ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 455 ระงับอารมณ์
แม่สามีและบุตรสะใภ้ทั้งสองคนที่ประตูเฉาหยางทางด้านโน้นผลัดกันเจ้าประโยคหนึ่งข้าประโยคหนึ่ง ส่วนฮูหยินใหญ่เลี่ยวที่ซอยอวี๋ซู่ทางด้านนี้กลับตกตะลึงงันไปทั้งร่าง
สุดท้ายแล้วตระกูลเฉิงลอยแพตระกูลฟางและไปสู่ขอโจวเสาจิ่นของตระกูลโจวแทน
หยวนซื่อบอกว่าจะเป็นสะพานเชื่อมผูกด้ายแดงให้เฉิงฉือและอาเซวียนมิใช่หรือ
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่เนิ่นๆ พวกนางจะผลักดันอาเซวียนไปตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปทำไม!
ตอนนี้มิเท่ากับว่าให้ผู้อื่นเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันไปโดยเปล่าประโยชน์แล้วหรอกหรือ
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวนั่งนิ่งต่อไปไม่ได้แล้ว เรียกเกี้ยวหมายจะมุ่งหน้าไปที่ตระกูลฟาง
แต่เมื่อออกประตูมา เบื้องหน้ากลับพบโจวชูจิ่นโดยบังเอิญ กำลังยืนอยู่ตรงเฉลียงทางเดินหน้าเรือนปีกของตัวเองพลางคุยอะไรบางอย่างกับป้ารับใช้ผู้หนึ่งด้วยร้อยยิ้มเต็มดวงหน้าอยู่
นางพลันรู้สึกมีลมหนึ่งจุกแน่นอยู่ที่หน้าอก
นางไม่พึงพอใจลูกสะใภ้คนนี้มาโดยตลอด
ต่อมาด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างทำให้ต้องกลืนความไม่พอใจนั้นลงไป แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่เช่นเดิม
คำพูดที่นางเปล่งออกมาจึงให้ความรู้สึกแข็งกระด้างเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ชูจิ่น เช้าตรู่ขนาดนี้ กวนเกอเล่า อีกประเดี๋ยวร้านขายของที่หน้าปากซอยก็จะมาเก็บเงินแล้ว รายการบัญชีตรวจสอบดูดีหรือยัง อย่าปล่อยให้ผู้อื่นมาขบขันพวกเราว่าซื้อสินค้าแล้วไม่จ่ายเงิน คิดจะเอาแต่ได้เพียงอย่างเดียวเชียว”
คนอย่างพวกนางนี้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อฟืน ข้าวสาร น้ำมัน เกลือ หรือว่าจะเป็นเข็มและด้ายสำหรับงานเย็บปักล้วนส่งพ่อบ้านในบ้านหรือไม่ก็มามาที่มีหน้ามีตาเป็นคนไปติดต่อจัดหา มิได้นำเงินให้บ่าวไพร่ไปซื้อของโดยตรง ปกติล้วนเป็นการไปเชื่อสินค้ากับร้านที่คุ้นเคยด้วยก่อน จากนั้นกำหนดวันชำระเงินภายในสิบวันหรือไม่ก็หนึ่งเดือน
วันนี้จึงเป็นวันที่ร้านขายของใช้หน้าปากซอยจะมาวางใบเสร็จและเรียกเก็บเงิน
โจวชูจิ่นแต่งเข้ามาก็รู้แล้วว่าแม่สามีไม่พึงพอใจตน และก็รู้ด้วยว่าเหตุใดแม่สามีถึงอดทนอดกลั้นเอาไว้ แต่สตรีที่แต่งเข้ามาในเรือนชั้นในแล้วนั้น แม่สามีเป็นดั่งแผ่นฟ้า ต่อให้นางเอาชนะแม่สามีได้แต่ก็ต้องแบกรับชื่อเสียงว่า ‘อกตัญญู’ เอาไว้ อนาคตจะมีผลกระทบไปถึงบุตรชายหญิงยามเจรจาเรื่องแต่งงาน แล้วเหตุใดนางจะต้องทำเรื่องที่ต้องลงแรงมากแต่ได้ผลตอบแทนน้อยพรรค์นั้นด้วยเล่า
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ!” โจวชูจิ่นขานตอบอย่างนอบน้อม “กวนเกอเพิ่งจะหลับไปเมื่อครู่ เห็นว่าใบไม้ร่วงที่ลานบ้านด้านหลังไม่ได้กวาดมาหลายวันแล้วก็เลยมาบอกป้าผู้นี้สักคำเจ้าค่ะ”
เห็นท่าทางว่าง่ายยอมจำนนของบุตรสะใภ้แล้ว นางยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองใจมากขึ้น
ถ้าหากอาเซวียนอายุมากกว่านี้และสามีเป็นคนที่พึ่งพาได้สักหน่อย ตอนแรกคงไม่ตอบรับการหมั้นหมายให้บุตรชายง่ายดายขนาดนั้น คงจะได้สู่ขออาเซวียนให้บุตรชายไปแล้ว
งานแต่งที่ดีเช่นนี้ ตระกูลเฉิงกลับมิชอบ!
ไม่แน่ว่าอาจเป็นพี่น้องตระกูลโจวที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมก็เป็นได้
ไม่อย่างนั้นจะให้เฉิงฉือแต่งกับหญิงสาวของตระกูลโจวโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยได้อย่างไร
โจวเสาจิ่นผู้นั้นเมื่อหลายวันก่อนยังพักอยู่ในบ้านของพวกเขา เพิ่งจะย้ายกลับไปเมื่อสองวันนี้เอง
ความคิดวาบผ่าน นึกถึงว่านับตั้งแต่บุตรชายแต่งงานกับบุตรสะใภ้เป็นต้นมา ทุกวันเมื่อกลับมาถึงบ้านสิ่งแรกที่ทำคือไปอยู่กับบุตรสะใภ้อย่างรักใคร่อ่อนหวานกันครู่หนึ่งก่อน ความขุ่นเคืองในใจของนางจึงเพิ่มมากขึ้นหลายส่วน
โจวเสาจิ่นเป็นแค่เด็กสาวที่ยังไม่ปักปิ่นผู้หนึ่งจะไปรู้เรื่องอะไร หากทำไม่ดีก็ต้องเป็นเพราะมีบุตรสะใภ้คนดีของนางผู้นี้ค่อยยุยงอยู่ตรงกลางมากกว่า ไม่อย่างนั้นตระกูลเฉิงที่ไม่เคยเอ่ยถึงโจวเสาจิ่นมาก่อนทั้งตอนแรกและตอนหลัง แต่พอแยกตระกูลก็แต่งโจวเสาจิ่นเข้าบ้านเลยทันทีได้อย่างไร
น้ำเสียงของฮูหยินใหญ่เลี่ยวจึงยิ่งไม่พอใจเพิ่มมากขึ้น “น้องสาวของเจ้ากับนายท่านสี่ตระกูลเฉิงหมั้นหมายกัน เจ้าควรจะทราบเรื่องถึงจะถูก เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกข้าสักคำเล่า”
ที่แท้ก็ออกหน้าแทนฟางเซวียนนี่เอง
โจวชูจิ่นแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ กล่าวขึ้นอย่างไม่เกรงใจว่า “ข้าเป็นสตรีออกเรือนแล้ว เรื่องงานแต่งของน้องสาวย่อมต้องให้บิดามารดาเป็นผู้ตัดสินใจ เพียงแต่เพราะว่าข้าและน้องสาวต่างอาศัยอยู่ในเมืองหลวง อีกทั้งน้องสาวก็ยังมิได้ปักปิ่น ยามมีเรื่องอะไร บิดามารดาก็เลยบอกกล่าวข้ามากกว่าเล็กน้อยเท่านั้น แต่เรื่องแต่งงานจำพวกนี้ บ้านใดบ้างที่ไม่รอให้เรื่องชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลงแน่แล้วถึงจะกล้าประกาศออกไปกัน” กล่าวถึงตรงนี้ นางหัวเราะออกมา “ท่านก็ทราบ ข้าเป็นคนปิดปากไม่สนิทรักษาความลับไม่ได้ บิดามารดาคงกลัวว่าหากข้ารู้เรื่องแล้วจะบอกเสาจิ่นกระมัง”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกลับสูดหายใจเอาลมเย็นเข้าไปครั้งหนึ่ง
รู้สึกว่าไม่ว่าจะฟังอย่างไรคำพูดของโจวชูจิ่นก็มีความนัยแฝงอยู่
นี่นางกำลังเหน็บแนมตนว่าในงานวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นตนและฮูหยินรองฟางร่วมมือกันผลักดันฟางเซวียนต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่สุดท้ายกลับล้มเหลวไม่เป็นท่ากระมัง
ดวงหน้าของฮูหยินใหญ่เลี่ยวพลันแดงก่ำ แต่ก็ไม่อาจเปิดเผยเรื่องราวต่อบุตรสะใภ้ได้ หากเปิดเผยออกไป มิเท่ากับว่าตนยอมรับความพ่ายแพ้แล้วหรอกหรือ
นางโกรธจนตัวสั่นระริก ครู่ใหญ่กว่าจะกล่าวออกมาได้ว่า “ต่อให้เป็นเช่นนั้น ได้ยินว่าตอนนี้ถึงเวลาหารือเรื่องวันตบแต่งกันแล้วก็ยังไม่พูดไม่ได้อีกหรือ ข้าว่ามิใช่เพราะพูดไม่ได้ แต่เป็นเพราะมีเรื่องเหม็นคาวอะไรในนั้นมากกว่ากระมัง นึกถึงตอนแรก ตอนที่ตระกูลเฉิงยังมิได้แยกตระกูลกันนั้น น้องสาวของเจ้าก็เคยปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาก่อนระยะหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทั้งมอบบ้านและเครื่องประดับต่างๆ ให้น้องสาวของเจ้า…”
คำพูดนี้หากกล่าวต่อไป คงจะไม่น่าฟังสักเท่าไรแล้ว
โจวชูจิ่นทำหน้าเคร่ง เอ่ยเสียงต่ำครั้งหนึ่งว่า “แม่สามีโปรดระวังคำพูดด้วย” จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ในเมื่อท่านทราบอยู่แล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวโปรดปรานเสาจิ่นมาตั้งแต่ตอนที่ตระกูลเฉิงยังไม่ได้แยกตระกูลกันแล้ว ฉะนั้นตอนนี้หากอยากสู่ขอเสาจิ่นไปเป็นบุตรสะใภ้มีอะไรน่าแปลกประหลาดหรือเจ้าคะ แต่ถ้อยคำของแม่สามีกลับทำให้ข้ารู้สึกแปลกใจ ว่ากันตามหลักแล้ว เสาจิ่นเป็นน้องสาวของข้า วันนี้เสาจิ่นแต่งเข้าตระกูลเฉิงจวนหลัก ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของพวกเราและตระกูลเฉิงจวนหลักน่าจะแนบแน่นมากขึ้นถึงจะถูก แต่เหตุใดแม่สามีถึงได้มีท่าทีคล้ายกับไม่ดีใจสักเท่าไรเล่าเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวถูกตั้งคำถามจนพูดไม่ออก
โจวชูจิ่นกล่าวต่อว่า “คำพูดที่แม่สามีได้ฝากฝังเอาไว้กับข้าข้าไม่กล้าลืมเลยแม้แต่ประโยคเดียว ตอนนี้สามีมีนายท่านผู้เฒ่ารองตระกูลเฉิงเป็นผู้ให้คำชี้แนะ ไม่เพียงได้ติดตามร่ำเรียนตำรากับนายท่านผู้เฒ่ารองเท่านั้น ยังได้ไปช่วยคัดลอกผังเมืองที่สำนักฮั่นหลินอีกด้วย ตอนที่ซอยจิ่วหรูแยกตระกูลกันนั้น ข้ายังกลัวว่าจะกระทบต่อการร่ำเรียนตำราของสามีหรือไม่ ที่ผ่านมาน้องสาวเป็นคนที่พูดจาพอจะมีน้ำหนักต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาโดยตลอด ข้ายังขอให้น้องสาวไปสอบถามฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นพิเศษว่าจวนหลักมีแผนการอย่างไรบ้าง ด้วยกลัวว่านับจากนี้ไปตระกูลโจวและตระกูลเฉิงจวนหลักจะต้องตัดขาดความสัมพันธ์ไปด้วย…”
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวตัวสั่นไปทั้งร่าง ในที่สุดก็คิดได้แล้ว
จริงด้วย!
เนื่องจากตระกูลฟางเป็นเพียงตระกูลฝั่งมารดาของนาง บุตรชายและตระกูลฟางยังกางกั้นกันไว้อีกหนึ่งชั้น แต่ตระกูลโจวเป็นตระกูลฝังภรรยาของบุตรชาย โจวเสาจิ่นผู้นั้นก็เป็นน้องภรรยาของบุตรชาย เมื่อเทียบกับฟางเซวียนที่เป็นเพียงญาติผู้น้องที่ปกติก็ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันผู้นี้แล้ว ย่อมต้องใกล้ชิดกับโจวเสาจิ่นผู้เป็นน้องสาวที่บุตรสะใภ้รักใคร่เอาใจใส่ผู้นี้มากกว่าอยู่แล้ว!
เหตุใดยามคับขันนางถึงได้เลอะเลือนได้ขนาดนี้!
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่อยู่
โจวชูจิ่นบังเกิดความรู้สึกรังเกียจ
แม่สามีมักจะพร่ำบ่นพ่อสามีทุกเมื่อเชื่อวันว่าชอบประจบประแจงผู้มีอำนาจและเหยียบย่ำผู้ต่ำต้อยกว่า ซึ่งตัวเองก็มิได้ต่างกัน
ประจบประแจงตระกูลฟางจนเคยตัว พอตระกูลฟางถูกตบหน้าอย่างกะทันหันเข้าก็เลยไม่คุ้นชิน
กล่าวไปกล่าวมา ก็เห็นแก่ ‘ผลประโยชน์’ คำนี้มาก่อนนี่เอง
แม่สามีเช่นนี้ นางเคารพไม่ลงจริงๆ!
โจวชูจิ่นเองก็คร้านจะฟังนางพูดอะไรมากความอีก ย่อกายทำความเคารพครั้งหนึ่ง พลางกล่าวว่า “แม่สามี เวลาไม่เช้าแล้ว ข้ากลัวว่าเถ้าแก่ร้านขายของที่หน้าปากซอยจะมาวางบัญชีแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวไปห้องบัญชีก่อน หากท่านมีคำสั่งการอะไร ค่อยให้จงมามานำความมาแจ้งก็ได้แล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นไม่รอให้ฮูหยินใหญ่เลี่ยวได้กล่าวอะไรก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวยืนอยู่ในลานบ้าน ไม่ขยับเขยื้อนกว่าครู่ใหญ่
นางมิใช่คนโง่ บุตรสะใภ้โจมตีกลับ ยังตั้งคำถามนางเสียจนนางพูดอะไรไม่ออก นี่น่าขายหน้ายิ่งนัก
นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีบุตรสะใภ้นั้นหากมิใช่ลมตะวันออกอยู่เหนือลมตะวันตกก็เป็นลมตะวันตกอยู่เหนือลมตะวันออก ต่อไปหากคิดจะยุยงปลุกปั่นบุตรสะใภ้ตามอำเภอใจ เกรงว่าคงไม่ง่ายแล้ว!
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก นางคงไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องงานแต่งของฟางเซวียนแล้ว
ตอนนี้จะทำอย่างไรดี
หากไปกล่าวขอโทษตระกูลฟาง จะต้องได้ยินคำพูดไม่น่าฟังของฮูหยินรองฟางสักสองสามประโยคเป็นแน่ แต่ถ้าไม่ไปกล่าวขอโทษตระกูลฟาง ต่อไปนางยังมีเรื่องให้ต้องขอร้องตระกูลฟางอีกมาก นางยังไม่อาจหลีกลี้ออกห่างจากตระกูลฟางในตอนนี้ได้…
หากจะกล่าวโทษก็ต้องกล่าวโทษหยวนซื่อ
ตนไม่ได้เป็นนายหญิงหรือผู้ตัดสินใจของบ้านนี้เสียหน่อย เหตุใดต้องรับผิดชอบด้วย!
หากมิใช่เพราะมีประโยคนั้นของนาง ตนจะเสียการควบคุมจนมาไกลถึงเพียงนี้อย่างวันนี้หรือ
นึกถึงเมื่อก่อน นางขอร้องอะไรหยวนซื่อหยวนซื่อมักจะแผ่รัศมีหยิ่งยโสออกมาให้เห็นหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าหยวนซื่อไม่เคยเห็นตนอยู่ในสายตามาโดยตลอดอยู่แล้ว
เหตุใดนางถึงได้ตาบอด เชื่อคำพูดของหยวนซื่อได้นะ
ฮูหยินใหญ่เลี่ยวกัดฟันกรอด
นางต้องไปพูดเรื่องนี้กับฮูหยินรองฟางสักหน่อย
ไม่แน่ว่าที่งานแต่งครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จก็เป็นเพราะหยวนซื่อไม่ได้เอาใจใส่และมิได้ลงแรงให้กับเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วก็เป็นได้!
ไม่อย่างนั้นด้วยตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ของนาง สามียังเป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ตระกูลฟางก็มิใช่ตระกูลไม่ดี อย่างไรฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ต้องไว้หน้าหยวนซื่อบ้างกระมัง
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ฮูหยินใหญ่เลี่ยวรู้สึกว่าความมั่นใจค่อยๆ กลับคืนมา
นางตะโกนสั่งการจงมามาเสียงดังว่า “เตรียมเกี้ยว พวกเราไปตระกูลฟางกัน”
***
โจวเสาจิ่นที่ทำเอาตระกูลฟาง ตระกูลเลี่ยวและตระกูลเฉิงสามตระกูลวุ่นวายจนแผ่นดินสะเทือนนั้นมีซางมามาและพ่อบ้านเซี่ยงคอยเฝ้ารักษาความปลอดภัยให้ มิให้ได้รับผลกระทบจากภายนอกแม้แต่นิดเดียว
นางกำลังนั่งคดคู้อยู่บนตั่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่างทำงานเย็บปักหนึ่งอยู่ด้วยใจที่เต็มไปด้วยความเบิกบาน
มีมือใหญ่นิ้วมือเรียวยาวหนึ่งยื่นมาจากด้านหลังของนางปัดงานเย็บปักในมือนางลงไป
“มิใช่บอกว่าให้เจ้าไม่ต้องทำงานเย็บปักหรอกหรือ” น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจของเฉิงฉือดังขึ้นมาจากด้านหลังนาง “เจ้าดูดวงตาของหนานผิง ยามเดินออกจากห้องน้ำตาไหลไม่หยุด ต่อไปเจ้าก็อยากจะเป็นเช่นนางหรืออย่างไร”
นับตั้งแต่ตระกูลโจวตอบรับงานแต่งของตระกูลเฉิงเป็นต้นมา โจวเสาจิ่นย้ายกลับมาอยู่ที่ซอยอวี๋เฉียน เฉิงฉือจะเข้าจะออกก็คล้ายกับไม่มีผู้ใดมาขัดขวางแล้ว
โจวเสาจิ่นหน้าแดงขณะหมุนกายมายื้อแย่งงานเย็บปักจากมือของเขา กล่าวด้วยดวงหน้าแดงว่า “ท่านมาตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ รับมื้อเช้าแล้วหรือยัง วันนี้ในครัวตุ๋นน้ำแกงไก่หัวมันซันเย่า ข้าให้ชุนหว่านยกมาให้ท่านสักถ้วยก็แล้วกัน!”
เฉิงฉือถือโอกาสนั่งลงข้างๆ นาง เหลือบสายตามองนกเป็ดน้ำยวนยางกำลังกอดก่ายกันอยู่หนึ่งคู่ที่ปักอยู่บนผ้าแพรสีแดงผืนนั้น
เขายิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กระซิบกล่าวเสียงเบาข้างกายนางว่า “เจ้ามีผิวขาวเนียน ข้าชอบให้เจ้าสวมผ้าสีม่วงและปักดอกชบาสีชมพูดอกใหญ่ๆ เอาไว้…”
โจวเสาจิ่นหน้าแดงคอแดงไปหมด
ผลักเฉิงฉือออกไป หลบไปนั่งดีๆ อยู่ด้านข้าง กล่าวด้วยดวงหน้าเขินอายว่า “นั่งดีๆ เจ้าค่ะ! หากยังพูดเรื่องเช่นนี้อีก ข้า…ข้าจะให้ซางมามามาเชิญตัวท่านออกไป!”
ลูกแมวที่เฝ้าเลี้ยงดูมาอย่างยาวนาน ในที่สุดก็รู้จักง้างกรงเล็บข่วนผู้คนแล้ว
เฉิงฉือหัวเราะพลางขยี้ศีรษะของโจวเสาจิ่น ไม่แกล้งนางอีก ยิ้มพร้อมกับกล่าวเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าปักปิ่นวันที่สี่เดือนสิบเอ็ดใช่หรือไม่ ช่วงเทศกาลปีใหม่นั้น ข้ามีวันหยุดประมาณยี่สิบกว่าวัน ท่านแม่อยากให้พวกเราแต่งงานกันช่วงนั้น แม้นจะดูเร่งรีบไปเล็กน้อย แต่ข้าอยากจะแต่งเจ้ากลับไปให้เร็วสักหน่อย เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”
ในเมื่อเขาพูดมาแล้วว่าอยากแต่งงานก่อนปีใหม่ นางยังจะคัดค้านได้หรืออย่างไร
โจวเสาจิ่นก้มหน้าก้มตาลง ดูคล้ายกับบัวสีแดงขี้อายดอกหนึ่ง พึมพำกล่าวว่า “เรื่องงานแต่ง มีบิดามารดาเป็นผู้ตัดสินใจ ท่านมาถามข้าทำไมกัน”
ซึ่งก็หมายความว่าตอบตกลงแล้ว!
หรือจะเป็นเพราะถูกตนบีบบังคับให้ตอบตกลงกันนะ?
เฉิงฉือขยี้ศีรษะของนางอย่างรักใคร่และเอ็นดูอีกครั้งหนึ่ง
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่างานแต่งครั้งนี้เร่งรีบเกินไปสักหน่อย แต่เขาอยากจะพาตัวนางกลับไปอยู่ภายใต้ปีกของเขาให้เร็วสักหน่อยจนแทบจะทนไม่ไหว ตอนนี้จึงได้แต่ต้องทำให้นางลำบากแล้ว
แต่เขาไม่มีวันปล่อยให้นางเป็นเช่นนี้ตลอดไปอย่างแน่นอน อย่างมากก็สามถึงห้าปี ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอามงกุฎหงส์และชุดคลุมสยาเพ่ยขั้นสามกลับมาให้นางสักตำแหน่งหนึ่งให้ได้
เฉิงฉือจึงกอดโจวเสาจิ่นเอาไว้ กล่าวเสียงค่อยว่า “ข้าเชิญใต้เท้าซ่งและใต้เท้าจางมาเป็นเถ้าแก่ให้ ใต้เท้าทั้งสองท่านได้ยินว่าข้าอยากจะแต่งเจ้าเข้าบ้านให้เร็วสักหน่อย กลัวว่าข้าจะบอกปัดงานที่สำนักข้าหลวงฝ่ายจัดการน้ำ พอท่านแม่เอ่ยปาก ทั้งสองคนต่างล้วนตกปากรับคำว่าจะเดินทางไปที่เมืองเป่าติ้งด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง ที่ท่านพ่อตาไม่ตอบรับให้เจ้าแต่งกับข้าในเร็ววันก็เพราะกลัวว่าเจ้าจะต้องมารับความลำบากไปกับข้าด้วย แต่ตอนนี้มีใต้เท้าทั้งสองท่านเดินทางไปเป็นเถ้าแก่ให้ด้วยตัวเองเช่นนี้ คาดว่าท่านพ่อตาคงไม่อาจบอกปัดมิให้พวกเราแต่งงานก่อนปีใหม่แล้ว”
โจวเสาจิ่นอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเชื่อฟัง กล่าวเสียงเบาอย่างแง่งอนว่า “เกรงว่าไม่เพียงอยากจะให้ท่านพ่อยอมให้พวกเราแต่งงานให้เร็วขึ้นเท่านั้น ยังคิดจะให้ผู้อื่นได้เห็นว่าเบื้องหลังของท่านพ่อมีคนเช่นไรอยู่บ้าง เพื่อให้หน้าที่การงานของท่านพ่อดำเนินไปอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้นด้วยกระมัง”