ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 453 วางของหมั้น
ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น เวลาเพียงสองวันก็จัดเตรียมทุกอย่างได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยหมดแล้ว
เชิญกู้ซื่อบุตรสะใภ้ของอู๋เจ่าซิ่วผู้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตหลวงของสำนักฮั่นหลินและเป็นลูกศิษย์ของนายท่านผู้เฒ่ามาเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการ ให้ติดตามคณะแม่สื่อไปวางของหมั้นที่เมืองเป่าติ้ง
กู้ซื่อผู้นั้นเป็นญาติสายรองของตระกูลกู้ที่ไห่หนิง กู้ซวี่สามีของเฉิงเจิงดำรงตำแหน่งเป็นราชครูเล็กอยู่ที่สำนักราชครู ขณะเดียวกันก็เป็นราชบัณฑิตหลวงของสำนักฮั่นหลินด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นในบรรดาญาติที่เกี่ยวดองกับเฉิงจิง คนที่ทราบเรื่องงานแต่งของเฉิงฉือเป็นคนแรกก็คือกู้ซวี่นั่นเอง
เนื่องจากครอบครัวของอู๋เจ่าซิ่วนั้นคนทั้งหกรุ่นต่างอาศัยอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน กู้ซื่อมีชื่อเสียงในด้านการรับหน้าที่เป็นผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการในจิงเฉิง คนที่มาหานางเพื่อทำหน้าที่ไปสู่ขอนั้นมีเป็นจำนวนมาก กู้ซวี่จึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กระทั่งตอนที่ตระกูลโจวและตระกูลเฉิงทั้งสองตระกูลแลกใบดวงชะตากันและเตรียมจะวางของหมั้นกันแล้วนั้น เช้าวันหนึ่งกู้ซวี่จึงเอ่ยถามเฉิงเจิงโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “ท่านอาฉือใกล้จะแต่งงาน ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว เจ้าไม่ไปช่วยสักหน่อยหรือ”
“อะไรนะเจ้าคะ” เฉิงเจิงตกตะลึงงัน “ท่านอาฉือจะแต่งงานหรือ ท่านได้ยินใครพูดมา เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่อง ท่านอาฉือจะแต่งกับบุตรสาวตระกูลใดหรือ”
เรื่องงานแต่งของเฉิงฉือเป็นเรื่องของตระกูลเฉิง อีกทั้งพวกเขายังเป็นคนรุ่นเด็กกว่า แน่นอนว่าย่อมไม่ต้องมาบอกพวกเขาให้ทราบ
แต่น้ำใจคนย่อมอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ เฉิงเจิงเป็นหลานสาวคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้ความสำคัญมากที่สุด ตอนยังอยู่บ้านที่จินหลิงยามมีเรื่องอะไรฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังเขียนจดหมายมาบอกเฉิงเจิงให้ทราบเรื่องสักฉบับหนึ่งเลย เฉิงฉือกำลังจะแต่งงาน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ด้วยเหตุและผลแล้ว ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะมิได้มาหารือกับเฉิงเจิงว่าหญิงสาวจากตระกูลใดถึงจะเหมาะสม แต่ก็น่าจะบอกนางให้ทราบเรื่องล่วงหน้าถึงจะถูก
สองสามีภรรยาแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้
เฉิงเจิงลงจากเตียงในทันใด เอ่ยกับกู้ซวี่ว่า “วันนี้ข้าอาจจะกลับช้าสักหน่อย ท่านไม่ต้องรอข้าแล้ว”
กู้ซวี่กลับกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินว่าเป็นบุตรสาวคนรองของใต้เท้าโจวเจ้าเมืองเป่าติ้ง ซึ่งก็คือคุณหนูรองคนที่เคยได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้น”
หัวสมองของเฉิงเจิงพลันเดือดปะทุปุดๆ
ท่านย่าสู่ขอคุณหนูรองตระกูลโจวให้ท่านน้าฉือได้อย่างไร
เจียซ่านจะ…
ต่อไปทุกคนต่างต้องกินข้าวหม้อเดียวกัน แล้วจะเข้าหน้ากันได้อย่างไร
เสาจิ่นอายุน้อยกว่าเขาตั้งสิบกว่าปีมิใช่หรือ
นี่คงไม่ต้องพูดถึง งานแต่งของท่านอาฉือล่าช้ามานานขนาดนี้ การหาหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าเขาสักสิบกว่าปีก็เป็นเรื่องปกติ แต่โจวเสาจิ่นเป็นหลานสาวของจวนสี่ ลำดับอาวุโสยังนับเป็นคนละรุ่นกับท่านอาฉือด้วยนี่นา ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้แยกตระกูล ไม่ว่าอย่างไรนั่นก็ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน...แต่หลังจากแยกตระกูลแล้ว…
คล้ายมีของอะไรบางอย่างวาบผ่านหัวสมองของเฉิงเจิงไปโดยที่คว้าเอาไว้ไม่ทัน
นางรู้สึกปวดศีรษะราวกับมันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แม้นจะบอกว่าทั้งสองครอบครัวมิได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็เคยเป็นญาติที่เกี่ยวดองกันมาอย่างเนิ่นนาน บางเรื่องยังควรที่จะให้ความสนใจสักหน่อยถึงจะถูก
ทั้งๆ ที่ท่านอาฉือกำลังจะไปรับราชการแล้วแท้ๆ…นี่มิเท่ากับว่าเป็นการยื่นจุดอ่อนให้ผู้อื่นเล่นงานหรอกหรือ
เฉิงเจิงหยุดฝีเท้าลง หมุนกายกลับมามองกู้ซวี่นิ่ง “ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้ยินมาจากใต้เท้าอู๋” กู้ซวี่ไม่ได้คิดมากเหมือนเฉิงเจิง เพียงแต่รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างผิดจากหลักปกติที่คนปฏิบัติกันก็เท่านั้น เฉิงเจิงจึงควรจะกลับไปดูสักหน่อยว่าที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ “เจ้าก็รู้ บุตรสะใภ้สามของครอบครัวใต้เท้าอู๋คือหญิงสาวจากตระกูลกู้ นางให้กำเนิดบุตรชายห้าคนบุตรสาวสามคน มักจะทำหน้าที่เป็นผู้เปี่ยมไปด้วยพรทุกประการให้ผู้อื่นบ่อยๆ ข้าได้ยินเรื่องนี้มาจากใต้เท้าอู๋”
แน่นอนว่ายามกู้ซวี่อยู่ที่สำนักฮั่นหลิน ใต้เท้าอู๋ดูแลเขาเป็นพิเศษ และทั้งสองครอบครัวก็ถือได้ว่าค่อนข้างสนิทสนมกัน
เฉิงเจิงพยักหน้าอย่างลวกๆ เมื่อจัดการบุตรชายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไปล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวใหม่ครั้งหนึ่ง แล้วไปที่ประตูเฉิงหยางอย่างรีบร้อน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังสนทนากับฮูหยินสามอู๋บุตรสะใภ้คนที่สามของอู๋เจ่าซิ่วอยู่ “กล่าวเช่นนี้แสดงว่านายท่านฝั่งสะใภ้มิได้ว่ากล่าวอะไรเลยใช่หรือไม่”
ฮูหยินสามอู๋พยักหน้ายิ้มๆ พลางกล่าว “ไม่เพียงนายท่านฝั่งสะใภ้ที่ไม่ว่ากล่าวอะไรทั้งนั้น แม้แต่ฮูหยินฝั่งสะใภ้ตอนที่เห็นพวกข้าไปวางของหมั้นนั้น นางยิ้มไม่หุบมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเลยเจ้าค่ะ เห็นได้ชัดว่าตระกูลโจวพึงพอใจกับการเกี่ยวดองในครั้งนี้เป็นอย่างมาก”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีใจเป็นอย่างยิ่ง
การที่ตระกูลฝั่งสะใภ้พึงพอใจกับการเกี่ยวดองในครั้งนี้ก็เท่ากับว่าพึงพอใจในตัวบุตรชายของนาง นางเองก็รู้สึกว่าได้รับเกียรติไปด้วย
นางเพิ่มเงินในซองแดงให้ฮูหยินสามอู๋อีกหนึ่งเท่าตัว “ทำให้ท่านต้องลำบากแล้ว”
การรับซองแดงเพื่อเป็นการขอบคุณของคนเป็นแม่สื่อนี้มีกฎและระเบียบปฏิบัติของมันอยู่ ไม่อาจปฏิเสธได้
ฮูหยินสามอู๋กล่าวขอบคุณยิ้มๆ และรับเอาไว้ หารือเรื่องฤกษ์วันแต่งกับฮูหยินผู้เฒ่า “นี่เป็นวันมงคลที่นายท่านตระกูลฝั่งสะใภ้เลือกมา ท่านลองดูว่ามีเวลาใดที่เหมาะสมบ้างหรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูแล้วล้วนเป็นวันที่ในปีหน้าทั้งสิ้น จึงพับจดหมายในมือลง กล่าวขึ้นว่า “เกรงว่าคงต้องรบกวนให้ท่านเดินทางไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว พวกข้าอยากจะกำหนดวันแต่งให้อยู่ภายในปีนี้ ท่านเองก็ทราบ เจ้าสี่ของพวกข้าอายุมากกว่าคุณหนูรองตระกูลโจวมาก อีกทั้งใกล้จะต้องไปรับราชการที่จี่หนิงแล้ว อีกสามถึงห้าปีกว่าจะกลับมา หากล่าช้าไปจนถึงเวลานั้น คุณหนูรองตระกูลโจวก็อายุมากเกินไปแล้ว”
ฮูหยินสามอู๋มิได้แปลกใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านฝั่งสะใภ้เองก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เนื่องจากหญิงสาวยังมิได้ปักปิ่น ทั้งยังมิได้มาจากตระกูลยากจนที่เลี้ยงดูต่อไปไม่ไหวแล้วประเภทนั้น ข้าพิจารณาแล้วพวกเราทางด้านนี้ควรจะต้องให้เกียรตินายท่านฝั่งสะใภ้เพิ่มอีกสักหน่อยถึงจะถูก จะให้ดีที่สุดควรจะเชิญเถ้าแก่ไปช่วยเร่งวันแต่งงานเจ้าค่ะ”
หากเป็นเช่นนี้ก็ต้องเชิญซ่งจิ่งหรานและจางฮุ่ยไปเมืองเป่าติ้งด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง
ทั้งสองคนล้วนเป็นขุนนางใหญ่คนสำคัญในราชสำนัก โดยเฉพาะซ่งจิ่งหรานผู้เป็นเจ้ากรมการคลังและที่ปรึกษาประจำพระที่นั่งตะวันออก แม้แต่เวลาจะกลับไปกินข้าวที่บ้านยังไม่มี ไหนเลยจะมีเวลาเดินทางไปเมืองเป่าติ้งด้วยตัวเองกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ลังเลใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะหารือกับบุตรชายดูก่อนก็แล้วกัน”
ฮูหยินสามอู๋เองก็รู้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นปัญหา จึงกล่าวว่า “หรือไม่ เชิญนายท่านผู้เฒ่ารองของพวกท่านไปก็ได้เจ้าค่ะ! ก็เพียงต้องการให้ผู้คนด้านนอกเห็นความจริงใจของตระกูลเฉิง ให้เห็นว่าที่ต้องการตบแต่งคุณหนูรองตระกูลโจวเข้ามาด้วยระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้มิใช่เพราะดูแคลนนาง แต่เพราะตระกูลเฉิงอยากจะตบแต่งนางเข้ามาให้เร็วสักหน่อยต่างหาก”
ตัวเลือกนี้น่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า
สาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่าต้ากูไหน่ไนกลับมาแล้ว
ฮูหยินสามอู๋ถือโอกาสกล่าวขอตัวลา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปส่งนางที่ประตูด้วยตัวเอง จากนั้นถึงได้ไปพบเฉิงเจิง
ที่ผ่านมาเฉิงเจิงไม่เคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นคนอื่น นางบอกวัตถุประสงค์การมาของตนอย่างตรงไปตรงมา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นมารดาของเจ้าที่เตือนสติข้า ก่อนหน้านี้ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะสู่ขอเสาจิ่นให้อาฉือของเจ้าเช่นกัน แต่เมื่อหลายวันก่อนมารดาของเจ้าเอ่ยถึงอาเซวียนคุณหนูหกตระกูลฟางกับข้า ข้าจึงคิดได้ว่าอายุของโจวเสาจิ่นและนางก็ไม่ต่างกันมาก ทั้งยังเป็นคนที่ข้าเลี้ยงดูมาด้วยตัวเองจึงรู้จักตื้นลึกหนาบางดี แทนที่จะสู่ขอคนที่เคยเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งอย่างอาเซวียน มิสู้สู่ขอเสาจิ่นจะดีกว่า ส่วนเจียซ่าน ชีวิตนี้ของเขายังอีกยาวไกล ต่อไปยังต้องพบพานกับเรื่องที่ไม่ถูกใจยิ่งกว่านี้อีกมาก บางเรื่องเขาก็ควรจะต้องเรียนรู้จักอดทนและประนีประนอมให้ได้” กล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เบิกบานขึ้นมา “มิใช่ว่ามารดาของเจ้าปรารถนาจะให้เจียซ่านเข้าสู่ราชสำนักมาโดยตลอดหรอกหรือ ก็ให้เรื่องนี้เป็นบทฝึกความอดทนของเขาก็แล้วกัน!”
แต่บทฝึกความอดทนเช่นนี้ช่างโหดร้ายยิ่งนัก!
เฉิงเจิงรู้สึกไม่กล้าคิดต่อเล็กน้อย
ในหัวกลับมีแสงสว่างหนึ่งวาบผ่าน
หรือว่าท่านอาฉือจะถูกใจโจวเสาจิ่น!
เพราะฉะนั้นท่านย่าถึงได้ให้โจวเสาจิ่นแต่งเข้ามา?
นางนึกถึงเรื่องที่เฉิงฉือขอร้องให้นางช่วยดูแลโจวเสาจิ่นขึ้นมา
เวลานั้นท่านอาฉือดูจริงใจเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดไม่เจอเพียงหนึ่งฤดูร้อน เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเช่นนี้
ดวงหน้าของเฉิงเจิงเต็มไปด้วยความสับสน
รอยยิ้มบนใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวค่อยๆ เลือนหายไป กล่าวขึ้นว่า “อาเจิง ต่อไปข้าจะอยู่ที่ประตูเฉาหยางนี้กับอาฉือของเจ้า ทุกคนต่างแยกกันอยู่ไม่ได้ใกล้ชิดกัน จะพบหน้ากันทีก็ตอนเทศกาลประจำปีเท่านั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเจียซ่านมากเกินไป!”
ถ้าหากเป็นเพราะท่านอาฉือถูกใจโจวเสาจิ่นจริงๆ เรื่องนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว
แต่ท่านอาฉือชอบโจวเสาจิ่นตั้งแต่เมื่อไรกัน
เฉิงเจิงรู้สึกไร้ทางเลือก
ต่อให้นางรู้แล้วจะอย่างไร
ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว ต่อให้นางพูดอะไรอีกก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
นอกจากนี้เรื่องนี้ยังเกี่ยวพันถึงมารดาของนางด้วย
มารดาและท่านย่าไม่ลงรอยกัน ตอนเด็กพวกนางพี่น้องมองไม่ออก แต่เมื่อแต่งงานและได้ดูแลการงานของครอบครัวแล้ว จึงลิ้มรสชาติบางอย่างได้
นางพึมพำขานรับคำ พลางกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ของข้ารู้เรื่องนี้หรือไม่เจ้าคะ”
“เนื่องจากเรื่องอาฉือของเจ้านั้นยังเร็วไปที่จะเอ่ย ข้าก็เลยยังไม่ได้พูดอะไรมาก” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเสียงเรียบ “ตอนนี้เรื่องงานแต่งพอจะมีความคืบหน้าแล้ว ก็ควรจะบอกมารดาของเจ้าและอาสะใภ้รองของเจ้าสักหน่อยแล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนี้มารดาของเจ้ากำลังวุ่นอยู่กับเรื่องงานแต่งของเจียซ่าน เกรงว่าคงไม่มีเวลาว่างมาสนใจเรื่องนี้”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พอฮูหยินผู้เฒ่ากัวละเว้นการมาคารวะยามเช้าและเย็นให้หยวนซื่อ หยวนซื่อก็ไม่ค่อยมาเยี่ยมเยียนแล้วจริงๆ คำพูดนั้นจึงแฝงความนัยต่อว่าหยวนซื่อเล็กน้อยว่าสนใจแต่เรื่องบุตรชายของตัวเองโดยละเลยเรื่องของน้องสามีคนเล็ก
เฉิงเจิงอับอายจนสีหน้าแดงก่ำ
ฝั่งหนึ่งก็เป็นท่านย่าที่เลี้ยงดูนางมาจนเติบใหญ่ อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นมารดาที่ให้กำเนิดนางมา นางจะเลือกซ้ายหรือขวาล้วนยากเย็นทั้งสิ้น
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับไม่คิดจะปล่อยหยวนซื่อไป กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อวันนี้เจ้าออกมาแล้ว ก็กลับบ้านสักครั้งก็แล้วกัน ไปดูว่าพิธีมงคลของเจียซ่านจัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว แล้วก็ถือโอกาสแจ้งข่าวคราวเรื่องงานแต่งของอาฉือของเจ้าให้มารดาของเจ้าด้วย นางจะได้ไม่ต้องเอาแต่กังวลใจถึงเรื่องนี้!”
พอมีเรื่องของฟางเซวียนแล้ว คำว่า ‘กังวลใจ’ ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นมาสองคำนี้จึงใช้อย่างละเอียดอ่อนขึ้นมาเล็กน้อย
เฉิงเจิงไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้อีก ยิ้มพร้อมกับกล่าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ไม่รู้ว่าเรื่องงานแต่งของท่านอาสี่มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยเหลือได้บ้างหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “อีกสักสองวันก่อนเถิด! รอให้กำหนดวันแต่งออกมาแล้ว พวกเจ้าพี่น้องล้วนต้องกลับมาช่วยอยู่แล้ว” เวลาที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ นางดูมีความสุขเป็นอย่างมาก
เฉิงเจิงไปที่ซอยซิ่งหลินด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
มีเหนียงจื่อที่ไม่คุ้นหน้าผู้หนึ่งกำลังยืนคุยกับหยวนซื่ออยู่ในห้องโถงโดยมีบ่าวไพร่ยืนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่
หยวนซื่อหันมากวักมือเรียกเฉิงเจิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามาได้จังหวะพอดีเลย มีพ่อบ้านแนะนำร้านขายโบราณวัตถุร้านนี้ให้ข้า นี่เป็นฉากติดผนังห้องที่ทำมาจากชิ้นส่วนของกระเบื้องเคลือบหรู่เหยา เจ้าลองมาดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยากจะเอามันไปแขวนไว้ในห้องหนังสือของน้องชายเจ้า…”
กำลังทุ่มเทความคิดให้กับการตกแต่งเรือนหลังใหม่ของเฉิงสวี่อยู่จริงๆ ด้วย
เฉิงเจิงนึกถึงสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวยามพูดจากันเมื่อครู่ขึ้นมา พลันตำหนิมารดาอยู่ในใจเล็กน้อย
ในฐานะบุตรสะใภ้ ต่อให้ที่ซอยซิ่งหลินทางด้านนี้มีเรื่องยุ่งมากเพียงใด ก็ควรจะหาเวลาไปคารวะเยี่ยมเยียนท่านย่าสักครั้งถึงจะถูก ท่านย่าให้นางไม่ต้องไปคารวะยามเช้าและเย็นนางก็ไม่ไปแล้วจริงๆ แม้แต่เรื่องที่ท่านอาสี่กำลังจะแต่งงานก็ยังไม่ทราบเรื่องเลย
นางตอบส่งๆ ไปสองสามประโยค หยวนซื่อเห็นนางดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวานัก ยังคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บ้านของนาง หลังจากส่งคนของร้านขายโบราณวัตถุออกไปแล้วก็ไปคุยกับนางที่ห้องชั้นใน
เฉิงเจิงเล่าเรื่องงานแต่งของเฉิงฉือและโจวเสาจิ่นให้หยวนซื่อฟัง
หยวนซื่อคล้ายหัวจะระเบิด กระโดดตัวโหยงพลางร้องขึ้นว่า “ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้ เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งมาบอกข้าเอาป่านนี้ ข้าตกลงกับฮูหยินรองตระกูลฟางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เตรียมจะเป็นแม่สื่อให้ท่านอาฉือของเจ้ากับอาเซวียน...”
เฉิงเจิงยิ่งรู้สึกไม่พอใจมารดามากขึ้น กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านย่ามานานเท่าไรแล้วเจ้าคะ เรื่องงานแต่งของท่านอาฉือนั้นก็เป็นเรื่องที่ท่านย่าบอกข้าตอนที่ข้าไปเยี่ยมนางวันนี้ ข้าคิดว่าท่านย่ามาอยู่จิงเฉิงแล้ว เป็นช่วงเวลาให้ท่านแม่ได้แสดงความกตัญญูพอดี จึงควรจะทราบเรื่องงานแต่งของท่านอาสี่ถึงจะถูก ข้ายังคิดจะมาสอบถามท่านว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าท่านเองก็ไม่ทราบเรื่องเช่นกัน”
ส่วนคำพูดที่บอกว่า ‘ตกลงกับฮูหยินรองตระกูลฟางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว’ อะไรเทือกนั้น นางไม่อยากเอ่ยถึงอีก
ท่านอาสี่มิใช่คนที่สูญเสียทั้งบิดามารดาไปหมดทั้งคู่ ที่พี่สะใภ้ใหญ่เปรียบเสมือนมารดา จำเป็นต้องให้มารดาของนางช่วยดูแลเรื่องงานแต่งให้ประเภทนั้น
ถึงคราวให้มารดาของนางมายุ่งเรื่องงานแต่งของท่านอาฉือตั้งแต่เมื่อไรกัน!