตรชายคนเล็กมากกว่า
เมื่ออายุมากขึ้นคนเราก็จะเหมือนเด็กมากขึ้นไปเรื่อยๆ
หยวนซื่อกลับอดที่จะค่อนขอดอยู่ในใจไม่ได้
หัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าดวงนี้ช่างลำเอียงมากเกินไปแล้ว
นายท่านใหญ่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย ฮูหยินผู้เฒ่าก็โวยวายจะเป็นจะตายเช่นนี้แล้ว…นางส่งสัญญาณบอกไปตั้งนานแล้ว แต่นายท่านใหญ่ก็ไม่ฟัง ตอนนี้จบกันแล้ว ทุกคนต่างเข้าหน้าไม่ติดตามไปด้วยกันทั้งหมดแล้ว
แต่คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้ย้ำเตือนนางเช่นกัน
ตระกูลเฉิงผงาดขึ้นมาได้เพราะอาศัยการขนส่งเกลือ นั่นเป็นการค้าอะไรกันแน่ ได้ยินมาว่าพ่อค้าเกลือที่หยางโจวมีเงินกองเป็นภูเขาขนาดย่อมอยู่ในห้องเก็บของในบ้านเลยด้วยซ้ำ…ตระกูลเฉิงร่ำรวยมานานหลายปีขนาดนี้ ไม่แปลกที่เจียซ่านแต่งงานแล้วฮูหยินผู้เฒ่าจะให้เงินถึงสองหมื่นเหลี่ยง…หลังจากที่คุณหนูใหญ่ตระกูลหมิ่นแต่งเข้ามาแล้ว ต้องเตือนนางเอาไว้สักหน่อยว่าห้ามเสียมารยาทกับฮูหยินผู้เฒ่าเด็ดขาดแม้แต่นิดเดียว!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ดุด่าบุตรชายไปคำรบหนึ่งแล้วถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
เฉิงฉือเห็นสีหน้าของมารดาสงบลงเล็กน้อยแล้ว จึงรีบรินชาส่งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจอกหนึ่ง กล่าวโน้มน้าวว่า “ท่านแม่ พี่ใหญ่ไหนเลยจะคิดอย่างที่ท่านกล่าวมากัน ท่านก็อย่าโมโหไปเลย ข้าเองก็มิใช่เด็กๆ แล้ว จะไปที่ไหนข้าย่อมมีความคิดเป็นของตัวเอง ท่านก็อย่าไปบังคับให้พี่ใหญ่ต้องวิ่งวุ่นซ้ายขวาเพื่อข้าอีกเลย ตอนนี้เขาเป็นขุนนางใหญ่ในสภาแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีคนคอยจับตาดูอยู่มากมายเพียงใด บางเรื่องควรจะหลีกเลี่ยงเหตุอันจะก่อให้เกิดข้อครหาเอาไว้จะดีกว่า ใต้เท้าซ่งฝากฝังข้าได้พอดีเลย ได้ทั้งหลีกเลี่ยงคำติฉินนินทาของผู้อื่น และเมื่อข้าเข้ารับตำแหน่งแล้วก็ปรับตัวได้เร็วขึ้นด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงไม่คลายจากความกรุ่นโกรธ กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าดูแล้วเขามิได้ไม่พอใจตำแหน่งหน้าที่ที่ใต้เท้าซ่งหามาให้ แต่เป็นเพราะหน้าที่การงานของเจ้านั้นเป็นใต้เท้าซ่งที่ฝากฝังให้ ทำให้เขารู้สึกเสียหน้ามากกว่ากระมัง”
“จะเป็นไปได้อย่างไรขอรับๆ!” เฉิงจิงอธิบายแก้ต่างอย่างเก้อกระดาก “หากข้าหวาดวิตกเรื่องหน้าตาก็คงจะห้ามมิให้เจ้าสี่ไปมาหาสู่กับตระกูลซ่งไปแล้ว ข้าเพียงกลัวว่าการเคลื่อนไหวของเจ้าสี่จะตกไปอยู่ในสายตาของคนคิดไม่ซื่อแล้วนำไปสร้างเรื่องปลุกปั่นให้ข้า…”
กล่าวไปกล่าวมาก็ยังเป็นเพราะกลัวว่าผู้อื่นจะเข้าใจผิดนั่นเอง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่อยากพูดกับบุตรชายคนโตอีก จึงตัดบทเฉิงจิงอย่างไม่เกรงใจ กล่าวกับเฉิงเว่ยว่า “เรื่องของเจ้าสี่ เจ้าช่วยใส่ใจดูสักหน่อยก็แล้วกันว่าหยางโซ่วซานผู้นั้นมีนิสัยใจคอเป็นอย่างไร เป็นคนที่ไหน มีงานอดิเรกอะไร ในบ้านมีใครบ้าง มีญาติพี่น้องฝั่งภรรยาที่ต่างก็ไปมาหาสู่กันบ้างหรือไม่…ทั้งหมดนี้เจ้าช่วยไปสืบมาสักหน่อย เมื่อเจ้าสี่ไปทำงานด้วยแล้วจะได้ทำตัวได้ง่ายขึ้น ส่วนทางด้านของฮูหยินซ่งนั้น ข้าจะไปกล่าวขอบคุณด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้ใต้เท้าซ่งของพวกเขาต้องลำบากแล้ว!”
เฉิงฉือกลับนึกถึงซ่งมู่ขึ้นมา
แทนที่จะรอให้เขาได้ยินเรื่องแต่งงานระหว่างตนและเสาจิ่นจากปากของคนอื่น ไม่สู้เขาไปด้วยบอกด้วยตัวเองก่อนจะดีกว่า ให้ซ่งมู่ได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
สามพี่น้องอยู่ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวกว่าพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหนื่อยล้าแล้ว ถึงได้ลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา
ตอนออกจากประตูนั้น หยวนซื่อดึงแขนเสื้อของเฉิงจิงครั้งหนึ่ง
เฉิงจิงเข้าใจความหมาย จึงชะลอฝีเท้าให้ช้าลง รั้งอยู่ด้านหลังของเฉิงเว่ยและเฉิงฉือ
เฉิงเว่ยไม่ใส่ใจ ยังคงพูดคุยกับเฉิงฉือเรื่องประวัติส่วนตัวของขุนนางที่มียศหกหรือเจ็ดผิ่นทว่ากลับดำรงตำแหน่งที่สำคัญจริงๆ เหล่านั้นในราชสำนักต่อไป
ชิวซื่อเห็นท่าทางของหยวนซื่อสองสามีภรรยาเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดคุยกัน กำลังคิดจะก้าวไปอยู่ข้างหน้าหยวนซื่อและเฉิงจิงสักสองสามก้าวเพื่อเหลือพื้นที่ให้หยวนซื่อสองสามีภรรยาอยู่นั้น ก็มีบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งเดินล้อมหน้าล้อมหลังเด็กสาวอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปีผู้หนึ่งเดินตรงมาทางนี้จากเฉลียงทางเดินที่อยู่ตรงข้าม
ฝีเท้าของหยวนซื่อหยุดชะงักลง
ชิวซื่อเกือบจะชนเข้ากับร่างของนางไปแล้ว
ก็ได้ยินหยวนซื่อเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “อาเซวียน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เฉิงจิงและคนอื่นๆ หันกลับมาอย่างห้ามไม่อยู่
เห็นเพียงเด็กสาวผู้นั้นเดินเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า ย่อกายทำความเคารพหยวนซื่อ “ท่านป้า ท่านแม่ให้ข้ามาเรียนคัดอักษรกับฮูหยินผู้เฒ่า ข้ามาส่งการบ้านเจ้าค่ะ!”
ตระกูลฟางเองก็มีชื่อเป็นตระกูลบัณฑิตและมีอิทธิพลมากว่าร้อยปีตระกูลหนึ่ง หากต้องการเรียนเขียนอักษร เหตุใดต้องมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วยชี้แนะด้วย
หยวนซื่อประหลาดใจ
เฉิงจิงสามพี่น้องหันหน้ากลับไปแล้วพร้อมกับเดินตรงไปข้างหน้าต่อ บรรดาญาติที่เกี่ยวดองด้วยส่วนใหญ่ต่างชื่นชมฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นอย่างมาก ล้วนอยากส่งบุตรสาวหรือไม่ก็หลานสาวมาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วยชี้แนะ เพียงแต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิเสธไปเป็นจำนวนมาก ที่รับเอาไว้…นับดูแล้วก็มีเพียงสองถึงสามคนเท่านั้น…ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็เป็นเพียงอะไรที่มารดาเอาไว้ฆ่าเวลายามเบื่อๆ เท่านั้น พวกเขาสามพี่น้องจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
หยวนซื่อกลับเลี่ยงไม่ได้ต้องพูดคุยกับนางสักสองสามประโยค “มารดาของเจ้าสบายดีหรือไม่ ข้าเพิ่งกลับมาจากจินหลิง ที่บ้านยังจัดเก็บได้ไม่เรียบร้อย คงต้องรอให้ผ่านไปสักสองสามวันก่อนถึงจะไปเยี่ยมมารดาของเจ้าได้…แต่ว่าไม่ได้เจอเพียงไม่กี่ปี เจ้ายิ่งงดงามขึ้นมากทีเดียวเชียว…”
ฟางเซวียนขานตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
เฉิงฉือที่เดินออกไปไกลระยะหนึ่งแล้วกลับหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน หมุนกายมองมาที่ฟางเซวียนครั้งหนึ่ง
หยวนซื่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
พี่น้องตระกูลเฉิงนั้นไม่ว่าจะมีนิสัยเป็นอย่างไร แต่ความสนใจต่อความงามของสตรีนั้นกลับเหมือนกัน ที่ผ่านมาไม่เคยต้องเก็บสีหน้าเลย เหตุใดวันนี้ถึง…
เมื่อความคิดวาบผ่าน นางก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
เฉิงฉือยังไม่ได้แต่งงาน!
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยายามเฟ้นหาคนที่ดีที่สุดให้เขามานานหลายปี จากท่าทางนั่นแล้ว เกรงว่าต่อให้จับคู่เฉิงฉือกับองค์หญิงผู้หนึ่งฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังคงรู้สึกผิดต่อเฉิงฉืออยู่ดีกระมัง
แต่บางครั้ง คนก็เปลี่ยนชะตาชีวิตไม่ได้!
สุดท้ายแล้วเฉิงฉือก็เป็นคนที่ได้คืบจะเอาศอก ต่อให้เขาจะเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง แต่เลือกไปเลือกมาเช่นนี้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าบรรดาคนที่รักและเห็นใจบุตรสาวเหล่านั้นจะยินดีเกี่ยวดองกับตระกูลเฉิง
แต่ตอนนี้ คนที่เย็นชาอย่างฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงกับยอมให้คำชี้แนะเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนของตระกูลฟาง!
มุมปากของหยวนซื่อยกยิ้มขึ้นมา เดิมทีเพียงยืนพูดคุยกันเท่านั้น ทว่าเวลานี้กลับจับมือของฟางเซวียนเอาไว้ ชวนฟางเซวียนและมารดาของนางไปเป็นแขกที่บ้านอย่างกระตือรือร้นและจริงใจ “…รอให้ถึงเดือนสิบ ข้าก็ต้องยุ่งเรื่องตระเตรียมงานแต่งให้พี่ชายเจียซ่านของเจ้าแล้ว ต่อให้มีใจก็ไม่มีแรงมาพบปะกันแล้ว!”
ฟางเซวียนมิได้สังเกตเห็นความผิดปกติของหยวนซื่อ
ตระกูลขุนนางจากเจียงหนานที่อยู่จิงเฉิงอย่างพวกนางนี้มักจะพบปะสังสรรค์กันบ่อยๆ อยู่แล้ว
ฟางเซวียนยิ้มตาหยีพร้อมกับขานตอบรับแทนมารดา
หยวนซื่อถึงได้ปล่อยมือ หันมองไปที่เฉิงฉือ
เฉิงฉือหมุนกายเดินออกไปพร้อมกับเฉิงเว่ยแล้ว
ราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องเมื่อครู่มาก่อนก็ไม่ปาน
เมื่อส่งพี่ชายและพี่สะใภ้ออกไปแล้ว เขากลับไปเปลี่ยนชุดที่เรือน ตัดสินใจว่าจะไปที่ซอยอวี๋เฉียนสักครั้งหนึ่ง
ถ้าเรื่องนี้สำเร็จลงได้จริงๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องบอกเสาจิ่นสักคำหนึ่ง
นอกจากนี้ถ้าหากเขาต้องไปจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ที่จี่หนิงไปสี่ถึงห้าปีเป็นอย่างต่ำ ให้ทิ้งเสาจิ่นไว้ที่จิงเฉิงเพียงลำพัง เขาทำใจไม่ได้จริงๆ แต่จะให้เสาจิ่นตามเขาไปรับความลำบากที่จี่หนิงด้วย เขาก็ทำใจไม่ได้อีกเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ออกไปรับราชการ ไม่สร้างความสำเร็จในเส้นทางขุนนาง เขายิ่งไม่รู้จะแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อโจวเจิ้นอย่างไรดี
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉิงฉือรู้สึกว่าจะซ้ายหรือขวาล้วนยากเย็นทั้งสิ้น