ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 49 พบอีกครั้ง
ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 49 พบอีกครั้ง
เมื่อคำพูดเข้ากันไม่ได้แม้ครึ่งประโยคก็ถือว่ามากเกินพอ
โจวเสาจิ่นทิ้งพานชิงเอาไว้แล้วกลับมาที่ห้องเรียน
อารมณ์ของนางได้ถูกพานชิงทำลายให้เสียไปแล้วโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ก็ควรจะปลอดภัยเอาไว้ก่อนดีกว่าต้องมาเสียใจภายหลัง ต่อให้พี่สาวพูดเรื่องของเฉิงลู่กับท่านยาย และเรื่องงานแต่งระหว่างนางกับเฉิงลู่ก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนแล้วก็ตาม แต่เรื่องที่พานชิงพูดมา นางก็ต้องกล่าวตักเตือนพี่สาวกับท่านยายเอาไว้ถึงจะถูก เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านยายกับพี่สาวจับนางกับพานจ้าวมาคู่กันโดยที่ไม่รู้อะไรเลย!
แต่เมื่อนางกลับมาถึงเรือนเจียซู่ และเห็นเฉิงเสียนกับท่านยายกำลังคุยและหัวเราะอย่างออกรสกันอยู่นั้น นางก็ชะงักไปครู่ใหญ่กว่าจะดึงซื่อเอ๋อร์มาข้างๆ กระซิบถามนางว่า “รู้หรือไม่ว่าท่านป้าเสียนมาทำอะไร”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” ซื่อเอ๋อร์กระซิบตอบ “พอท่านกับคุณหนูใหญ่ออกไป กูไท่ไท่ก็มาถึง มาพูดคุยกับนายหญิงผู้เฒ่าจนถึงตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”
ในใจของโจวเสาจิ่นกระตุก คิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลายๆ จวนขึ้นมา
จวนหลักกับจวนรองปะทะกันอย่างเปิดเผย ผลัดกันขึ้นผลัดกันลง จวนสามนั้นต้องการยืนเคียงข้างทั้งจวนหลักและจวนรองมาโดยตลอด ทว่ากลับไม่มีลูกหลานคนใดได้เข้าไปถึงในประตูเรือน ส่วนจวนสี่ยึดตามหลักการและเหตุผลไม่ใช่ความสัมพันธ์อันใกล้ชิด จึงยืนอยู่ตรงกลางมาโดยตลอด และจวนห้านั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้ เหมือนกับโคลนเหลวที่ไม่สามารถก่อเป็นกำแพงได้
หากว่าเฉิงเสียนคิดจะให้พานชิงแต่งเข้าไปที่จวนหลัก ท่านยายก็ถือว่าเป็นแม่สื่อที่ดีที่สุดแล้ว
ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเฉิงเสียนกลับมาในครั้งนี้ถึงปฏิบัติต่อจวนสี่ได้อย่างมีมารยาทยิ่ง
นางถามซื่อเอ๋อร์ “ท่านยายรั้งให้กูไท่ไท่อยู่รับมื้อเที่ยงด้วยหรือไม่”
“รั้งแล้วเจ้าค่ะ” ซื่อเอ๋อร์กล่าวยิ้มๆ “แต่กูไท่ไท่กล่าวว่า วันนี้ที่จวนสาม แขกจากทางบ้านเดิมของนายหญิงผู้เฒ่าหลี่ที่มาร่วมอวยพรวันเกิดให้กับท่านผู้นำตระกูลจะเดินทางกลับซงเจียงในบ่ายวันนี้ กูไท่ไท่ต้องอยู่ช่วยนายหญิงผู้เฒ่าหลี่ส่งแขก ก็เลยไม่อาจรั้งอยู่ทานมื้อเที่ยงด้วย อย่างไรก็ตาม กูไท่ไท่บอกเอาไว้ว่า ครั้งหน้ารอให้ตอนที่พาคุณชายและคุณหนูมาคารวะนายหญิงผู้เฒ่าด้วยค่อยมารบกวนนายหญิงผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
ไม่ต้องร่วมสังสรรค์กับเฉิงเสียน โจวเสาจิ่นค่อยโล่งอกไปทีหนึ่ง
จนกระทั่งรับมื้อเที่ยงเสร็จ เมื่อทุกคนย้ายไปดื่มน้ำชาที่ห้องเยี่ยนซีแล้ว โจวเสาจิ่นแสร้งเอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่ากวนอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “ท่านยาย ท่านป้าเสียนมาขอให้ท่านช่วยเป็นผู้เจรจาเรื่องงานแต่งให้กับพี่สาวชิงและพี่ชายสวี่ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนประหลาดใจยิ่งนัก ถามขึ้นว่า “ใครบอกเจ้าหรือ”
โจวเสาจิ่นเอ่ยตอบ “วันนี้พี่สาวชิงไปเรียนหนังสือกับพวกข้าที่ห้องศึกษาจิ้งอัน ข้าได้ยินพี่สาวชิงพูดเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินเช่นนั้น สีหน้าแสดงความสนใจเล็กน้อย ถามขึ้นว่า “หลานชิงพูดกับเจ้าว่าอย่างไร นางบอกเจ้าว่าตระกูลพานต้องการดองกับตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ”
“นางไม่ได้พูดเช่นนั้น เป็นข้าคาดเดาเอาเองเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “วันนี้พี่สาวเจียกับพี่สาวชิงมีปากเสียงกันอีกแล้ว พี่สาวเจียกล่าวว่า เจ้าคิดจะอยู่ที่ตระกูลเฉิงตลอดไปอย่างนั้นหรือ หากว่าเป็นในยามปกติ พี่สาวชิงจะต้องเปล่งเสียงเย็นออกมาเพียงเสียงหนึ่งและไม่สนใจพี่สาวเจียอีก แต่วันนี้พี่สาวชิงกลับมีสีหน้าแดงก่ำ และลุกขึ้นมาเถียงกับพี่สาวเจีย หลังจากจบเรื่องแล้ว ยังหันมากล่าวกับข้าเป็นการเฉพาะอีกว่า ให้ข้าอย่านำเอาบทสนทนาที่นางกับพี่สาวเจียมีปากเสียงกันนี้ไปบอกผู้อื่น ยังกล่าวบางอย่างทำนองว่านางจะอยู่หรือจะไป ล้วนเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ตัดสินใจ…วันนั้นที่อู๋เป่าจางเอ่ยเรื่องพี่ชายสวี่ขึ้นมา ข้าเห็นพี่สาวชิงก็มีท่าทีสนใจเป็นอย่างมาก ก็เลยคาดเดาว่าพวกผู้ใหญ่มีความตั้งใจจะ ‘ประสานสัมพันธ์เดิมให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยการแต่งงาน’ ท่านป้าเสียนกลับมาในครั้งนี้ ไปมาหาสู่อย่างใกล้ชิดด้วยมากที่สุดกับแค่จวนหลักและพวกเราเท่านั้น อยู่ในตระกูลท่านยายก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มี ‘ความยุติธรรม’ มาโดยตลอด ข้าก็เลยคิดว่า หากท่านป้าเสียนมีความตั้งใจจะให้พี่สาวชิงรั้งอยู่ที่ตระกูลเฉิง ย่อมต้องมาขอให้ท่านยายช่วยออกหน้าให้อย่างแน่นอน” กล่าวถึงตรงนี้ นางก็ขยิบตาที่มีสีดำและขาวแยกกันอย่างชัดเจนนั้นทีหนึ่ง “ตอนที่ข้าเห็นท่านป้าเสียนเมื่อกี้ ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใดจึงรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็หัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “เจ้าเด็กผีคนนี้ กลายเป็นคนหลักแหลมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เรื่องนี้ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ ข้าเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะช่วยพูดให้พวกเขาหรือไม่ เจ้าก็อย่าแพร่งพรายออกไปเชียว”
โจวเสาจิ่นรีบเม้มปาก ทำท่าทางว่า ‘หุบปาก’ ออกมาทีหนึ่ง จากนั้นถึงกล่าวขึ้นอย่างยิ้มๆ ว่า “ท่านวางใจ จะหุบให้แน่นเหมือนหอยเลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวน ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและโจวชูจิ่นต่างก็หัวเราะขึ้นมา
ระหว่างทางที่กลับไปที่เรือนหว่านเซียงนั้น อารมณ์ของโจวเสาจิ่นเบิกบานยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่าเรื่องบางอย่างไม่ควรเก็บซ่อนเอาไว้ในใจ เวลาที่ควรจะพูดก็ให้พูด เวลาที่ควรจะทำก็ให้ทำ เหมือนกับเรื่องของอู๋เป่าจาง หากเป็นชาติก่อน นางต้องกลัวว่าจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของตน คิดมากเกินไป จนไม่กล้าขยับตัวทำอะไร ในทางกลับกัน ถูกอู๋เป่าจางเข้าใจว่าเป็นคนใจเสาะ และควบคุมนางเอาไว้ได้ จากไม่มีเรื่องก็กลายเป็นมีเรื่องขึ้นมา เช่นเดียวกับเรื่องงานแต่งของพานชิงในครั้งนี้ พอนางทำใจกล้าถามท่านยาย ก็สามารถถามวัตถุประสงค์การมาของเฉิงเสียนออกมาได้
ต่อไปตนควรจะต้องกล้าหาญให้มากกว่านี้ถึงจะถูก
ชาติก่อนพี่สาวมักจะพูดอยู่เสมอไม่ใช่หรือว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ขอเพียงใช้สมองขบคิด ก็จะมีทางแก้ไปปัญหาอยู่เสมอ
ต่อให้นางทำผิดพลาดไป ก็น่าจะมีทางแก้ไขปัญหาใช่หรือไม่
ขณะที่โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ฮัมเพลงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
โจวชูจิ่นเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “ที่เจ้าฮึมฮัมๆ อยู่นี้ กล่าวถึงอะไรอยู่หรือ ถึงได้เบิกบานได้ขนาดนี้”
นี่เป็นเพลงที่โจวเสาจิ่นได้ยินบรรดาเด็กสาวรับใช้ที่บ้านสวนต้าชิ่งในชาติก่อนฮัมขึ้นมา
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ไม่อาจพูดกับพี่สาวได้ ต่อให้พูดก็พูดได้ไม่ชัดเจน
นางดึงแขนของพี่สาวเอาไว้ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพี่ เย็นนี้พวกเราต้มโจ๊กทานกันดีหรือไม่ ต้มโจ๊กเค็ม ใส่ต้นหอมหั่นและผักลงไปนิดหน่อยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นจะทานได้หรือ” โจวชูจิ่นประหลาดใจปนสนเท่ห์ “นี่เจ้าอ่านเจอมาจากหนังสือเล่มไหนกันอีกหรือ”
โจวเสาจิ่นชื่นชอบการอ่านหนังสือ อ่านเจออะไรแปลกๆ ก็จะชอบเอาไปทำตาม แน่นอนว่า ส่วนใหญ่มักล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่นางก็ไม่เคยเบื่อหน่าย เมื่อก่อนโจวชูจิ่นเห็นนางอยู่แต่ในเรือนทั้งวัน นอกจากเฉิงเจียแล้ว ก็แทบจะไม่ติดต่อกับใคร กลัวว่านางจะอยู่จนทึมทื่อไป จึงคิดว่าเสียเงินเพียงไม่เท่าไหร่ และก็ไม่ได้รบกวนคนอื่นด้วย จึงตามใจนาง
“ผู้คนที่ก่วงตงล้วนทานกันเช่นนี้เจ้าค่ะ” ครั้งนี้โจวเสาจิ่นตอบได้อย่างมั่นใจ ชาติก่อน ที่บ้านสวนต้าชิ่งของนางเคยว่าจ้างแม่ครัวจากก่วงตงมาผู้หนึ่ง “อากาศร้อนเช่นนี้ เอาแต่ทานหวาน จะทำให้เป็นร้อนในได้ง่าย ไม่สู้เปลี่ยนมาทานโจ๊กเค็มจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ตามใจเจ้าๆ” โจวชูจิ่นกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ขอเพียงเจ้าอย่าบังคับให้ข้าทานกับเจ้าก็พอ!”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า
รู้สึกว่าภายใต้ความพยายามของตนเองนั้น ชีวิตของตนก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นรูปแบบที่ตัวเองชอบ ยิ่งได้รู้ว่าเฉิงสวี่ถูกสั่งให้ยกเลิกการคารวะเย็น ดังนั้นตอนที่นางไปคัดลอดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซานในช่วงบ่าย อารมณ์จึงยิ่งเบิกบานเป็นอย่างมาก แม้แต่ปี้อวี้ที่เห็นใบหน้าที่สดใสของนางแล้วก็ยังอดไม่ได้ถามนางยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองมีเรื่องอะไรที่น่ายินดีหรือ เล่าออกมาให้พวกข้าได้ร่วมยินดีด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
ตนเองแสดงออกมาชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ
โจวเสาจิ่นขัดเขิน จำต้องกล่าวไปว่า “เมื่อตอนเที่ยงท่านยายทำต้มหมูรมควันกับหน่อไม้”
ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเดินออกมาจากด้านในห้องพอดี จึงได้ยินแล้วอย่างชัดเจน อดไม่ได้กล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ได้ทานของที่ตัวเองชอบทานก็เบิกบานได้แล้ว ความคิดเรียบง่ายยิ่งนัก”
ว่านางไม่ค่อยฉลาดหรือไม่นะ?
โจวเสาจิ่นหน้าแดงพลางย่อเข่าทำความเคารพและขานออกไปเสียงหนึ่งว่า ‘ฮูหยินผู้เฒ่า’
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลูบศีรษะของนางครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นสั่งการปี้อวี้ว่า “เดี๋ยวห่อขนมที่นายท่านรองส่งมาให้ข้าจากจิงเฉิงให้คุณหนูรองสักห่อหนึ่ง เด็กๆ นั้น ร่างกายกำลังโต มักจะหิวอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนพวกเรา อะไรก็ล้วนแก่ชราไปหมด จะทานก็ทานไม่ลง จะนอนก็นอนไม่หลับ”
“ท่านยังแข็งแรงดีอยู่เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นฟังคำพูดเช่นนี้ไม่ได้เลย ราวกับดอกไม้ที่ร่วงโรยและต้นไม้ที่เ**่ยวเฉาอย่างไรอย่างนั้น ต่อให้จะดูสดใสและสวยงามเหมือนกัน แต่ที่ตนเองเห็นนั้นก็ไม่ใช่ดอกไม้ดอกเดิมและต้นไม้ต้นเดิมนั้นอีกแล้ว นางรีบกล่าวขึ้นว่า “ยังไม่ได้อุ้มเหลนเลยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับรู้ได้ถึงความเป็นกังวลและความจริงจังจากคำพูดนั้น นางค่อนข้างจะประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา
ไม่แปลกใจเลยที่กวนซื่อไม่ยอมคืนเด็กสองคนนี้ให้กับตระกูลโจว หากว่าเปลี่ยนเป็นนาง นางก็ไม่ยอมเช่นกัน
ในรอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงอบอุ่นกว่าในยามปกติอยู่หนึ่งส่วน น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเป็นกันเองมากขึ้น กล่าวขึ้นว่า “เรื่องเหลนนั้นข้าคงดูแลไม่ไหวแล้ว หากว่าท่านน้าฉือของเจ้าให้ข้าได้อุ้มหลานสักคน ข้าก็พอใจมากแล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียใจอีก”
โจวเสาจิ่นทำอะไรไม่ถูก
ชาติก่อน นางรู้เรื่องเกี่ยวกับท่าน้าผู้นี้น้อยมาก
โดยเฉพาะหลังจากที่นางออกจากตระกูลเฉิงไปแล้ว นางจงใจที่จะเพิกเฉยต่อผู้คนและเรื่องราวของตระกูลเฉิง จึงยิ่งไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้วท่านน้าผู้นี้ได้แต่งงานและมีบุตรหรือไม่…ทำให้แม้แต่ประโยคปลอบใจสักประโยคก็ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี
แต่เมื่อมองจากสายตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัว จะรู้สึกว่าโจวเสาจิ่นนั้นซื่อตรงมากเกินไปแล้ว นางอาจจะไม่พูดอะไรเลย หรือถ้าพูดออกมาก็ล้วนเป็นคำพูดที่จริงใจทั้งสิ้น
นางถอนหายใจอยู่ในใจครั้งหนึ่ง
ก็ไม่แปลกที่เด็กคนนี้จะถูกเอาเปรียบ
ในซอยจิ่วหรูนี้มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนที่หลักแหลมและร้ายกาจอย่างเงียบๆ
อย่างเช่นเจ้าเด็กเฉิงสวี่ผู้นี้ ที่ถูกหยวนซื่อเลี้ยงดูจนบิดเบี้ยวไปเสียแล้ว
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูผิดหวัง ลูบศีรษะของโจวเสาจิ่นอีกครั้ง จากนั้นเดินเข้าไปในเรือนหลักโดยไม่พูดไม่จา
โจวเสาจิ่นถูก ‘ความรักความเมตตา’ ของฮูหยินผู้เฒ่ากัวทำให้ตกอยู่สภาวะที่ไม่รู้จะทำอะไรดี โชคดีที่นางไม่ได้มีความคิดที่จะทำเพื่อเรียกร้องความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว จึงค่อนข้างที่จะ ‘ไม่หวาดกลัวความมีเกียรติหรือความอัปยศ’ เมื่อกลับถึงห้องพระ จึงเริ่มเตรียมคัดลอกพระธรรม
เสี่ยวถานช่วยนางคลี่กระดาษและฝนหมึกอย่างมีความสุข แย่งทำหน้าที่ของซือเซียงไปจนหมด
โจวเสาจิ่นเห็นนางที่แม้ว่าอายุยังน้อย ทว่าใบหน้าเล็กนั้นขาวใส ตรงมุมปากมีไฝเสน่ห์อยู่อันหนึ่ง น่ารักน่าทะนุถนอม รู้สึกชอบยิ่งนัก จึงหยอกเย้าพูดคุยกับนาง
เสี่ยวถานสามารถรับใช้อยู่ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ไม่ใช่เรื่องยากที่จะฉลาดและคล่องแคล่ว แต่นางไม่เคยเห็นหญิงสาวที่อ่อนโยนและไม่มีพิษมีภัยเหมือนกับโจวเสาจิ่นเช่นนี้มาก่อน ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายและชอบเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงยินดีที่จะพูดคุยกับโจวเสาจิ่น
ทั้งสองคนพูดคุยและหัวเราะกันอย่างรื่นเริง เรื่องที่ว่าเรือนหานปี้ซานปลูกดอกไม้อะไรบ้าง และปกติใครเป็นผู้ดูแล เรื่องอาหารการกินดีหรือไม่ ใครชื่นชอบทานอะไรเป็นที่สุด…ล้วนยกเอามาพูดคุยเรื่อยเปื่อยกันไปครู่ใหญ่ จากนั้นโจวเสาจิ่นถึงได้เริ่มลงมือคัดลอกพระธรรม
ด้วยไม่มีเรื่องอะไรในใจ นางจึงซึมเข้าไปดื่มด่ำอยู่ท่ามกลางพระธรรมอย่างรวดเร็วกว่าในยามปกติ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ถึงแม้ว่าทั้งสี่ด้านโดยรอบจะเงียบเชียบไร้เสียงผู้คน แต่นางกลับมีความรู้สึกหนึ่งที่ราวกับมีเข็มมาปักอยู่ที่หลังอย่างยากที่จะอธิบาย
โจวเสาจิ่นขนลุกขนชัน หันกลับไปอย่างรวดเร็ว
น้ำหมึกสีดำขุ่นจากด้ามพู่กันขนพังพอนเคลือบสีดำหยดลงบนกระโปรงจีบผ้าไหมหังโจวสีขาว
ด้านหลังของนางมีชายร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งยืนอยู่
“ทำเจ้าตกใจกลัวแล้วหรือ” ชายดังกล่าวสวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าผ้ายสีกรมท่า มีดวงตาที่สดใสและอ่อนโยน “ข้าเห็นเจ้าเขียนอย่างเอาจริงเอาจังยิ่งนัก จึงไม่ได้ขัดจังหวะเจ้า” เขาอธิบายด้วยเสียงอบอุ่น ในตาเต็มไปด้วยความขอลุแก่โทษ “คิดไม่ถึงว่ายังคงทำให้เจ้าตกใจจนได้!”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ…เป็นข้าเองที่ไม่ได้ระวัง…” เมื่อโจวเสาจิ่นเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าชัดเจนแล้ว ก็อดไม่ได้ถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง อารมณ์ที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายตามลงมา นางนึกถึงคำของพี่สาวขึ้นมาได้ พึมพำกล่าวอย่างอ้ำอึ้งว่า “ทะ…ท่านน้าฉือ…เรื่องเมื่อคราวก่อน…ขอบคุณท่านแล้วเจ้าค่ะ…”
“เรื่องเมื่อคราวก่อน?” รอยยิ้มของเฉิงฉือบางเบา ทว่ามีสายตามแหลมคมที่สังเกตเห็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างชัดเจนด้วยความสุขุมและกรุณา “เมื่อคราวก่อนเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ทำไมข้าถึงจำไม่ได้แล้ว!”
โจวเสาจิ่นได้ยินเช่นนั้น ก็เกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา
นางรีบกล่าว “เป็นข้าที่จำผิดไปๆ ท่านน้าฉือได้โปรดอย่าเก็บมาใส่ใจเลยเจ้าค่ะ”
เฉิงฉือหัวเราะ และหมุนกายจากไป
แต่ขณะที่เท้ากำลังจะก้าวออกไปจากห้องพระนั้น เขากลับหันกลับมาอย่างกะทันหัน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ตัวอักษรเขียนได้ไม่เลว ตั้งใจฝึกฝนอีกหน่อย ก็สามารถเขียนชุนเหลี่ยนได้แล้ว!”
จริงหรือ
นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีคนแสดงความคิดเห็นต่อตัวอักษรที่โจวเสาจิ่นเขียนเช่นนี้
นางรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทันที
หากว่าสามารถเขียนชุนเหลี่ยนได้แล้ว เช่นนั้น เช่นนั้นก็คงจะดียิ่งนัก
ตัวอักษรที่เด็กสาวผู้หนึ่งเขียนสามารถนำออกไปติดได้ สามารถเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลนี้ได้ นั่นก็นับเป็นเกียรติอันสูงสุดแล้ว
เลี่ยวจางยิงเคยกล่าวเอาไว้ว่า นางเขียนอักษรก็เริ่มต้นมาจากการเขียนชุนเหลี่ยน
ต่อมาเลี่ยวจางยิงก็ออกหนังสืออักษรภาพ
ถึงแม้จะเป็นการส่งต่อๆ ไปอยู่ในห้องหอของสตรี ทว่ากลับมีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในหมู่บัณฑิตแห่งเจียงหนาน ผู้คนมากมายต่างเชิญนางไปให้คำแนะนำแก่สตรีที่จวน ทำให้สามารถเลี้ยงดูตนเองได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตระกูลเลี่ยว
หากว่าวันหนึ่งนางสามารถเป็นได้อย่างเลี่ยวจางยิงเช่นนั้นก็คงจะดี!
…………………………………………………………………………