ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 448 ยืนกรานหนักแน่น
โจวเจิ้นนอนพลิกตัวไปมา นอนไม่หลับเลยตลอดทั้งคืน
นึกถึงตอนที่จวงซื่อยังมีชีวิตอยู่ นอกจากเรียนหนังสืออ่านตำราแล้ว ล้วนมีเสื้อผ้าส่งมาถึงมือ อาหารส่งมาถึงปาก ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น แม้แต่เรื่องที่ต้องไปมาหาสู่กับคนที่ซอยจิ่วหรู นางก็ทำได้อย่างเหมาะสม ไม่มีผู้ใดไม่กล่าวชมนาง
เขาอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากจวงซื่อยังมีชีวิตอยู่จะดีมากเพียงใด เรื่องแต่งงานของเสาจิ่นไหนเลยจะต้องให้เขาเป็นกังวลใจ เขาเพียงตั้งใจหาเงินมาเติมสินเจ้าสาวให้บุตรสาวอย่างเดียวก็พอแล้ว
นึกถึงตรงนี้ เขานอนต่อไปไม่ได้อีก จึงลุกขึ้นมา แล้วไปจุดธูปให้จวงซื่ออีกครั้ง
ความจริงแล้วจวงซื่อที่อยู่ในภาพเหมือนนั้นดูจืดชืดกว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่น้อย ซึ่งนี่เป็นความตั้งใจของเขา เขามักจะรู้สึกว่าจวงซื่องดงามมากเกินไป ไม่คู่ควรกับเขา ไม่ได้มีจุดไหนที่ไม่ดี แต่ช่างสอดรับกับคำกล่าวที่ว่า ‘หญิงงามอับโชค ความรักไม่ยืนยาว’ นั่นเหลือเกิน
เขาทอดถอนหายใจครั้งหนึ่ง
หลี่ฉางกุ้ยยื่นศีรษะเข้ามาสอดส่องอยู่หน้าประตู
โจวเจิ้นขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับเรียกเขาเข้ามา เอ่ยตำหนิว่า “เจ้ายืนพูดกันตรงๆ ไม่ได้หรืออย่างไร ท่าทางลับๆ ล่อๆ นั่น ปล่อยให้ผู้อื่นเห็นแล้วจะกลายเป็นกิริยาอะไรไปแล้ว”
นับตั้งแต่เมื่อวานที่นายท่านสี่ตระกูลเฉิงมาเยี่ยมเยียนนายท่านเป็นต้นมา นายท่านเห็นอะไรก็ไม่เข้าตาไปทั้งหมด
หลี่ฉางกุ้ยยิ้มแหย ไม่กล้ากล่าวอะไรเลยสักประโยค
โจวเจิ้นจึงกล่าวเสียงดังว่า “มาหาข้ามีธุระอะไร”
หลี่ฉางกุ้ยพลันตัวหด กล่าวเสียงเบาว่า “นายท่านสี่ตระกูลเฉิงจวนหลักส่งเทียบเข้ามาขอรับ…”
“ไม่รับ!” โจวเจิ้นตอบโดยไม่ต้องคิด “ต่อไปข้าไม่รับเทียบของพวกเขาอีก”
หลี่ฉางกุ้ยขาน “ขอรับ” คำหนึ่ง ทว่ามิได้รีบออกไปในทันที
โจวเจิ้นถามอย่างอดรนทนไม่ได้ว่า “ยังมีเรื่องอะไรอีก”
เสียงของหลี่ฉางกุ้ยจึงยิ่งเบาลง กล่าวว่า “นายท่านสี่ตระกูลเฉิงจวนหลัก…ยืนรออยู่นอกประตูขอรับ!”
“เช่นนั้นก็ให้เขารอไปก็แล้วกัน!” โจวเจิ้นได้ยินแล้วก็หงุดหงิดรำคาญใจ หันไปโบกมือให้หลี่ฉางกุ้ยอย่างรำคาญประหนึ่งสะบัดมือไล่แมลงวันก็ไม่ปาน
หลี่ฉางกุ้ยรีบถอยออกไป
แสงแดดยามเที่ยงวันของต้นฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องลงบนร่างของคนนั้นยังให้ความรู้สึกแสบร้อนอยู่
เฉิงฉือมีกิริยามารยาทที่น่าประทับใจยิ่ง บริเวณเอวห้อยหยกสลักจักจั่นตลอดทั้งชิ้นเอาไว้หนึ่งชิ้น ทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงส่ง
คนเฝ้าประตูของที่ว่าการออกมาดูหลายต่อหลายครั้ง ทว่าก็ไม่กล้าขยับเข้าไปไล่เขา
เฉิงฉือยืนอยู่ใต้แสงแดดจ้า ทันใดนั้นก็นึกถึงตอนที่ตนอายุเจ็ดถึงแปดขวบขึ้นมา ก็เคยยืนฝึกสมาธิอยู่ใต้แสงแดดเช่นนี้เหมือนกัน
ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าพรรคเจ็ดดาราคืออะไร ทั้งตัวและความนึกคิดจึงมีแต่เรื่องสนุก คล้ายกับว่าหากยืนฝึกสมาธิได้ดี ก็ไม่มีอะไรใต้โลกหล้าที่ตนจะเอาชนะไม่ได้ ตนจะปกป้องตระกูลจากน้ำและไฟได้แล้ว
ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เขาต้องมายืนอยู่ใต้แสงแดดอีกครั้งหนึ่งแล้ว
แต่ครั้งนี้ เขาทำเพื่อตัวเอง
ทำเพื่อเด็กน้อยที่เชื่อเขาหมดใจผู้นั้น
อารมณ์ของเฉิงฉือนิ่งสงบดุจน้ำ ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ปล่อยให้คนที่เข้าออกที่ว่าการเหล่านั้นนินทาเขา
ไหวซานกลับรู้สึกเป็นทุกข์แทนเฉิงฉือ
นายท่านสี่ของตระกูลเฉิงจวนหลัก เป็นคนโปรดของสวรรค์ เป็นหัวหน้าพรรคเจ็ดดารา เป็นคนที่กระทืบเท้าครั้งหนึ่งก็ทำให้ทั้งยุทธภพสั่นสะเทือนได้ ทว่าเวลานี้กลับต้องมายืนให้ผู้อื่นสำรวจตรวจตราอยู่ตรงนี้ด้วยเรื่องของคุณหนูรอง
เขาถือร่มไปให้เขาคันหนึ่ง
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไร! คาดว่าใต้เท้าโจวคงอยากจะลงโทษข้าสักครั้งหนึ่ง พวกเราก็อย่าสร้างปัญหาเลย”
ไหวซานไม่ขยับ ยังคงกางร่มให้เขาต่อไป
เฉิงฉือก็เลยตามใจเขา
โจวเจิ้นนั่งทำงานอยู่ที่ส่วนหน้าของที่ว่าการมาตลอดทั้งเช้า แต่ภายในใจกลับคล้ายกับมีอะไรอยู่ตลอด รู้สึกจะนั่งจะยืนก็อยู่ไม่สุขเล็กน้อย
กว่าครู่ใหญ่เขาถึงเข้าใจ คาดว่าคงเป็นเพราะที่หลี่ฉางกุ้ยบอกว่าเฉิงฉือยืนอยู่นอกประตูตลอดนั่นเอง…
เขามองไปที่แสงแดดจ้าด้านนอก เรียกหลี่ฉางกุ้ยเข้ามาสอบถาม “นายท่านสี่ยังยืนอยู่ข้างนอกอยู่หรือ”
หลี่ฉางกุ้ยพยักหน้าหงึกๆ พลางกล่าว “คนที่มาติดต่อที่ว่าการต่างพากันสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น นายท่าน ท่านว่า ควรจะให้นายท่านสี่เข้ามาดีหรือไม่…ปล่อยให้คนมองเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะแพร่ไปทั่วเมืองเป่าติ้งภายในไม่กี่วันนี้ก็เป็นได้ ถ้าหากมีคนจำนายท่านสี่ได้…ผู้อื่นจะคิดว่าท่านและตระกูลเฉิงจวนหลักมีความขุ่นแค้นอะไรกันก็เป็นได้นะขอรับ”
โจวเจิ้นไม่คาดคิดว่าเฉิงฉือจะไม่สนใจหน้าตาของตัวเองเช่นนี้
แต่จะให้เขาเรียกเฉิงฉือเข้ามานั่ง…นั่นมิเท่ากับว่าเขายอมรับความพ่ายแพ้แล้วหรอกหรือ!
เขามีสีหน้าเคร่ง กล่าวขึ้นว่า “เขาอยากยืนให้คนมุงดูอยู่ที่นั่นก็ปล่อยให้เขายืนไปก็แล้วกัน!” จากนั้นเดินกลับเรือนชั้นในไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง รับประทานมื้อเที่ยงเสร็จก็ไปนอนพักกลางวัน
หลี่มามากวักมือเรียกหลี่ฉางกุ้ยไปสอบถาม “เป็นอย่างไร นายท่านว่าอย่างไรบ้าง”
หลี่ฉางกุ้ยกล่าวอย่างหดหู่เล็กน้อยว่า “ข้าพูดกับนายท่านตามที่ฮูหยินบอกแล้ว แต่นายท่านยังคงเป็นเหมือนกับเมื่อวาน”
“ทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว!” หลี่มามารีบดึงเงินส่งให้หลี่ฉางกุ้ยยิ้มๆ พลางกล่าว “ฮูหยินทำเช่นนี้ก็เพื่อคุณหนูรองและเพื่อบ้านหลังนี้ คงต้องรบกวนให้ท่านผู้ช่วยหลี่ช่วยอดทนสักหน่อยแล้ว”
หลี่ฉางกุ้ยบ่ายเบี่ยงอย่างไม่จริงจังไปครู่หนึ่ง ถึงได้รับเงินเอาไว้
หลี่มามารีบวิ่งไปหาหลี่ซื่ออย่างรวดเร็วประหนึ่งควัน
หลี่ซื่อกำลังนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ พอเห็นหลี่มามาก็รีบเอ่ยถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
หลี่มามาส่ายศีรษะพร้อมกับถอนหายใจ
ดวงหน้าของหลี่ซื่อเต็มไปด้วยความผิดหวัง
นางบิดผ้าเช็ดหน้าอย่างกังวลใจ พึมพำกล่าวว่า “นี่หากว่าทำให้นายท่านสี่โกรธจนจากไปจะทำอย่างไรดี”
หลี่มามาเองก็กังวลใจเช่นกัน กล่าวขึ้นว่า “หรือไม่ ท่านลองไปเกลี้ยกล่อมนายท่านดูดีหรือไม่”
“ไม่ได้!” หลี่ซื่อกล่าว “ข้ารู้นิสัยของนายท่านดี ยิ่งข้าพูดเขาก็ยิ่งไม่เห็นด้วย…” นางหน้ามุ่ยพลางกล่าวอย่างหนักใจว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่…ถ้าเสาจิ่นได้แต่งกับนายท่านสี่ จะดีมากเพียงใดนะ…ไม่ได้ ไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้ล้มเหลวได้…” ขณะที่นางกล่าว สีหน้าก็เคร่งขึ้น สั่งการหลี่มามาว่า “เจ้ารีบหาทางส่งจดหมายไปให้นายท่านใหญ่สักฉบับหนึ่ง บอกว่าเกิดเรื่องกับข้า ให้เขาเร่งมาหาสักครั้งหนึ่ง”
หลี่มามาออกไปอย่างรีบร้อน
หลี่ซื่อหยกน้ำชาไปหาโจวเจิ้น
โจวเจิ้นเพิ่งตื่น บ่าวชายกำลังปรนนิบัติเขาล้างหน้าล้างตาอยู่ เมื่อเห็นหลี่ซื่อ เขาเอ่ยถามเสียงเย็นชาว่า “เจ้ามาทำไม”
หลี่ซื่ออดดีใจอย่างเงียบๆ ไม่ได้ที่ตนไม่คิดจะเกลี้ยกล่อมโจวเจิ้นอีกครั้ง
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่ว่านี่ใกล้จะถึงเทศกาลเก้าคู่แล้วหรอกหรือ ข้ากำลังคิดว่าควรจะส่งของไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนสักหน่อยหรือไม่ มิใช่ว่าหลายวันก่อนมีจดหมายมาจากจินหลิงบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ค่อยสบายหรอกหรือเจ้าคะ พวกเรารับฮูหยินผู้เฒ่ากวนมาอยู่ด้วยสักระยะหนึ่งดีหรือไม่ เป็นทั้งกึ่งบุตรเขยและกึ่งบุตรชายผู้หนึ่ง นางดีกับท่านขนาดนี้ พวกเรากตัญญูต่อนางสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
ซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกัน ฮูหยินผู้เฒ่ากวนทั้งร้อนใจและกรุ่นโกรธ ป่วยไข้ไปหลายวันถึงดีขึ้นมา
โจวเจิ้นชำเลืองมองหลี่ซื่อครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าช่างเป็นห่วงเรื่องแต่งงานครั้งนี้เสียจริงๆ!”
หลี่ซื่อได้ยินแล้วดวงตาแดงก่ำ กล่าวขึ้นว่า “นายท่าน นี่ท่านข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าล้วนเชื่อฟังท่านทุกอย่าง นายท่านบอกหนึ่ง ข้าไม่เคยบอกเป็นสอง หากต้องการจะกล่าวโทษ ก็กล่าวโทษที่ท้องของข้าไม่ได้เรื่อง ไม่อาจให้กำเนิดบุตรชายสักคนหนึ่งได้ นายท่านก็เลยมีแต่พวกต้ากูไหน่ไนเพียงสามพี่น้องเท่านั้น มิให้ไปมาหาสู่และสนิทสนมกับบรรดาญาติผู้พี่ทั้งหลายที่จินหลิงให้มากสักหน่อย เกรงว่ายามออกเรือนจะไม่มีคนให้ขี่หลังได้เลยแม้แต่คนเดียว…”
คำพูดของนางพลันทิ่มแทงเข้าสู่หัวใจของโจวเจิ้น
ที่เขาไปมาหาสู่กับซอยจิ่วหรูอย่างสนิทสนมขนาดนี้ โดยมากก็เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตระกูลโจวมีจำนวนสมาชิกในตระกูลน้อยเกินไปด้วยเช่นกัน
โจวเจิ้นไม่กล่าวสิ่งใด เดินออกจากห้องไป
ขณะนั่งอยู่ในห้องทำงาน ในใจของเขาคล้ายกับมีเม็ดทรายตกลงไปก็ไม่ปาน ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกไม่สบายใจ
เขาเรียกหลี่ฉางกุ้ยเข้ามาสอบถามอีกครั้ง “นายท่านสี่ตระกูลเฉิงกลับไปหรือยัง”
“ยังขอรับ!” หลี่ฉางกุ้ยกล่าวด้วยอาการขลาดกลัวเล็กน้อยว่า “ยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูที่ว่าการโดยตลอดขอรับ…ใต้เท้าหวงวิ่งเข้าไปชวนคุย นายท่านสี่ก็ไม่ตอบ...” เขาอดเกลี้ยกล่อมไม่ได้ว่า “นายท่าน หากว่านายท่านสี่กลายมาเป็นบุตรเขยของท่านจริงๆ ท่านจะให้คน ณ ที่ว่าการแห่งนี้มองเขาอย่างไรขอรับ…”
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” โจวเจิ้นบังเกิดโทสะ
หลี่ฉางกุ้ยวิ่งออกไปอย่างคอตก ไม่นานก็เข้ามารายงานอีกครั้งว่า “เจ้าพนักงานธุรการศาลหวงมาขอรับ!”
โจวเจิ้นเชิญเจ้าพนักงานธุรการศาลหวงเข้ามา
เจ้าพนักงานธุรการศาลหวงถามถึงเฉิงฉือด้วยดวงตาเป็นประกาย
โจวเจิ้นคุยด้วยอย่างส่งๆ ไปสองสามประโยคให้ผ่านพ้นไป
ไม่นาน ถานเตี๋ยนสื่อฝ่ายสืบสวนสอบสวนก็เข้ามาหา เมื่อพูดธุระเสร็จแล้ว ก็ถามถึงเฉิงฉืออย่างอ้อมๆ ว่าเป็นใครมาจากไหน
โจวเจิ้นทนต่อไปไม่ได้อีก ไล่ถานเตี๋ยนสื่อออกไปแล้วก็กลับไปที่เรือนชั้นใน
หลี่ซื่อกำลังเล่นกับโจวโย่วจิ่นอยู่ในห้องโถง
เมื่อเห็นโจวเจิ้น โจวโย่วจิ่นก็กระโจนตัวเข้ามาหาในทันที เปล่งเสียงเรียก “ท่านพ่อ” อย่างไม่ค่อยชัดนัก
โจวเจิ้นอุ้มโจวโย่วจิ่นเอาไว้ ถามหลี่ซื่ออย่างตำหนิว่า “นางโตขนาดนี้แล้ว เหตุใดยังพูดไม่ได้อีก”
แววตาของหลี่ซื่อหม่นหมองลง กล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่ทราบ ตอนนี้ข้าให้บ่าวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายนางทุกคนพยายามพูดกับนางแล้วนะเจ้าคะ!”
โจวเจิ้นเล่นกับโจวโย่วจิ่นไปครู่หนึ่ง หลังจากรับมื้อเย็นกับหลี่ซื่อเรียบร้อยแล้วถึงได้กลับไปที่ห้องหนังสือ
แต่เมื่อเขากลับถึงห้องหนังสือก็เรียกหาหลี่ฉางกุ้ยมาสอบถาม “นายท่านสี่ตระกูลเฉิงกลับไปหรือยัง”
หลี่ฉางกุ้ยรีบตอบว่า “ไปแล้วขอรับ!”
โจวเจิ้นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
แต่ก็บอกไม่ได้ว่าในใจรู้สึกยินดีหรือรู้สึกได้ปลดเปลื้องตัวเองให้เป็นอิสระกันแน่
วันต่อมา เฉิงฉือก็ส่งเทียบเข้ามาอีก
โจวเจิ้นยังไม่ให้พบเช่นเดิม
เป็นเช่นนี้อยู่สี่ถึงห้าวัน ผู้คน ณ ที่ว่าการเมืองเป่าติ้งต่างกำลังถกเรื่องนี้กัน แต่เฉิงฉือก็ปิดปากแน่นสนิทประหนึ่งหอยในแม่น้ำ ใครถามก็ไม่ตอบ
โจวเจิ้นทำใจแข็ง ตะโกนบอกหลี่ฉางกุ้ยว่า “เจ้าไปบอกนายท่านสี่ตระกูลเฉิงว่า ต่อให้เขายืนอยู่หน้าประตูที่ว่าการจนกลายเป็นหินรูปปั้น ข้าก็ไม่มีทางตอบตกลง”
หลี่ฉางกุ้ยรับคำเสียงเบา
เฉิงฉือยังคงยืนกรานทำอยู่เช่นเดิม ส่งเทียบเข้ามารอพบโจวเจิ้นทุกวัน
กระทั่งถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์วันที่สิบห้าเดือนแปดในวันนั้น โจวเจิ้นทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เรียกเฉิงฉือเข้ามา กล่าวว่า “ตกลงเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้าเคยบอกไปตั้งนานแล้ว หากเจ้าคิดจะสู่ขอเสาจิ่น นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ข้าไม่อาจปล่อยให้เสาจิ่นไปรับความลำบากกับเจ้าได้…”
มีฝนตกและสายลมพัดผ่าน เมื่อเปรียบเทียบกับหลายวันก่อนแล้วเฉิงฉือค่อนข้างลำบากกว่าเล็กน้อย
เขากล่าวเสียงเคร่งว่า “ใต้เท้าโจว ข้าเกิดวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีซินเว่ย สอบได้จิ้นซื่อประจำปีการสอบเหรินเฉินรัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบห้า ยังไม่ได้แต่งงาน ในครอบครัวเป็นบุตรคนเล็กสุด มีมารดาหม้ายหนึ่งคน พี่ชายสองคน พี่สะใภ้สองคน หลานสาวสามคน และหลานชายสองคน อีกไม่กี่วันจะเข้ารับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านการจัดการน้ำที่กรมโยธา ไปช่วยหยางโซ่วซานจัดการปัญหาน้ำท่วมของแม่น้ำเหลือง ณ ที่ว่าการของข้าหลวงที่ฝ่ายจัดการน้ำเมืองจี่หนิง ขอใต้เท้าได้โปรดให้บุตรสาวของท่านหมั้นหมายกับข้าด้วย ข้ากับนางจะอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ จะอยู่ด้วยกันด้วยความซื่อสัตย์อย่างแน่นอน ขอใต้เท้าโจวได้โปรดอนุญาตด้วยขอรับ!”
โจวเจิ้นหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
เฉิงฉือเข้ารับราชการ ทว่าไม่ไปอยู่กรมขุนนางและไม่ไปอยู่กรมการตรวจตรา แต่ไปดำรงตำแหน่งเล็กๆ อย่างที่ปรึกษาผู้หนึ่งที่ฝ่ายจัดการน้ำของกรมโยธา ไปช่วยหยางโซ่วซานแก้ไขปัญหาน้ำ ณ ที่ว่าการข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำที่จี่หนิง…หากมิใช่เพราะมีความทะเยอทะยานสูงก็เพราะมีความสามารถมากแล้ว!
ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง ก็ล้วนแล้วแต่ควรค่าให้คนเคารพทั้งสิ้น
เขาอดกล่าวไม่ได้ว่า “ในเมื่อเจ้าต้องไปจี่หนิง หรือว่าจะให้เสาจิ่นตามไปรับความลำบากกับเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ”
เฉิงฉือรู้สึกโล่งใจ
จากที่โจวเจิ้นกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา แสดงให้เห็นว่าโจวเจิ้นเคยคิดมาก่อนว่าถ้าเสาจิ่นแต่งกับเขาแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง
เขาไม่กลัวหากโจวเจิ้นจะสร้างความลำบากให้ ที่เขากลัวก็คือโจวเจิ้นจะไม่ยอมอนุญาตท่าเดียวมากกว่า
“เสาจิ่นยังเด็ก แต่ข้าอยากจะหมั้นหมายกับนางให้เป็นทางการ” เฉิงฉือกล่าวเสียงเคร่ง สีหน้าดูจริงจังและจริงใจ มองออกว่าคำพูดนี้มิใช่คำพูดที่เขาเพิ่งคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว “ข้าอยู่ที่จี่หนิง อย่างมากก็ห้าปี อย่างน้อยก็สามปีก็กลับมาแล้ว เช่นนั้นก็เป็นผลดีต่อเสาจิ่นด้วยเช่นกัน หากนางอยากตามข้าไปอยู่จี่หนิงด้วยก็ไป แต่ถ้าหากอยากรั้งอยู่ที่จิงเฉิง ก็อยู่เป็นเพื่อนมารดาของข้าได้ ที่ผ่านมามารดาของข้าเองก็ไม่เคยมองนางเป็นคนอื่นอยู่แล้ว…”
ความหมายโดยนัยก็คือ ต้องรออีกสักสองสามปีถึงจะทำให้การแต่งงานกับโจวเสาจิ่นสมบูรณ์โดยแท้จริงได้