ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 443 ปัญหางอก
เสียงของฉือเซียงประหนึ่งน้ำเย็นหนึ่งอ่างที่ราดลงบนศีรษะของโจวชูจิ่น
นางตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
หลี่ซื่อกลับเมืองเป่าติ้งไปแล้ว นางไม่วางใจที่น้องสาวอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนเพียงลำพัง จึงมาดูนางทุกสามถึงห้าวัน เมื่อเห็นน้องสาวมีสีหน้าเปล่งปลั่งและมีชีวิตชีวา ดูร่าเริงกว่าเวลาใดๆ เสียอีก ถึงได้วางใจลงมา เอาเรี่ยวแรงไปทุ่มอยู่กับการดูแลกวนเกอ ก็เลยไม่ได้มาที่นี่หลายวันแล้ว เป็นช่วงหลายวันก่อนที่ในบ้านเริ่มส่งมอบของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์กันแล้ว นางถึงนึกขึ้นมาได้ว่าใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว จึงเตรียมของนำมามอบให้น้องสาว ระหว่างผ่านร้านฉีฟางไจเห็นว่ามีวุ้นเกาลัดขาย นางยังให้ป้ารับใช้ที่ตามมาด้วยเข้าไปซื้อขนมมาหลายกล่องเป็นพิเศษอีกด้วย…ผู้ใดจะรู้ว่าความเลินเล่อเพียงเล็กน้อยนี้ น้องสาวจะ…กลายสภาพเป็นเช่นวันนี้ไปแล้ว!
ตอนนี้นางดีใจเพียงเรื่องเดียวที่นางเป็นห่วงแม่สามี ตอนมาที่นี่จึงพาคนมาด้วยเพียงสองสามคนเท่านั้น เมื่อเข้าประตูมาแล้วเห็นภายในลานเงียบเชียบไร้เสียงเคลื่อนไหว นึกถึงเมื่อหลายวันก่อนที่น้องสาวส่งคนไปบอกว่านางหมักสุรากุ้ยฮวาและฝังเอาไว้ที่ลานด้านหลัง นางสะดุดใจ จึงถือขนมที่ซื้อมาให้น้องสาวเดินตรงมาที่ลานด้านหลังเลย
ในห้วงความคิดของโจวชูจิ่นปรากฏภาพเหตุการณ์ที่นางเพิ่งเห็นเมื่อครู่นี้ขึ้นมาอีกครั้ง นางหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้
โชคดีที่คนที่นางพามาด้วยล้วนรั้งรออยู่ในลานบ้าน ถ้าหากว่าปล่อยให้พวกนางมาเห็นภาพของโจวเสาจิ่นและเฉิงฉือละก็…ต่อให้เสาจิ่นกระโดดลงแม่น้ำเหลืองไปก็ล้างน้ำไม่สะอาดแล้ว!
แต่ตอนนี้มิใช่เวลามาไล่เรียงสอบถามเรื่องพวกนี้
เรื่องเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือหาวิธีปิดเรื่องนี้เอาไว้ให้มิด
ต้องให้เหมือนกับเรือที่แล่นผ่านสายน้ำไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้
ไม่อาจทำให้ชื่อเสียงของเสาจิ่นเสียหายได้แม้แต่นิดเดียว!
โจวชูจิ่นสูดหายใจเข้ายาวๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวกับฉือเซียงว่า “ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว นายท่านสี่ได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้มาเยี่ยมคุณหนูรอง คุณหนูรองหมักสุรากุ้ยฮวาเอาไว้ อยากขอให้นายท่านสี่นำกลับไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลองชิมดูสักสองสามไห ก็เลยมาขุดสุราพร้อมกับนายท่านสี่ที่ลานด้านหลัง! เจ้าเองก็มาช่วยด้วยอีกแรง ประเดี๋ยวเอากลับไปให้ฮูหยินใหญ่ลองชิมด้วยสักสองไห”
ฉือเซียงขานรับคำยิ้มๆ ทว่ากลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
นายท่านสี่ได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้มาเยี่ยมคุณหนูรอง คุณหนูรองขุดสุราที่หมักมาใหม่ให้นายท่านสี่เอากลับไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว ต้ากูไหน่ไนบอกนางอย่างละเอียดขนาดนี้ไปเพื่ออันใด นางก็เป็นเพียงบ่าวไพร่ผู้หนึ่งเท่านั้น เจ้านายให้ทำสิ่งใดก็ย่อมต้องทำสิ่งนั้น นางจะกล้าพูดคำว่า “ไม่” ได้หรือ
วันนี้ต้ากูไหน่ไนดูแปลกไปยิ่งนัก…เหตุใดถึงพูดคำพูดที่ทำให้คนรู้สึกเหมือนกำลังพยายามปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้…
ฉือเซียงส่ายศีรษะอย่างไม่เข้าใจ
วันนี้คุณหนูรองและนายท่านสี่ก็ดูแปลกมากเช่นกัน…จากท่าทางของคุณหนูรองเห็นได้ชัดว่ากำลังหลบอยู่ด้านหลังของนายท่านสี่ ส่วนนายท่านสี่นั้นก็คล้ายกับกำลังปกป้องคุณหนูรองอยู่…หรือว่าคุณหนูรองและต้ากูไหน่ไนจะทะเลาะกัน?
เมื่อความคิดวาบผ่าน ฉือเซียงก็รีบปัดความคิดดังกล่าวทิ้งไปในทันที
นางรับใช้ต้ากูไหน่ไนมาก็สิบปีแล้ว ต้ากูไหน่ไนและคุณหนูรองไม่เหมือนกับพี่สาวน้องสาวทั่วไป สิ่งที่ต้ากูไหน่ไนปฏิบัติกับคุณหนูรองนั้นเหมือนปฏิบัติกับบุตรสาวของตัวเองก็ไม่ปาน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยอมให้คุณหนูรองก่อน เช่นนั้นต้ากูไหน่ไนจะทะเลาะกับคุณหนูรองได้อย่างไร
แต่ท่าทางและสีหน้าของคนทั้งสามเมื่อครู่นั้น…ก็ทำให้คนต้องคิดแล้วคิดอีกอย่างห้ามไม่อยู่
ที่ทำให้ฉือเซียงรู้สึกแปลกใจมากยิ่งขึ้นก็คือ ทั้งๆ ที่ต้ากูไหน่ไนบอกว่าคุณหนูรองช่วยขุดสุราให้นายท่านสี่ แต่นี่ไม่มีทั้งเสียมและพลั่ว…แล้วจะขุดสุราออกมาอย่างไร
เฉิงฉือพลันรับรู้ได้ถึงวัตถุประสงค์ของโจวชูจิ่น และรับรู้ได้ถึงความสงสัยของฉือเซียง จึงกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่เร็วและไม่ช้าว่า “สุรานั่นใช้สุราเกาเหลียงหมัก ระยะเวลายังสั้นเกินไป ขุดออกมาในเวลานี้ข้านำกลับไปก็ยังต้องฝังกลับเข้าไปในดินใหม่อยู่ดี มิสู้รอให้ผ่านไปสักสองสามปีสุราได้รสชาติดีแล้วข้าค่อยมาขุดก็ยังไม่สาย มอบสุราดอกกุ้ยฮวาที่เจ้าใช้สุราจินหวาหมักให้ข้าสักสองสามไหก็พอแล้ว”
โจวเสาจิ่นตกใจจนเบื้อใบ้ไปแล้ว
มือเท้าของนางสั่นไม่หยุด ทั้งอับอายและขายขี้หน้า ปรารถนาให้มีรอยแยกที่พื้นสักที่ให้นางได้มุดเข้าไปเหลือเกิน ไหนเลยจะยังกล้าขยับเขยื้อนได้อีก
เฉิงฉือลอบขมวดคิ้ว รู้สึกว่าโจวชูจิ่นปฏิบัติกับโจวเสาจิ่นรุนแรงเกินไปเล็กน้อย แต่ก็กลัวว่าโจวเสาจิ่นจะประหวั่นพรั่นพรึงโจวชูจิ่น ทำให้เขาไม่กล้าไปกอดโจวเสาจิ่นเพื่อปลอบใจนางสักหน่อย ได้แต่กล่าวกับนางเสียงอบอุ่นว่า “เสาจิ่น ไม่ต้องกลัว! ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีข้าอยู่! พวกเราไปเอาสุราดอกกุ้ยฮวาที่เจ้าใช้สุราจินหวาหมักที่ห้องขนาบข้างสักสองสามไหกันเถิด…”
ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีข้าอยู่ เพียงไม่กี่คำนั้นคล้ายกับระฆังใบใหญ่ที่กำลังถูกตีอยู่ในใจของโจวเสาจิ่น ทำให้ร่างนางสั่นเล็กน้อยและได้สติคืนกลับมา
จริงด้วย!
มีอะไรให้นางต้องหวาดกลัวด้วย
ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังมีท่านน้าฉือที่สูงใหญ่คอยคุ้มครองอยู่ด้านบนนี่นา!
แต่ถูกพี่สาวเข้ามาพบเห็นนางกับท่านน้าฉือกำลังจะ…ก็ยังคงรู้สึกน่าอับอายยิ่งนัก…โดยเฉพาะนางที่ยังมึนๆ งงๆ…ถ้าหากพี่สาวเข้ามาช้าอีกนิด จะต้องพบเห็นเข้าพอดีเป็นแน่…ช่างน่า…ช่างน่าขายหน้าเกินไปแล้ว…
“ได้เจ้าค่ะ ข้า…ข้าจะไปหยิบสุรา” นางกล่าวตะกุกตะกัก หน้าแดงก่ำจนคล้ายกับจะหลั่งโลหิตออกมาได้
ทั้งหมดล้วนเป็นเฉิงฉือ
น้องสาวยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ จะไปรู้เรื่องอะไร
โจวชูจิ่นจ้องเฉิงฉืออย่างเคียดแค้นไปครั้งหนึ่ง
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเฉิงฉือไม่เคยต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนขนาดนี้มาก่อน
เขาได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่ยังคงกระแอมไอออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
กระทั่งออกมาจากลานด้านหลังแล้ว ปราดมองเพียงครั้งเดียวก็เห็นซางมามายืนมองเขาด้วยความกระวนกระวายที่เจือความหวาดกลัวอยู่ด้วยหลายส่วนอยู่ตรงทางเดิน
เฉิงฉือราวกับไม่เห็นอะไรทั้งนั้น มิได้เปล่งเสียงใด
บ่าวไพร่สองสามคนที่ตามโจวชูจิ่นมาด้วยกลับยืนกระซิบกระซาบพูดคุยหัวเราะกันเบาๆ อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เมื่อเห็นเฉิงฉือและคนอื่นๆ ต่างก็ทยอยกันก้าวออกมาทำความเคารพ
ฉือเซียงยังจำคำที่โจวชูจิ่นย้ำกำชับนั้นได้ดี จึงกล่าวกับบ่าวไพร่ที่ตามมาด้วยยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองหมักสุราดอกกุ้ยฮวาเก็บเอาไว้ที่ลานด้านหลัง ต้องการขุดออกมามอบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินใหญ่ของพวกเรา แต่นายท่านสี่บอกว่าสุราเหล่านั้นยังสดใหม่เกินไป ต้องรอให้ผ่านไปสักสองสามปีก่อนถึงจะใช้ได้ ให้คุณหนูรองนำสุราดอกกุ้ยฮวาที่นางใช้สุราจินหวาหมักเมื่อหลายวันก่อนมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินใหญ่ของพวกเราแทน…พวกเจ้าจงตามมายกสุรากับข้า”
“ข้าไปยกเองๆ!” ซางมามาและคนอื่นๆ ไหนเลยจะยังกล้าให้คนของโจวชูจิ่นเป็นคนไปยกสุรา ด้านหนึ่งก็มองสำรวจสีหน้าของเฉิงฉือไปด้วย อีกด้านหนึ่งก็ฝืนยิ้มพร้อมกับไปช่วยฉือเซียงยกสุราอย่างกระตือรือร้น
โจวเสาจิ่นกลับไม่กล้ามองโจวชูจิ่นแม้แต่ครั้งเดียว กระทั่งในห้องข้างไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยแล้ว นางถึงได้รวบรวมความกล้าดึงแขนเสื้อของพี่สาวเบาๆ กล่าวเสียงค่อยว่า “ท่านพี่ ท่านอย่าโมโหไปเลย…เป็นข้าเองที่ยินยอม…เป็นข้าเองที่ชอบ…”
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” โจวชูจิ่นโกรธจนนิ้วสั่นระริก ด่าทอโจวเสาจิ่นเสียงดัง กล่าวตัดบทนางว่า “มาพูดเรื่องพวกนี้ในเวลานี้ทำไม เจ้าไม่กลัวผู้อื่นจะได้ยินหรือ!” ขณะที่พูดก็ตวัดมองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง “ต่อให้มีความผิด นั่นก็มิใช่ความผิดของเจ้า”
หัวใจของโจวเสาจิ่นราวกับถูกมีดคว้านก็ไม่ปาน
เป็นไปตามที่คาด ครั้นเมื่อเรื่องของนางและท่านน้าฉือถูกผู้อื่นล่วงรู้แล้ว ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร คนที่ผิดกลับเป็นท่านน้าฉือ
“ท่านพี่” โจวเสาจิ่นยืดหลังตรง กำหมัดพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้ไม่โทษท่านน้าฉือ เป็นข้าเองที่…”
“เสาจิ่น!” คนที่เอ่ยปากห้ามปรามนางเอาไว้ในครั้งนี้คือเฉิงฉือ เขามองโจวเสาจิ่น สายตาอบอุ่นและมั่นคง “ไม่ต้องพูดแล้ว ยกเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า!”
เฉิงฉือเข้าใจความรู้สึกของโจวชูจิ่นเป็นอย่างดี
หากเปลี่ยนตำแหน่งกัน เขาก็น่าจะโกรธมากเช่นกัน!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยิ่งเสาจิ่นพูดมากเท่าไร ความผิดก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งพูดเพื่อปกป้องเขามากเท่าไร โจวชูจิ่นก็จะยิ่งไม่ให้อภัยตนมากเท่านั้น!
ที่ผ่านมาเสาจิ่นให้ความสำคัญกับโจวชูจิ่นมาโดยตลอด แต่ภายใต้ความเดือดดาลของโจวชูจิ่นนั้นนางยังคงพูดเพื่อปกป้องเขาเช่นเดิม…นี่ทำให้เฉิงฉือรู้สึกว่าอนาคตเต็มไปด้วยความหวัง
เขาจะทำใจยอมให้โจวเสาจิ่นมีปัญหาขัดแย้งกับโจวชูจิ่นเพื่อเขาได้อย่างไรกัน
แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นย่อมพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
โจวชูจิ่นมองแล้วความโกรธแทบจะระเบิดออกมาแล้ว!
เฉิงฉือจอมวายร้ายผู้นี้ ให้เสาจิ่นกินน้ำมนตร์ดำอะไรเข้าไปกันแน่ เสาจิ่นถึงกับเชื่อฟังเฉิงฉือทุกอย่างอย่างโง่งมเช่นนี้!
กระบอกตาของนางรื้นชื้น คว้ามือของโจวเสาจิ่นมาจับเอาไว้แน่น กล่าวขึ้นว่า “ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ไม่มีเหตุผลให้เจ้าต้องอยู่ฉลองเทศกาลที่ซอยอวี๋เฉียนเพียงลำพัง เจ้าตามไปอยู่ที่ซอยอวี๋ซู่กับข้าระยะหนึ่งก็แล้วกัน…”
โจวเสาจิ่นพลันตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที รีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ! ข้าจะอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน...”
นี่พี่สาวจะไม่ให้นางได้พบกับท่านน้าฉืออีกอย่างนั้นหรือ
โจวชูจิ่นได้ยินแล้วหน้าดำหน้าแดง สายตาที่มองเฉิงฉือคล้ายมีดดุจดาบก็ไม่ปาน
เฉิงฉือได้แต่ถอนหายใจอย่างไร้ทางเลือก
โจวเสาจิ่นกลับค้นพบคำบอกใบ้บางอย่างจากสีหน้าของเฉิงฉืออย่างมีไหวพริบ
นางชำเลืองมองพี่สาวอย่างเป็นกังวลใจครั้งหนึ่ง ไม่กล้ากล่าวอะไรมากอีก
สีหน้าของโจวชูจิ่นถึงได้ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย
นางตะโกนสั่งการชุนหว่านเสียงดังว่า “ข้าจะพาคุณหนูรองไปที่ซอยอวี๋ซู่ตอนนี้เลย เจ้าช่วยจัดเสื้อผ้าให้คุณหนูรองสองสามชุดแล้วค่อยตามมาทีหลัง”
ไม่ให้โจวเสาจิ่นได้อยู่ตามลำพังแม้สักเค่อเดียว
โจวเสาจิ่นลอบมองไปที่เฉิงฉือ
เฉิงฉือพยักหน้าให้นางเล็กน้อยอย่างที่แทบจะมองไม่เห็น
โจวเสาจิ่นจึงปล่อยให้โจวชูจิ่นนำตัวไป
โจวชูจิ่นระแวงสงสัยในตัวเฉิงฉือไปแล้ว
นี่เขาล่อลวงให้เสาจิ่นกินน้ำมนตร์ดำอะไรเข้าไปกันแน่!
ทำให้เสาจิ่นลุ่มหลงจนไม่รู้เหนือใต้ออกตกเช่นนี้…
นางลากโจวเสาจิ่นเดินออกไปด้านนอก
โจวเสาจิ่นเดินก้มหน้าตามพี่สาวไป แต่ตอนที่กำลังจะเดินออกจากประตูชั้นในนั้น นางยังคงหันหน้ากลับไปมองครั้งหนึ่งอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
สายตาที่น่าสงสารนั่น คล้ายกับลูกแมวที่กำลังจะถูกทิ้งก็ไม่ปาน ชั่วพริบตานั้นมันได้กระแทกเข้ามาที่หัวใจของเฉิงฉือ
เขากลับทำได้เพียงหันไปยิ้มปลอบใจโจวเสาจิ่นเท่านั้น จากนั้นตอนที่โจวเสาจิ่นขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวของโจวชูจิ่นเรียบร้อยแล้วนั้นสีหน้าก็พลันมืดมัวขึ้นมาในทันที ทิ้งซางมามาที่มีสีหน้าร้อนรนเอาไว้
ส่วนโจวเสาจิ่นก็ตามโจวชูจิ่นไปที่ซอยอวี๋ซู่ด้วยอาการนิ่งเงียบมาตลอดทาง
เมื่อคนตระกูลเลี่ยวเห็นโจวเสาจิ่นต่างก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
โจวชูจิ่นปรับอารมณ์กล่าวอธิบายยิ้มๆ ว่า “มีเพียงพวกข้าสองพี่น้องที่อยู่ในเมืองหลวง คงไม่อาจปล่อยให้นางฉลองเทศกาลเพียงลำพังได้หรอกกระมัง”
พี่สาวน้องสาวรักใคร่กลมเกลียวกันย่อมเป็นเรื่องดี
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวรีบให้พวกสาวใช้ไปเก็บกวาดเรือนด้านหลังที่โจวเสาจิ่นเคยพักอยู่หลังนั้น และกล่าวกับโจวเสาจิ่นอย่างกระตือรือร้นว่า “ให้คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง อยู่ที่นี่สักสองสามวัน ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็ออกไปดูโคมไฟพร้อมกับพวกข้า”
โจวเสาจิ่นอาศัยอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียนอย่างอิสระคนเดียวจนชินเสียแล้ว เมื่อต้องกลับมาอยู่ในบรรยากาศที่มีผู้ใหญ่คอยควบคุมอยู่ด้วยจึงยังไม่คุ้นชินอยู่ชั่วขณะหนึ่ง นางกล่าวขอบคุณฮูหยินใหญ่เลี่ยวยิ้มๆ หลังจากออกมาจากเรือนหลักแล้วก็ถูกโจวชูจิ่นลากตัวไปที่ห้องรับแขกส่วนตัวของนาง ยังเรียกให้สาวใช้ผู้หนึ่งเฝ้าประตูเอาไว้ ไม่รอให้ได้นั่งลงบนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่างก็เอ่ยเสียงเบาขึ้นก่อนว่า “เจ้าจงบอกความจริงข้ามา เจ้ากับเฉิงจื่อชวน...เขากับเจ้า…พวกเจ้าได้…”
คำถามที่ลึกไปกว่านี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็พูดออกมาไม่ได้
เริ่มแรกโจวเสาจิ่นยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ไม่นานก็เข้าใจความหมายขึ้นมา
นางหน้าแดงซ่าน ทั้งอับอายและขายหน้า กล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “ท่านพี่ ท่านคิดกับท่านน้าฉือเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านน้าฉือเป็นคนดีมาก เขาเคยช่วยเหลือข้าตั้งหลายครั้ง…”
ขณะที่นางกล่าว ก็เห็นว่าสีหน้าของพี่สาวนั้นยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่น่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจึงหยุดเสียงพึมพำนั้นลง
“เสาจิ่น!” โจวชูจิ่นนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เกลี้ยกล่อมน้องสาวว่า “อายุเจ้ายังน้อย แล้วก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน บางเรื่องยังพบเห็นมาน้อยยิ่งนัก ท่านน้าฉือเป็นท่านน้าของพวกเรา แน่นอนว่าเขาย่อมต้องดีต่อพวกเรา แต่พวกเราคงไม่อาจเป็นเพราะคนผู้นั้นดีต่อพวกเรา พวกเราก็เลยต้องดีต่อคนผู้นั้นหรอกกระมัง เฉิงสวี่ดีกับเจ้าหรือไม่ แล้วเฉิงอี้ดีกับเจ้าหรือไม่ แล้วเหตุใดถึงไม่เห็นเจ้าต้องดีกับพวกเขาเลยเล่า!”