ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 452 หมั้นหมาย
ซางมามาเห็นโจวเสาจิ่นเอ่ยถามนางโดยที่มิได้เสแสร้งแต่อย่างใด เป็นรอยยิ้มมีความสุขที่ออกมาจากใจจริงๆ จึงกล่าวเสียงอบอุ่นว่า “นายท่านสี่เร่งกลับมาถึงตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้ เนื่องจากวันนี้เป็นคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า! ไม่คาดคิดว่าตอนที่มาถึงนั้นคุณหนูรองจะไปที่ประตูเฉาหยางก่อนแล้ว นายท่านสี่จึงฝากของเอาไว้กับพวกข้า ยังบอกด้วยว่า หลายวันนี้น่าจะต้องออกไปพบปะผู้คนค่อนข้างมาก ต้องรอให้ผ่านไปสักสองสามวันก่อนแล้วค่อยมาพบคุณหนูรองได้เจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นพยักหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “ใช่เรื่องที่จะต้องไปรับราชการที่จี่หนิงหรือไม่”
ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “ความจริงช่วงนี้ควรจะออกเดินทางไปแล้ว แต่เนื่องด้วยเป็นวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านสี่จึงขอลาหยุดสักสองสามวัน ประจวบเหมาะกับได้ใช้โอกาสนี้ไปที่เมืองเป่าติ้งสักครั้งหนึ่งด้วยพอดี”
กล่าวคือ เรื่องหมั้นหมายระหว่างนางและเฉิงฉือนั้นทุกคนต่างทราบเรื่องกันหมดแล้ว
โจวเสาจิ่นหน้าแดงปลั่ง
ซางมามาหัวเราะร่า กล่าวแสดงความยินดีกับโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นพึมพำขานรับคำ หลบเข้าไปในห้องนอนด้วยความขัดเขิน
ณ บ้านที่ประตูเฉาหยาง หยวนซื่อที่ส่งแขกกลับไปแล้วกำลังช่วยถอดเครื่องประดับให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลับตาลง ปล่อยให้หลี่ว์มามาหวีผมให้นาง เอ่ยถามหยวนซื่อว่า “งานแต่งกับตระกูลหมิ่นจัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว ข้าดูเจียซ่านแล้วท่าทางดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวานัก”
พอกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมาหยวนซื่อรู้สึกเกลียดชังเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นว่า “ล้วนเป็นเพราะคนชั้นต่ำอย่างเฉิงสือและเฉิงเจิ้งสองคนนั่น หากมิใช่เพราะพวกเขา เจียซ่านย่อมไม่เป็นเช่นนี้!”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นับตั้งแต่เกิดเรื่องของเสาจิ่นเป็นต้นมา เจียซ่านก็ยังไม่ดีขึ้นเลย
ตนยังคงพักอยู่ที่ประตูเฉาหยางต่อไปจะดีกว่า
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากพูดอะไรกับหยวนซื่ออีกแม้สักประโยคเดียว
นางบอกหยวนซื่อว่า “พรุ่งนี้ให้เจียซ่านมาหาข้าสักครั้งหนึ่ง ข้าไม่ได้พูดคุยกับเขาดีๆ มาระยะหนึ่งแล้ว”
ที่แท้แม่สามีก็เห็นใจและสงสารหลานชายนี่เอง
หยวนซื่อรับคำยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นกล่าวถึงเฉิงฉือขึ้นมา “…ตัดสินใจจะไปรับตำแหน่งที่จี่หนิงแล้วใช่หรือไม่ ต้องการให้ข้าไปพูดกับพี่ชายสักคำหรือไม่เจ้าคะ การจัดการน้ำนั้นลำบากไม่น้อยเลยทีเดียว! ไปชุบตัวอยู่ที่นั่นสักพักก็กลับมาเถิด! น้องสี่ก็อายุไม่น้อยแล้ว เมื่อก่อนดูแลกิจการของตระกูล จึงได้แต่หาจากคนที่พอจะรู้จักพื้นเพในหมู่ญาติพี่น้องเท่านั้น คนที่รู้จักนิสัยและความรู้ความสามารถของน้องสี่ถึงจะไม่เข้าใจน้องสี่ผิด วันนี้น้องสี่มีตำแหน่งหน้าที่การงานแล้ว เช่นนี้ขอบข่ายของตัวเลือกก็มีมากขึ้นตามไปด้วยแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้ว่านี่ถึงเวลาสำคัญนำอาหารจานใหญ่ขึ้นโต๊ะแล้ว
กล่าวยิ้มๆ ว่า “อย่างไรเสียเขาก็อายุขนาดนี้แล้ว หากยังรีบร้อนหาคู่ครองให้เขาตามอำเภอใจอีก นั่นต่างหากถึงจะเป็นการทำผิดต่อเขาอย่างแท้จริง ปล่อยให้เขาทำตามใจตัวเองเถิด!”
หยวนซื่อได้ยินแล้วก็ลังเลไปครู่หนึ่ง ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านคิดว่าอาเซวียนคุณหนูหกตระกูลฟางเป็นอย่างไรบ้าง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้านึกไปถึงอาเซวียนได้อย่างไร ปีนี้นางเพิ่งจะอายุสิบห้าหรือสิบหกปีเองมิใช่หรือ ยังเด็กเกินไปหน่อย เจ้าสี่อยากได้ภรรยา มิใช่อยากเลี้ยงบุตรสาว”
หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านแม่ ดูท่านพูดเข้าสิเจ้าคะ การสู่ขอภรรยานี้ต้องดูคุณงามความดีเป็นหลัก นอกจากนี้อายุมากกว่ากันเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น ทั้งยังเป็นการแต่งงานครั้งแรก น้องสี่ก็เป็นคนมีรูปลักษณ์โดดเด่น จะไม่คู่ควรกับอาเซวียนได้อย่างไร ตามความเห็นของข้าแล้ว กลับเป็นอาเซวียนที่ไม่ค่อยคู่ควรกับน้องสี่ด้วยซ้ำ เด็กสาวที่มีรูปลักษณ์และพื้นเพอย่างอาเซวียนนี้แม้นจะมีน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแต่ว่าตระกูลฟางเป็นตระกูลที่พวกเรารู้จักตื้นลึกหนาบางเป็นอย่างดีที่สุด ฮูหยินรองฟางได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาดเพียบพร้อม นายท่านรองฟางแม้นตำแหน่งไม่สูง ทว่าเป็นคนกว้างขวางมีมิตรสหายมาก แน่นอนว่าครอบครัวเช่นนี้ย่อมเลี้ยงดูบุตรสาวให้เป็นคนร่าเริงและมีชีวิตชีวา เป็นการเติมเต็มให้น้องสี่ได้พอดี ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าดียิ่งเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง เริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง
นัยน์ตาของหยวนซื่อมีความยินดีสายหนึ่งวาบผ่าน รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองผู้หนึ่ง ให้นางพูดมากกว่านี้มิสู้ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าครุ่นคิดให้กระจ่างด้วยตัวเองจะดีกว่า ฉะนั้นจึงไม่พูดอะไรอีก รับผ้าจากมือของสาวใช้เด็กมารอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหวีผมเสร็จแล้วจะได้ปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวเช็ดมือ
ชิวซื่อผู้เป็นฮูหยินรองเว่ยเข้าขอคำชี้แนะจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัว นางรับผิดชอบนำพวกถ้วยชามและเครื่องใช้ต่างๆ เข้าไปเก็บให้เรียบร้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงใช้โอกาสนี้ถามชิวซื่อว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าสี่ควรจะสู่ขอภรรยาแบบไหนถึงจะดี”
ที่ผ่านมาชิวซื่อทราบมาตลอดว่าหยวนซื่อผู้เป็นพี่สะใภ้ของตัวเองผู้นี้เป็นคนเด็ดเดี่ยวมาตลอด แล้วนางก็มิใช่คนที่ชื่นชอบการชิงดีชิงเด่น นอกจากนี้ก่อนที่นางจะเข้ามาหยวนซื่อก็ปรนนิบัติรับใช้อยู่ในห้องนี้ก่อนแล้ว ไม่รู้ว่าระหว่างแม่สามีและพี่สะใภ้มีปัญหาขัดแย้งอะไรขึ้นมาอีกหรือไม่
น้องสี่เป็นดังกล่องดวงใจของแม่สามี นางยินดีขัดใจพี่สะใภ้แต่จะไม่ยินยอมทำให้แม่สามีที่ดีต่อนางมากผู้นี้ต้องขุ่นเคืองใจเป็นอันขาด นางกล่าวยิ้มๆ โดยไม่ต้องคิดว่า “เรื่องงานแต่งของน้องสี่ย่อมขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านอยู่แล้ว ไหนเลยจะมีที่ให้พี่สะใภ้อย่างพวกข้าได้ออกความคิดเห็นกันเจ้าคะ”
หยวนซื่อแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ
น้องสะใภ้ของนางผู้นี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่สนใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่แสดงความคิดเห็น แต่ขอเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปาก จะกี่ร้อยกี่พันครั้งฮูหยินผู้เฒ่าก็ถูกหมด จะกี่พันกี่หมื่นครั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ดีทุกอย่าง ไม่มีความคิดเห็นเป็นของตัวเองเลยสักนิดเดียว ปกตินางถูกฮูหยินผู้เฒ่าเหน็บแนมและถากถางไม่น้อยเลย แต่ดูจากท่าทางนี้แล้ว กลับไม่รู้จักหลาบจำเลยแม้แต่นิดเดียว
ฮูหยินผู้เฒ่าถามนาง ก็เท่ากับว่าถามผิดคนแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นอะไรไป กลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเป็นคนอ่อนโยนและว่าง่าย ข้าไม่กลัวเลยว่าเมื่อภรรยาของเจ้าสี่แต่งเข้ามาแล้วจะเข้ากับเจ้าไม่ได้”
ชิวซื่อถามขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เรื่องงานแต่งของน้องสี่ท่านมีคนในใจแล้วหรือเจ้าคะ”
“เปล่า!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “เพียงแต่คิดว่าจะเร็วหรือช้าเขาก็ต้องแต่งงานอยู่ดี เพียงแต่กลัวว่าน้องสะใภ้ของพวกเจ้าจะอายุน้อยกว่าพวกเจ้ามากก็เท่านั้น”
ชิวซื่อรีบกล่าวอย่างเชื่อฟังว่า “สายตาของท่านไม่มีทางผิดพลาดเป็นแน่เจ้าค่ะ ถึงเวลาพวกเราคิดเสียว่านางเป็นบุตรสาวของพวกเราก็ได้แล้ว ย่อมต้องดีกับนางอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าว “เวลาก็ไม่เช้าแล้ว พวกเจ้าต่างก็ยุ่งวุ่นวายมาทั้งวันแล้ว รีบไปพักผ่อนเถิด! ช่วงนี้ข้าต้องช่วยตระเตรียมของใช้ให้เจ้าสี่นำไปรับราชการ ก็เลยจะไม่ยุ่งกับพวกเจ้าแล้วก็แล้วกัน พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องมาคารวะข้าทุกวันหรอก”
รอให้ข่าวคราวแพร่ออกไปแล้ว ยังมีเรื่องให้พวกนางต้องยุ่งอีก
หยวนซื่อและชิวซื่อขานรับคำอย่างนอบน้อม ต่างคนต่างเดินนำบ่าวไพร่ของตัวเองแยกย้ายกันกลับไป
เฉิงฉือมาพบมารดา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอ่ยถามขึ้นอย่างยินดีว่า “เจ้าทำให้ใต้เท้าโจวอนุญาตได้อย่างไร”
เฉิงฉือรู้ว่ามารดาให้ความสำคัญกับเขา ต่อไปฝั่งหนึ่งก็เป็นมารดา อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นพ่อภรรยา เขาล้วนไม่อยากทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องขุ่นเคืองใจทั้งสิ้น จึงปิดบังเรื่องที่ตนต้องยืนอยู่หน้าประตูที่ว่าการกว่าหลายวันนั้นเอาไว้ เล่าแต่เรื่องที่เขาและโจวเจิ้นพูดคุยถึงการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำเพียงเท่านั้น “…ยังตั้งใจจะพาข้าไปดูที่หมู่บ้านด้วย ข้าจำได้ว่าถึงวันคล้ายวันเกิดของท่านแม่แล้ว ก็เลยปฏิเสธอย่างสุภาพไป ใต้เท้าโจวจึงให้ข้าออกเดินทางจากจิงเฉิงให้ไวขึ้นสักหน่อย ตอนที่เดินทางผ่านเมืองเป่าติ้งนั้นจะได้ช่วยเขาร่างแนวทางแก้ปัญหาสักอันหนึ่ง เขาจะทดลองใช้ที่หมู่บ้านดูก่อน ดูว่าจะแก้ปัญหาเรื่องน้ำแล้งได้หรือไม่” เขาเล่าถึงตรงนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “จากนั้นไม่รอให้ข้าเอ่ยเรื่องสู่ขออีกครั้ง ใต้เท้าโจวก็เอ่ยกับข้าก่อนแล้วว่า ให้ข้าทำตามหลักที่ควรจะทำกันมาแต่โบราณก็พอ ข้าให้คนไปจัดเตรียมของหมั้นเรียบร้อยแล้ว อยากจะจัดการเรื่องงานแต่งให้เรียบร้อยก่อนจะออกเดินทางไปรับตำแหน่งที่จี่หนิงขอรับ”
“ดีๆๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มตาหยีอย่างมีความสุข ยิ่งมองบุตรชายก็ยิ่งรู้สึกสบายตาสบายใจไปหมด มีบ้านใดสู่ขอบุตรสาวผู้อื่นได้เหมือนบุตรชายของนางบ้าง เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้พ่อตาพยักหน้าอนุญาตโดยไม่ถามถึงสินสอดทองหมั้นอะไรทั้งสิ้นแล้ว
นางรีบย้ำกำชับเฉิงฉือว่า “แม้นใต้เท้าโจวจะกล่าวเช่นนั้น แต่อะไรที่ควรมีก็ไม่อาจให้ขาดตกบกพร่องได้”
เฉิงฉือขานรับยิ้มๆ ว่า “ขอรับ” จากนั้นกล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ค่อนข้างมีอคติกับเสาจิ่น ข้ากลัวว่าถึงเวลานั้นพี่สะใภ้ใหญ่จะรู้สึกไม่พอใจ ชักสีหน้าใส่เสาจิ่นได้…รวมถึงการไปรับราชการของข้าในครั้งนี้นั้นหากมิใช่สามถึงห้าปีก็อาจจะยังไม่ได้กลับมา ท่านอาศัยอยู่ที่ประตูเฉาหยางเพียงลำพังนั้นข้าไม่วางใจ แต่จะให้ท่านไปอยู่ที่ซอยซิ่งหลินข้าก็ยิ่งไม่วางใจ ข้าอยากจะให้เสาจิ่นแต่งเข้ามาเร็วสักหน่อย หลังจากที่ข้าไปแล้วท่านก็มีคนอยู่เป็นเพื่อนคอยพูดคุยแก้เหงาได้สักคนหนึ่ง เสาจิ่นไร้มารดาคอยให้คำชี้แนะมาตั้งแต่เด็ก ท่านก็จะได้คอยบอกคอยสอนนางเรื่องจะดูแลงานต่างๆ ในบ้านอย่างไรด้วยพอดี”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจ เอ่ยถามว่า “เจ้าไม่คิดจะพาเสาจิ่นไปรับราชการด้วยหรือ”
มารดาของเขารออุ้มหลานแล้ว เขาจะกล้าพูดว่าตัวเองยังไม่คิดจะร่วมหอกับโจวเสาจิ่นได้อย่างไร
“หากนางตามข้าไปรับราชการด้วย แล้วท่านจะทำอย่างไร” เฉิงฉือกล่าวอย่างหนักแน่น “เรื่องนี้ตกลงกันตามนี้ก็แล้วกัน ท่านก็อย่าโน้มน้าวข้าอีกเลย บ้านอื่นข้าไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่บ้านของข้าไม่อาจให้กลายเป็นว่าพอสะใภ้แต่งเข้ามา แม่สามีก็ต้องไปยืนอยู่ข้างๆ อย่างไร้อำนาจเสียแล้ว”
ช่างตรงกับที่กล่าวว่าไม่ว่าอย่างไรผู้คนต่างก็ชื่นชอบที่จะได้ยินคำพูดประจบประแจงกันทั้งนั้นนั่นจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีใจจนไม่รู้จะดีใจอย่างไรแล้ว กล่าวว่า “แล้วเรื่องเถ้าแก่เล่าเจ้าได้คิดหรือยังว่าจะเชิญผู้ใด”
“ตั้งใจจะเชิญใต้เท้าซ่งและใต้เท้าจางขอรับ” เฉิงฉือกล่าว “ผู้หนึ่งคือคนที่ให้การแนะนำข้า ส่วนอีกผู้หนึ่งก็เป็นหัวหน้าโดยตรงของข้า อีกทั้งพวกเขายังเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์กันด้วย ดีกว่านี้ไม่มีแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็เห็นด้วย ทั้งสองคนปรึกษาหารือกันกว่าครึ่งค่อนคืน เช้าตรู่วันต่อมาฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไปที่ตระกูลซ่ง
หลังจากที่ฮูหยินซ่งทราบวัตถุประสงค์การมาแล้วแม้จะรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนึกถึงรูปลักษณ์ของโจวเสาจิ่นและเฉิงฉือแล้วก็รู้สึกว่าเหมาะสมกันอย่างกับฟ้าประทาน กล่าวขึ้นว่า “น่าเสียดายที่แม่สามีของข้าไม่อยู่แล้ว และข้าเองก็มีบุตรชายเพียงคนเดียว ไม่อย่างนั้นคงเสนอตัวไปเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการให้พวกท่านแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มร่า กล่าวขึ้นว่า “ความจริงแล้วก็ไม่อยากจะรบกวนพวกเจ้าเลย แต่ใต้เท้าซ่งของพวกเจ้ามีบุญคุณต่อเจ้าสี่ของพวกข้าเป็นอย่างยิ่ง นายท่านสี่ของพวกข้ากล่าวว่า เขาจะแต่งงาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเชิญใต้เท้าซ่งไปเป็นเถ้าแก่ให้เขา ถึงเวลานั้นเจ้าเองก็ต้องไปช่วยข้าด้วย พวกข้าแยกตระกูลกันแล้วก็เลยมีแค่พวกเขาสามพี่น้องเท่านั้น” กล่าวอีกว่า “หากมิใช่เพราะแยกตระกูล ข้าคงยังคิดไม่ถึงเรื่องจะให้เสาจิ่นมาเป็นบุตรสะใภ้ของข้า วันนี้ก็ถือว่าได้รับพรหลังเผชิญกับความโชคร้ายบ้างแล้ว”
ฮูหยินซ่งกล่าวปลอบใจฮูหยินผู้เฒ่ากัวเนิ่นนาน รั้งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่รับประทานมื้อเที่ยงด้วย จากนั้นถึงได้ส่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวออกไปด้วยตัวเอง
ตกเย็นเมื่อซ่งจิ่งหรานกลับมาได้ยินสิ่งที่ฮูหยินซ่งกล่าวมาก็ตอบรับด้วยความยินดี
ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในตอนนี้ แค่ความรู้ความสามารถของเฉิงฉืออย่างเดียวก็เพียงพอให้เขาเคารพนับถือแล้ว
ซ่งจิ่งหรานและจางฮุ่ยตอบรับหน้าที่เถ้าแก่ให้อย่างง่ายดาย ทางด้านของเฉิงเซ่าเองก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวกับเฉิงฉือว่า “เจ้าต้องให้กำเนิดบุตรหลายๆ คนหน่อยถึงจะดี ไม่ว่าจะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาวก็ดี ให้ในบ้านมีเด็กหลายๆ คนหน่อยจะได้ครึกครื้น!”
เฉิงฉือนึกถึงลานบ้านที่เต็มไปด้วยความเงียบสงัดตอนเข้ามานั้นแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากว่าพวกข้ามีบุตรชายสองคน จะมอบผู้หนึ่งให้เป็นบุตรบุญธรรมของพี่ชายเฝินก็แล้วกันขอรับ”
เฉิงเซ่ากลับส่ายศีรษะ กล่าวอย่างสลดหดหู่ใจว่า “หากเจ้ามีความตั้งใจจริงๆ มอบหลานชายของเจ้าให้เป็นบุตรบุญธรรมของซวิ่นเกอเอ๋อร์สักคนจะดีกว่า! ข้าไม่อาจปล่อยให้เขาเป็นวิญญาณเร่ร่อนไร้ซึ่งลูกหลานกราบไหว้ได้!”
เฉิงฉือมองท่านอาที่มีผมขาวไปทั่วทั้งสองข้างนั้นแล้ว เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเศร้าสลดใจ
บางทีอาจเป็นเพราะว่าตัวเขาเองก็กำลังจะแต่งงานแล้ว ก็เลยรู้สึกจิตใจอ่อนไหวกระมัง
แต่กว่าจะรอให้ถึงตอนที่ตนมีหลานชาย เกรงว่าท่านอารองก็คงจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เช่นนั้นจะมีความหมายอะไรเล่า
เฉิงฉือครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ท่านอารอง หรือว่าท่านรับบุตรชายจากสถานสงเคราะห์กลับมาเลี้ยงดูสักคนดีหรือไม่”
เฉิงเซ่าตะลึงงัน
เฉิงฉือกล่าวเสียงเคร่งว่า “ตอนที่ข้าไปเอาใบอนุญาตค้าเกลือที่ไหวอันในปีนั้น ได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่เขื่อนของแม่น้ำหย่งติ้งแตกพอดี ด้านนอกเมืองไหวอันนั้นหากมิใช่เด็กๆ ที่สูญเสียบิดามารดาก็เป็นบิดามารดาที่สูญเสียบุตรหลานทั้งสิ้น เวลานั้นข้าครุ่นคิดว่า ยามอยู่ต่อหน้าภัยพิบัติที่ยากแค้น เรื่องสืบสกุลของครอบครัวกลายเป็นเรื่องที่เปราะบางได้ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นการสืบสกุลของครอบครัวสำคัญกว่าหรือว่าชีวิตสำคัญกว่ากันแน่”
นี่ก็เหมือนกับการตั้งคำถามว่าบุญคุณของผู้ให้กำเนิดกับบุญคุณของผู้ให้การเลี้ยงดูมานั้นผู้ใดสำคัญมากกว่ากันแน่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบ
เฉิงเซ่ายิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “เกรงว่าทรัพย์สมบัติของครอบครัวจะสำคัญกว่ากระมัง”
เฉิงฉือหัวเราะฮ่าดังลั่น
เฉิงเซ่ากล่าวว่า “เรื่องนี้รอให้เจ้าแต่งงานแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน! ข้าอายุมากแล้ว ต่อให้รับเด็กกลับมา ข้าก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะเลี้ยงดูได้แล้ว”
แต่ท้ายที่สุดก็กระตุ้นความสนใจได้บ้าง
เฉิงฉือยิ้มพลางจิบชาคำหนึ่ง