ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 447 ขอความยินยอม
หลี่ซื่อได้ยินแล้วพลันมึนงงขึ้นมาทันที
นางเปล่งเสียงเรียก “นายท่าน” ออกมาเสียงหนึ่งอย่างกระวนกระวาย เอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจว่า “เรื่องที่ข้าไปจิงเฉิง มิใช่ว่าอธิบายให้ท่านเข้าใจหมดแล้วหรือ ข้าไปเพื่อดูแลต้ากูไหน่ไนช่วงอยู่เดือนหลังจากคลอดลูก! นอกจากพักอยู่ที่ซอยอวี๋ซู่แล้วข้าก็พักอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน ในระหว่างนั้นออกไปข้างนอกเพียงสองถึงสามครั้งเท่านั้น ทุกครั้งล้วนมีคุณหนูรองอยู่เป็นเพื่อนด้วยตลอด ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดนายท่านสี่ตระกูลเฉิงถึงแนะนำการค้าให้พี่ใหญ่ของข้านั้น ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ! วันนั้นก็เพียงพบกันโดยบังเอิญและเอ่ยขึ้นมาในตอนนั้นเท่านั้น หลังจากกลับมาพี่ใหญ่ของข้ายังคิดว่าเป็นเพียงคำพูดบนโต๊ะสุรา มิได้เอามาคิดเป็นจริงเป็นจัง วันต่อมาตอนที่พ่อบ้านผู้หนึ่งของนายท่านสี่ตระกูลเฉิงมาหานั้น พี่ใหญ่ของข้ายังคิดว่าฝันอยู่เลยเจ้าค่ะ!…
…ส่วนบ้านของเสาจิ่นนั้น นายท่านสี่ตระกูลเฉิงบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนให้เขาจัดการให้…ใครบ้างไม่ชอบที่ตัวเองมีเงินทองมาก พอไม่มีอะไรทำก็เลยใช้เงินจำนวนมากซื้อบ้านมอบให้ผู้อื่นกัน! นอกจากนี้ตอนนั้นต้ากูไหน่ไนเองก็อยู่ด้วย จึงรู้เรื่องนี้ดี…
…เรื่องนี้มีความผิดปกติอะไรนั้น ข้าไม่ทราบจริงๆ เจ้าค่ะ!”
“นายท่าน” นางร้อนใจจนน้ำตาจะร่วงหล่นลงมาแล้ว “ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะปิดบังท่านเลย! ไม่ทราบว่านายท่านสี่ตระกูลเฉิงพูดอะไรกับท่านบ้าง ข้ายินดีไปเผชิญหน้ากับเขาเจ้าค่ะ!”
เมื่อหลี่ซื่อกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าซีดเผือด ดวงหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
โจวเจิ้นเต็มไปด้วยอาการกรุ่นโกรธ แต่เมื่อมองดวงหน้าร้าวรานใจของหลี่ซื่อแล้ว เขาก็รู้สึกไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ กล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “เจ้าคิดเลอะเทอะอะไรกัน ถ้าหากมิใช่เพราะเชื่อใจเจ้า ข้าจะให้เจ้าไปดูแลชูจิ่นตอนอยู่เดือนได้อย่างไรกัน”
เขาพูดยังไม่ทันจบประโยค ดวงหน้าของหลี่ซื่อก็ดูเบิกบานขึ้นมาแล้ว
“ท่าน…ท่านเชื่อใจข้าจริงๆ หรือเจ้าคะ” นางรู้สึกหน้าร้อนผะผ่าว
โจวเจิ้นขาน “อืม” เสียงหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก พลางกล่าว “เป็นสามีภรรยากันมาหลายปีขนาดนี้ เจ้าเป็นคนเช่นไร ในใจข้าย่อมรู้ดี”
ดวงหน้าของหลี่ซื่อพลันสดชื่นและร่าเริง หัวสมองก็เริ่มทำงานครุ่นคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน!” นางนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา รีบเอ่ยถามว่า “หรือว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับตระกูลเฉิงเจ้าคะ?”
โจวเจิ้นเอ่ยกระแนะกระแหนขึ้นว่า “ในที่สุดตอนนี้ข้าก็รู้ว่าคำว่าไม่มีมูลฝอยหมาไม่ขี้นั้นมาได้อย่างไร”
หลี่ซื่อหน้าแดงคล้ายเมฆอมชมพูยามเช้า ทว่าในใจกลับรู้สึกหอมหวาน ไม่มีความขุ่นเคืองเลยสักสาย
สามีบอกว่าเชื่อใจในตัวนาง!
ไม่มีอะไรทำให้นางรู้สึกว่าได้ผลตอบแทนคืนจากทุกอย่างที่จ่ายออกไปได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
นางยิ้มร่าพลางถามว่า “แล้วตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่หรือเจ้าคะ”
โจวเจิ้นไม่ตอบ
ตามหลักแล้ว หลี่ซื่อไม่ควรถามต่อแล้ว แต่คำพูดของโจวเจิ้นเมื่อครู่ทำให้นางมีความกล้า นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน ตลอดหลายปีที่ข้าแต่งกับท่านมา ท่านดีกับข้ามาตลอด ถ้าหากว่าการค้าของพี่ใหญ่ของข้าทำให้ท่านลำบากใจ ข้าจะไปบอกพี่ใหญ่ของข้า ให้เขาไม่ต้องการทำค้ากับสำนักพระราชวังแล้ว ข้าเชื่อว่าพี่ใหญ่ของข้าไม่มีทางเห็นแก่เงินทองจนไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องอย่างแน่นอน...”
โจวเจิ้นย่นคิ้วขึ้นพลางกล่าว “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ข้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไร!” กล่าวจบก็ทำท่าจะเดินจากไป
ทั้งไม่ใช่เพราะมีเรื่องเกิดขึ้นกับตระกูลเฉิง และมิใช่เพราะเรื่องที่พี่ชายของนางไปทำการค้ากับสำนักพระราชวัง เช่นนั้นตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่
หลี่ซื่อรู้สึกยิ่งมึนงงหนักเข้าไปอีก
นางคว้าโจวเจิ้นเอาไว้ ทำใจกล้ากล่าวขึ้นว่า “นายท่าน ท่านไม่บอกข้า แล้วข้าจะทราบได้อย่างไรว่าตกลงท่านต้องการถามอะไรกันแน่ ท่านเองก็ทราบ ข้าไม่ใช่คนเฉลียวฉลาดอะไร มักจะไม่เข้าใจความคิดของท่านอยู่บ่อยๆ แต่ท่านบอกข้าได้นี่นา! ข้าไม่มีทางทำลายปณิธานของท่านอย่างแน่นอน!”
นี่ก็จริง!
นับตั้งแต่หลี่ซื่อแต่งกับเขาเป็นต้นมา ไม่เพียงนาง แม้แต่ตระกูลหลี่ก็เดินตามการนำของเขามาโดยตลอด
โจวเจิ้นหยุดฝีเท้าลง ครุ่นคิดอยู่กับตัวเองขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หลี่ซื่อรีบกล่าว “นายท่าน ท่านมีเรื่องอะไรก็บอกข้ามาตามตรงเถิดเจ้าค่ะ!”
เฉิงฉือมิใช่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี เขาดูแลกิจการขนาดใหญ่ของจวนหลักได้ ย่อมมิใช่คนธรรมดา
ที่เขามาพูดเรื่องสู่ขอ ย่อมมิใช่ความคิดชั่ววูบอย่างแน่นอน
ถ้าหลี่ซื่อไม่รู้เรื่องของเสาจิ่นจริง พวกเขาสองคนมีปากเสียงกันที่โถงรับรอง ขอเพียงหลี่ซื่อมีใจอยากรู้ ด้วยฐานะนายหญิงของบ้าน นางย่อมรู้ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากว่าหลี่ซื่อรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว กระทั่งเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดละก็ การที่ตนปิดบังเอาไว้ยังจะมีประโยชน์อะไร
โจวเจิ้นเล่าเรื่องที่เฉิงฉือมาสู่ขอเสาจิ่นให้หลี่ซื่อฟังเสียงเคร่ง
หลี่ซื่อได้ยินแล้วราวกับคนเบื้อใบ้
มิน่าสามีถึงต้องการมาสอบถามนาง!
มอบคนให้นางเป็นคนดูแลแล้วกลับเกิดเรื่องขึ้น หากไม่มาหานางแล้วจะไปหาผู้ใด
นางไม่พบความผิดปกติอะไรเลยจริงๆ!
แล้วเรื่องราวเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
เวลาทั้งสองคนอยู่ด้วยกันก็ไม่พบความผิดปกติอะไรเลยนี่นา…
หรือว่าเป็นเรื่องที่เกิดหลังจากที่นางเดินทางออกจากจิงเฉิงมาแล้ว?
แค่มองท่าทางของนางโจวเจิ้นก็รู้แล้วว่านางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงๆ
เขาถอนหายใจยาวครั้งหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ หรือ”
“ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ เจ้าค่ะ!” กระบอกตาของหลี่ซื่อแดงเรื่อขึ้นมา “ทั้งสองคนต่างอยู่ในกฎระเบียบ ไม่เคยมีคำพูด การกระทำหรือกิริยาที่ไม่เหมาะสมเลยสักครั้ง ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่รู้เรื่องอะไรประหนึ่งถูกกักขังอยู่ในกลองเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ”
ไม่ว่าเสาจิ่นและเฉิงฉือจะมีอะไรกันหรือไม่ แม้แต่คนที่อยู่กับเสาจิ่นทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างหลี่ซื่อยังไม่เห็นระแคะระคายอะไร เช่นนั้นผู้อื่นก็ย่อมมองไม่ออกเหมือนกัน
เมื่อความคิดหนึ่งวาบผ่าน โจวเจิ้นราวกับถูกสายฟ้าฟาด
หรือว่า…เสาจิ่นจะยินยอมพร้อมใจด้วย?
ไม่อย่างนั้นเพียงนางเผยความผิดปกติออกมาแม้เพียงเล็กน้อย หลี่ซื่อย่อมจะสังเกตเห็น…หรือบางที อาจจะเป็นเฉิงฉือที่ล่อลวงนาง?
โจวเจิ้นพลันรู้สึกจิตใจยุ่งเหยิงไปหมด กล่าวความรู้สึกอะไรไม่ออก
แต่หลี่ซื่อที่ได้สติกลับมาแล้วกลับคิดแตกต่างออกไป
เสาจิ่น...แต่งให้เฉิงฉือ…เฉิงฉือเป็นถึงจิ้นซื่อขั้นสอง!
นอกจากนี้ยังมีรูปร่างหน้าตาโดดเด่นสง่างาม กิริยามารยาทสูงส่งปานนั้นอีก
แม้นจะดูเย็นชาเล็กน้อย แต่เมื่อได้ใกล้ชิดจริงๆ แล้วจะค้นพบว่าเขาเป็นคนที่ข้างนอกเย็นชาแต่ข้างในมีน้ำใจผู้หนึ่ง ดูแลครอบครัวเป็นอย่างดี เหมือนกับการค้าของพี่ใหญ่ของนาง แค่เฉิงฉือได้ยินว่าบ้านเดิมของนางมีโรงหมักสุราแห่งหนึ่งก็ช่วยเป็นตัวกลางประสานให้พี่ใหญ่ของนางแล้ว
นึกถึงตรงนี้ นางมองโจวเจิ้นครั้งหนึ่ง
ตอนนี้ซอยจิ่วหรูและตระกูลเฉิงจวนหลักแยกตระกูลกันแล้ว
พี่ชายร่วมอุทรของเฉิงฉือก็เป็นขุนนางใหญ่อยู่ในราชสำนัก!
ถ้าเสาจิ่นแต่งงานกับเฉิงฉือ…เช่นนั้นเสาจิ่นก็จะเป็นน้องสะใภ้ของเฉิงจิง…ตระกูลโจวก็จะกลายเป็นญาติที่เกี่ยวดองกับจวนหลัก…หน้าที่การงานของนายท่านก็จะมีคนคอยสนับสนุนแล้วมิใช่หรือ
ยิ่งคิดหลี่ซื่อก็ยิ่งรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
นางอดไม่ได้เอ่ยถามโจวเจิ้นว่า “นายท่านสี่ตระกูลเฉิงมาสู่ขอเสาจิ่นจริงๆ หรือเจ้าคะ”
โจวเจิ้นได้ยินถ้อยคำนี้แล้วดวงหน้าพลันดำมืดคล้ายกับก้นหม้อ แสยะยิ้มเย็นพลางเอ่ยขึ้นว่า “ข้าดูแล้วเจ้ามีท่าทางดีใจยิ่งนัก ทำไมหรือ ยังอยากจะทำการค้ากับสำนักสิ่งทอด้วยหรืออย่างไร”
ธุรกิจหลักของตระกูลหลี่คือการทำผ้าและสิ่งทอ
หากเป็นในยามปกติเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้หลี่ซื่อจะต้องคิดว่าโจวเจิ้นกำลังถากถางเรื่องชาติกำเนิดของตนเป็นแน่
แต่หลังจากที่โจวเจิ้นบอกว่าเชื่อใจในตัวนางแล้ว ต่อให้โจวเจิ้นคิดเช่นนั้นจริงๆ นางก็ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเสียต่อให้นางมีชาติกำเนิดมาจากครอบครัวพ่อค้า โจวเจิ้นก็ยังคงเชื่อใจนางอยู่เช่นเดิมก็พอแล้ว
“ดูนายท่านพูดเข้าสิเจ้าคะ!” หลี่ซื่อแย้มยิ้มพลางกล่าว “มิใช่เพราะข้าดีใจแทนคุณหนูรองหรอกหรือ นายท่านสี่ตระกูลเฉิงเป็นคนที่พวกเรารู้จักพื้นเพของเขาเป็นอย่างดี นอกจากเรื่องที่อายุมากกว่าเสาจิ่นไปสักหน่อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความรู้ความสามารถ คุณธรรมความดีงาม รูปลักษณ์หน้าตาและพื้นเพล้วนถือว่าหาได้เพียงหนึ่งในหมื่นคน…”
โจวเจิ้นเปล่งเสียง “หึ” เสียงหนึ่ง กล่าวเสียงดุดันว่า “เจ้าเสียสติไปแล้วกระมัง เขาเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง ข้ายอมรับว่าความรู้ความสามารถเขาคงไม่เลว แต่นอกจากความรู้ความสามารถไม่แย่แล้ว เขามีคุณธรรมความดีงามอะไรอย่างนั้นหรือ คนที่มีคุณธรรมความดีงามจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้หรือ เสาจิ่นเป็นหลานสาวของเขา เรื่องนี้หากผู้อื่นรู้เข้า น้ำลายคนที่พ่นออกมาทำให้นางจมน้ำตายได้ด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นเสาจิ่นจะทำอย่างไร…”
เขาเหน็บแนมเฉิงฉือให้แหลกไปคำรบหนึ่ง
หลี่ซื่อไม่เห็นด้วย พึมพำอยู่ในใจว่า นี่ก็ไม่ดี นั่นก็ไม่ดี แต่อย่างน้อยรูปลักษณ์หน้าตาของนายท่านสี่ตระกูลเฉือก็นับว่าเป็นเลิศอยู่กระมัง ไม่อย่างนั้นจะเลือกที่จะไม่หยิบยกรูปลักษณ์หน้าตาของนายท่านสี่ตระกูลเฉิงมาพูดถึงได้อย่างไร!
ไม่กล่าวถึงอย่างอื่น แค่รูปลักษณ์หน้าตาของนายท่านสี่ตระกูลเฉิงนี้ หากเป็นสตรีผู้หนึ่งต่างก็ล้วนยินดีจะแต่งด้วยแล้ว!
นางพลันได้ความคิดหนึ่งขึ้นมา
เฉิงฉือจะมาเอ่ยเรื่องสู่ขออย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยได้อย่างไร
หรือว่าเขาและโจวเสาจิ่นต่างมีความรู้สึกต่อกัน?
เบื้องหน้าหลี่ซื่อฟังโจวเจิ้นบริภาษยืดยาวอย่างเชื่อฟัง ทว่าในใจกลับครุ่นคิดพิจารณาถึงเรื่องนี้
ไม่แน่ว่าโจวชูจิ่นเองก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน!
ไม่อย่างนั้นในบ้านจะไม่ได้ยินข่าวลืออะไรเลยแม้แต่นิดเดียวได้อย่างไร
สามีรักและทะนุถนอมบุตรสาวทั้งสองที่เกิดจากภรรยาเก่าทั้งสองคนดั่งไข่มุกดุจหยกก็ไม่ปาน ถ้าหากนางใช้โอกาสนี้ประจบประแจงเฉิงฉือ โจวเสาจิ่น และโจวชูจิ่นสักครั้งเล่า?
หลี่ซื่อเห็นสามีพูดมากว่าครึ่งค่อนวันแล้ว กลัวเขาจะคอแห้ง จึงยกน้ำชาให้เขาจอกหนึ่ง รอจนโจวเจิ้นดื่มชาเสร็จแล้ว ถึงได้กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “นายท่าน ท่านอย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านเข้มงวดและระมัดระวังเรื่องสถานะระหว่างนายท่านสี่ตระกูลเฉิงและคุณหนูรอง แต่นั่นเป็นอดีต ตอนนี้ซอยจิ่วหรูและจวนหลักแยกตระกูลกันแล้ว พวกเราเป็นญาติเกี่ยวดองกับซอยจิ่วหรูที่จินหลิงเพียงเท่านั้น ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลเฉิงที่จิงเฉิงเลย หรือว่าเป็นเพราะพวกเราเกี่ยวดองกับซอยจิ่วหรูที่จินหลิงก็เลยไม่อาจเกี่ยวดองกับตระกูลเฉิงที่จิงเฉิงแล้วอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นตระกูลหยวนที่ถงเซียงนับเป็นอะไร แล้วตระกูลฟางที่ซูเฉิงนับเป็นอะไร มีตระกูลใดในพวกเขาที่มิใช่ญาติเกี่ยวดองกับญาติกันบ้าง แล้วเหตุใดพวกเราถึงจะทำไม่ได้เจ้าคะ…
…อีกอย่าง ตระกูลใหญ่ตระกูลโตของเจียงหนานเหล่านั้นมิใช่ว่าให้ความสำคัญกับ ‘ยามแต่งบุตรสาวให้เลือกบุตรเขยที่ดีงาม มิใช่เรียกร้องสินสอดจำนวนมาก’ นั่นหรือเจ้าคะ ที่พวกเราต้องเลือกก็คือบุตรเขยที่ดีงาม มิใช่พื้นเพของเขา หากว่าคนที่มีรูปลักษณ์หน้าตาและความรู้ความสามารถเช่นนี้เข้ากับคุณหนูรองได้ เหตุใดท่านต้องไปยึดติดกับเรื่องพวกนั้นด้วย คุณหนูรองของพวกเรานั้น หน้าตางดงามมากเกินไป คนทั่วไปไม่อาจค้ำจุนนางได้!”
โจวเจิ้นรู้สึกหัวใจสั่นสะท้าน
เขานึกถึงงานแต่งระหว่างจวงซื่อและเฉิงไป่ขึ้นมา
ถ้าหากเฉิงไป่เป็นคนที่พึ่งพาได้ผู้หนึ่ง จวงซื่อจะมาแต่งงานกับเขาได้อย่างไร
หรือว่าพวกนางสองแม่ลูกจะเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันอีก?
หัวใจของโจวเจิ้นเริ่มสั่นไหว
นับตั้งแต่แต่งเข้ามาไม่ว่าจะทำอะไรหลี่ซื่อก็คอยดูสีหน้าของโจวเจิ้นมาโดยตลอด ตอนนี้เห็นเขามีท่าทางอ่อนลงมา รู้ว่าคำพูดของตนจี้จุดโจวเจิ้นได้บ้างแล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า “นายท่านสี่ตระกูลเฉิงก็เป็นคนรอบคอบผู้หนึ่ง รอให้จวนหลักและซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันแล้วถึงมาเอ่ยเรื่องนี้ ถ้าหากมาสู่ขอก่อนหน้านี้ คงสร้างความลำบากให้คุณหนูรองของพวกเราเป็นแน่แล้ว กล่าวไปกล่าวมา ก็เป็นเพราะเหตุผลเรื่องสถานะ ข้าว่าถ้าหากท่านตัดสินใจไม่ได้ มิสู้เขียนจดหมายไปสอบถามฮูหยินผู้เฒ่ากวนดู นางอาบน้ำร้อนมาก่อนพวกเรา ลองสอบถามดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร”
จะให้จวนสี่รู้เรื่องของเสาจิ่นด้วยอย่างนั้นหรือ
โจวเจิ้นรู้สึกลังเลอยู่ในใจ ทว่ามิได้กล่าวคำใด
หลี่ซื่อเห็นว่าโน้มน้าวมากไปกว่านี้คงไม่ดีแล้ว จึงไม่พูดอะไรอีก นั่งเป็นเพื่อนโจวเจิ้นอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
ให้เสาจิ่น...แต่งกับเฉิงฉืออย่างนั้นหรือ
อารมณ์ของโจวเจิ้นซับซ้อนขึ้นมา
เขาไปที่ห้องหนังสือ
หลี่ซื่อคิดว่าเขาจะต้องไปจุดธูปให้จวงซื่ออย่างแน่นอน
ทุกครั้งที่พานพบเรื่องเช่นนี้เขามักจะไปจุดธูปให้ภาพเหมือนของจวงซื่อ เรื่องใหญ่อย่างเรื่องแต่งงานของเสาจิ่นเช่นนี้ เขาย่อมต้องไปถามจวงซื่ออย่างแน่นอน
หลี่ซื่อลอบกวักมือเรียกหลี่มามา ให้นางนำความไปแจ้งเฉิงฉืออย่างลับๆ “…ตอนนี้นายท่านกำลังอยู่ในอารมณ์เดือดดาลอยู่ ให้นายท่านสี่รอสักสองสามวันแล้วค่อยมาเยี่ยมใหม่อีกครั้ง”
เฉิงฉือตกเงินรางวัลให้หลี่มามาไปอย่างหนัก
งูในพงหญ้าและเส้นด้ายในกองขี้เถ้า หากเกิดขึ้นซ้ำๆ ก็ทิ้งร่องรอยเป็นพันหลี่ได้
ดอกไม้ที่ปลูกเอาไว้ก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็ออกดอกออกผลแล้ว!