ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 79 จากไป
ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 79 จากไป
มองเห็นเด็กสาวที่ไม่คุ้นหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากัว งดงามบอบบางราวกับดอกไม้ ไม่เพียงสวยสดงดงาม แต่ยังน่ารัก ฉินโส่วเยว์ประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ได้ให้เด็กสาวหลบออกไป เขาจึงไม่กล่าวอะไรมาก และยิ้มพลางคำนับฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านใหญ่เขียนจดหมายมาจากเมืองหลวงขอรับ”
หากว่าเป็นจดหมายทั่วไปจากคนในครอบครัว ฉินโส่วเยว์จะส่งมอบให้โดยตรง และจะไม่ใช้ถ้อยคำอารัมภบทเพื่อแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าก่อน
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้ตระหนักว่าที่ตนเองปล่อยให้โจวเสาจิ่นรั้งอยู่นั้นค่อนข้างไม่สมควรอยู่เล็กน้อย ทว่าคนก็ได้รั้งอยู่ไปแล้ว จะให้เด็กสาวออกไปตอนนี้ก็คงไม่ได้แล้วกระมัง
นางไม่คิดมากและพยักหน้ารับ
ฉินโส่วเยว์ล้วงซองจดหมายออกจากแขนเสื้อ ยื่นให้เจินจูที่ยืนคอยอยู่ข้างๆ
เจินจูนำจดหมายมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว แล้วหมุนกายไปหยิบกรรไกรเงินสำหรับตัดกระดาษ
ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตัดซองจดหมาย เจินจูก็หยิบแว่นขยายมาให้ จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวถือแว่นขยาย แล้วอ่านจดหมาย
ทุกคนต่างกลัวว่าจะรบกวนฮูหยินผู้เฒ่ากัว พยายามกลั้นลมหายใจให้เงียบที่สุด ภายในห้องจึงเงียบสงัดไม่มีสักหนึ่งเสียง
โจวเสาจิ่นเคี้ยวแตงหวานเบาๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงยหน้าขึ้นมา ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ถามฉินโส่วเยว์ว่า “เจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดนายท่านใหญ่ถึงได้เขียนจดหมายกลับมา”
“ทราบขอรับ” ฉินโส่วเยว์น้อมศีรษะลงเล็กน้อย กล่าวอย่างเคารพนบนอบว่า “นายท่านใหญ่ได้เขียนจดหมายถึงข้าน้อยด้วยเช่นกัน บอกให้ข้าน้อยช่วยเกลี้ยกล่อมนายท่านสี่ขอรับ”
นายท่านสี่? เฉิงฉือ!
โจวเสาจิ่นหูผึ่งขึ้นมา
“ข้าน้อยคิดว่า นายท่านสี่เป็นผู้มีความคิดความอ่านมาแต่ไหนแต่ไร แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ย่อมมีจุดประสงค์ลึกซึ้งขอรับ” ในน้ำเสียงคำพูดของฉินโส่วเยว์แฝงการพินิจพิเคราะห์อยู่หลายส่วน “ทว่านายท่านใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมานาน จะไม่ยิงธนูอย่างไร้จุดหมายเป็นแน่ ข้าน้อยตัดสินใจไม่ได้อยู่นาน จึงเสนอตัวนำจดหมายมาส่งให้แก่นายหญิงผู้เฒ่า อีกทั้งอยากจะถามความคิดเห็นของนายหญิงผู้เฒ่าว่าควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดีขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มเย็น ถามขึ้นว่า “นายท่านใหญ่ทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร”
ฉิวโส่วเยว์ก้มศีรษะต่ำลงอีกหลายส่วนและตอบว่า “ท่านผู้นำตระกูลของจวนรองได้เขียนจดหมายถึงนายท่านใหญ่ กล่าวว่าการมอบเงินสักเล็กน้อยแก่ว่านถงนั้นไม่เป็นไร แต่เงินหนึ่งแสนเหลี่ยง…ก็ออกจะมากเกินไปสักหน่อยขอรับ”
โจวเสาจิ่นอ้าปากกว้าง
หนะ…หนึ่งแสนเหลี่ยง…มอบให้ว่านถง…ขันทีผู้นั้น…
ในชาติก่อน ตอนที่แต่งงานนางมีสินสอดประมาณห้าพันเหลี่ยงเงิน ทุกครั้งที่มารดาของหลินซื่อเซิ่งกล่าวถึงเรื่องนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าหลินล้วนรู้สึกภูมิใจและปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนรอบข้างต่างอิจฉากันถ้วนหน้า…สินสอดของตนเองนับว่ามากแล้ว ทว่ากลับไม่ถึงหนึ่งในยี่สิบส่วนของว่านถง ท่านน้าฉือก็มอบเงินให้มากเกินไป…นี่เพียงพอถึงขั้นเป็นสินบนได้เลย…
นางนึกถึงถ้อยคำเหล่านั้นที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวออกไปด้วยความฉุนเฉียวในวันนั้นที่นางบังเอิญได้ยิน
ไม่แปลกใจที่ท่านผู้นำตระกูลของจวนรองจะโกรธเกรี้ยว!
หากว่าเรื่องราวเหมือนดังที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวไปเมื่อครู่ การที่ตำหนักบูรพา ว่างเปล่า เช่นนั้นก็ไม่ค่อยดีนัก…ถ้าหากเบื้องหลังว่านถงมีองค์ชายองค์ไดหนุนหลังอยู่ ไม่ใช่ว่าตระกูลเฉิงควรจะฝักใฝ่ฝ่ายนั้นก่อนหรือ
ในชาติที่แล้ว ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งหวงไท่ซุน เป็นรัชทายาท ทว่าสุดท้ายกลับเป็นองค์ชายสี่ที่สืบราชบัลลังก์
เนื่องด้วยเหตุนี้เอง ขุนนางในราชสำนักแทบจะถูกกวาดล้างไปทั้งสิ้น
เนื่องจากท่านพ่อไม่ได้เข้าพัวพันกับเหตุการณ์อันยุ่งเหยิงเหล่านี้ จึงไม่เพียงอยู่รอดปลอดภัย ซ้ำยังได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้พิพากษาขั้นสูงสุดประจำศาลต้าหลี่
ดูเหมือนว่าตระกูลเฉิงจะไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย
ดังนั้นเฉิงจิงถึงได้เข้าสู่ราชสำนัก…
เพียงแค่ไม่รู้ว่าในชาติก่อนตระกูลเฉิงได้ส่งเงินหนึ่งแสนเหลี่ยงให้ว่านถงเหมือนในชาตินี้หรือไม่… การปรากฏตัวของตนนั้น ทำให้หลายเหตุการณ์ไม่เหมือนเดิมกับชาติที่แล้ว…
หากว่าเหตุการณ์ในชีวิตนี้กับชาติที่แล้วไม่มีอะไรที่แตกต่างกันก็คงจะดียิ่ง
เช่นนี้นางก็จะสามารถรู้ได้ว่าสุดท้ายแล้วตระกูลเฉิงมีเรื่องหรือไม่กันแน่…
โจวเสาจิ่นหงุดหงิดเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวขึ้นอย่างไม่เกรงใจ “ข้ารู้ว่าเป็นเขา เขากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเสียจริงๆ!”
ผู้คนภายในห้องต่างแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เจินจูและคนอื่นๆ ยิ่งเบามือเบาเท้าและล่าถอยออกไปอย่างจงใจ
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับไม่สามารถเดินออกไปเยี่ยงนั้นได้เหมือนเจินจู จึงได้แต่นั่งห่อไหล่ พยายามลดการมีตัวตนอยู่ของตนเองให้เลือนรางที่สุด ฟังพวกเขาสนทนากันต่อไปราวกับนั่งอยู่บนผ้าสักหลาดที่ซ่อนเข็มเอาไว้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้พึมพำขึ้นว่า “อย่างไรก็ตาม เงินหนึ่งแสนเหลี่ยง สำหรับตระกูลอื่นถือว่าค่อนข้างมาก แต่สำหรับตระกูลพวกเราแล้ว ก็ไม่ได้มากมายอะไร…ตอนนี้ตำหนักบูรพาว่างเปล่า ความกังวลของนายท่านใหญ่ก็ไม่ไร้เหตุผลซะทีเดียว…เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะไปพูดกับคุณชายสี่เอง!”
ถึงแม้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงเหมือนดังแต่ก่อนที่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนแต่ปกป้องบุตรชายคนเล็ก ทว่าอย่างไรก็ตกลงไปเกลี้ยกล่อมนายท่านสี่ให้
ฉินโส่วเยว์ผ่อนลมหายใจออกราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก ยิ้มพลางกล่าวว่า “กิจธุระภายในจวนนี้ยังคงแยกห่างไปจากหญิงผู้เฒ่าไม่ได้เลยนะขอรับ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องยกยอปอปั้นข้าหรอก เรื่องภายในจวนตนเองนั้นข้าย่อมรู้ดีที่สุด ข้าแก่ชราลงแล้ว ความกล้าหาญก็ลดน้อยลง ประสบการณ์ความรู้ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน เพียงแค่ได้รั้งอยู่บนที่ดินหนึ่งหมู่สามเฟินนั้นของตนอย่างซื่อตรงโดยอาศัยวัยชรากับความอาวุโสแทะเล็มทุนเดิมก็พอแล้ว! ออกไปอวดดีเจ้ากี้เจ้าการอยู่เบื้องหน้าพวกรุ่นหลัง มีแต่จะทำให้ผู้อื่นหัวเราะขบขัน!”
“ดูท่านกล่าวสิขอรับ” ฉินโส่วเยว์กล่าวยิ้มๆ “เรื่องของนายท่านผู้เฒ่ารอง หากว่าท่านไม่จัดการด้วยตนเอง ไหนเลยจะสามารถแก้ไขได้รวดเร็วเช่นนั้น พวกนายท่านล้วนกตัญญูรู้คุณ กลัวว่าท่านจะเหนื่อยกายเหนื่อยใจ ถึงได้ไม่กล้ามารบกวนท่านขอรับ”
ถ้อยคำนี้ก็ค่อนข้างประจบประแจงอยู่บ้างเล็กน้อย เพียงแต่ว่าท่าทีของเขาไม่ได้โอหังหรือถ่อมตนจนเกินไป
สมเป็นพ่อบ้านใหญ่แห่งซอยจิ่วหรูจริงๆ!
หากวันใดที่ตนสามารถพูดจาได้เหมือนฉินโส่วเยว์เช่นนี้ก็คงจะดียิ่ง!
โจวเสาจิ่นอดถอดถอนใจไม่ได้
จากนั้นฉินโส่วเยว์ก็ยกย่องเยินยอฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นกล่าวอำลา
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้เจินจูส่งฉินโส่วเยว์ออกไป
โจวเสาจิ่นโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ทานแตงหวานทีละสองคำสามคำจนหมด
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองดูแก้มป่องๆ ของนางราวกับตุ๊กตานำโชค อดไม่ได้หยิบผ้าเช็ดหน้าให้นางเช็ดมือ “ไม่ต้องรีบ กลืนให้ระวังด้วย!”
โจวเสาจิ่นกล่าวอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย ได้แต่พยักหน้ารัว
เจินจูเดินกลับมา ทว่ากลับแจ้งว่า “นายหญิงผู้เฒ่าเจ้าคะ นายหญิงผู้เฒ่าหลี่ของจวนสามมาพบเจ้าค่ะ”
ท่านย่าของเฉิงเจีย
นางมาทำไมกันนะ
โจวเสาจิ่นรู้ดีว่าตนเองไม่ควรจะรั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไป จึงรีบเช็ดมือและลุกขึ้นกล่าวอำลา
ครั้งนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่ได้รั้งโจวเสาจิ่นเอาไว้อีก
เมื่อเดินออกจากห้องไป โจวเสาจิ่นก็พบฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ที่มาเยือนพอดี นางรีบย่อเข่าทำความเคารพ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ยิ้มพลางกล่าว “เสาจิ่นนี่เอง! มาคัดลอกพระธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหรือ”
โจวเสาจิ่นตอบว่า เจ้าค่ะ อย่างนอบน้อม ทว่ากลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดูไม่อ่อนโยนเหมือนในยามปกติ ในทางกลับกันดูเหมือนกับว่าปากยิ้มแต่ตาไม่ยิ้มอยู่เล็กน้อย
นางเฝ้าลอบเก็บเอามาใส่ใจ รอจนกระทั่งปี้อวี้ผ่านมาเห็นนาง นางจึงเอ่ยถามปี้อวี้ว่า “…นายหญิงผู้เฒ่าหลี่ของจวนสามมาทำอะไรหรือ ข้าพบนางที่ประตู ท่าทางของนางดูเหมือนไม่ค่อยยินดีนัก!”
นางเหลียวมองดูรอบๆ ซือเซียงกับเสี่ยวถานกำลังนั่งแยกเส้นด้ายกันอยู่ที่ประตูใหญ่ นางจึงกดเสียงต่ำลงและกระซิบกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “จวนสามอยากให้คุณหนูใหญ่พานแต่งงานกับคุณชายใหญ่สวี่เจ้าค่ะ แต่ถูกนายหญิงผู้เฒ่าปฏิเสธไปอย่างสุภาพ กล่าวว่าบุตรธิดาเป็นหนี้บุพการี นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว เรื่องการแต่งงานของคุณชายสวี่นั้น ฮูหยินเป็นคนตัดสินใจ นายหญิงผู้เฒ่าหลี่จึงไม่พอใจยิ่ง พูดจาหว่านล้อมข้างซ้ายประโยคหนึ่งข้างขวาประโยคหนึ่ง ต่อให้นายหญิงผู้เฒ่าจะไม่ก้าวก่าย ก็ยังสามารถช่วยคุณหนูพานกล่าวสักสองสามประโยคต่อหน้าฮูหยินได้ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าฉุนจัด…”
ยามที่กลอุบายล้มเหลว ก็ถอดชุดเกราะออกรบ!
หนังหน้าของจวนสามช่างหนาเสียจริงๆ!
โจวเสาจิ่นเดาะลิ้นอย่างประหลาดใจ ถือโอกาสกล่าวถึงเรื่องของจวนสาม “…ทำธุรกิจค้าขายมาโดยตลอด เหตุใดถึงไม่ลงสนามสอบขุนนางบ้าง นายอำเภอมีอำนาจสามารถทำให้บ้านแตก ส่วนข้าหลวงมีอำนาจสามารถฆ่าล้างได้ยกตระกูล ต่อให้มีเงินมากกว่านี้ ก็ยังมีเกียรติและมีหน้ามีตาไม่เท่ากับการเป็นขุนนาง!”
ปี้อวี้กล่าวเสียงเบาว่า “เหมือนจะกล่าวกันว่าบรรพบุรุษของจวนสามนั้นเป็นผู้ทำมาค้าขายเจ้าค่ะ พวกเขาคุ้นเคยและเชี่ยวชาญด้านการค้าขาย มีกลวิธีเป็นของตนเอง แต่ทว่าการเป็นขุนนางนี้ จะต้องมีความสามารถในการศึกษาเล่าเรียน ทั้งยังต้องเป็นผู้มีคุณธรรม บางทีจวนสามอาจจะไม่มีบุคคลผู้มีความสามารถเช่นนี้เลยก็เป็นได้!” กล่าวถึงตรงนี้ เสียงของนางชะงักเล็กน้อย กล่าวอีกว่า “อย่างไรก็ตามข้าได้ยินฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวชมคุณชายใหญ่เจิ้ง กล่าวว่าถ้าหากคุณชายใหญ่เจิ้งสามารถเป็นผู้คงแก่เรียนได้ จะเป็นบัณฑิตที่กลายเป็นขุนนางได้คนหนึ่ง เพราะฮูหยินใหญ่หลูได้ยินถ้อยคำนี้ของฮูหยินผู้เฒ่า จึงไม่ได้ให้คุณชายใหญ่เจิ้งหมั้นหมายจนถึงทุกวันนี้ ฟังจากน้ำเสียงนั่นแล้ว ดูเหมือนกับว่าอยากหาบุตรสาวจากตระกูลขุนนางที่สืบทอดกันมาให้คุณชายใหญ่เจิ้งสักคนหนึ่ง ในภายภาคหน้าจะได้รับการสนับสนุนจากพ่อตาหรือจากพี่เขย ด้วยเรื่องนี้ฮูหยินใหญ่หลูยังเคยมาขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราให้ช่วยเหลือ ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ไปมาหาสู่กับตระกูลข้างนอกมานานหลายปีแล้ว จึงไม่พบหญิงสาวที่เหมาะสมมาสักระยะหนึ่งแล้วเจ้าค่ะ”
ในชาติก่อน เฉิงเจิ้งแต่งงานกับคุณหนูจากตระกูลผู้เป็นซื่อหลางแห่งกรมขุนนาง
เพียงแต่ไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นพ่อสื่อแม่ชักให้
หรือว่าจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัว?
โจวเสาจิ่นขบคิดพลางคุยเล่นกับปี้อวี้ประโยคแล้วประโยคเล่า จนกระทั่งเฝ่ยชุ่ยมาหาปี้อวี้เพราะต้องการกุญแจห้องเก็บของ “…คุณหนูสิบหกของตระกูลกู้แห่งซอยเหม่ยฮวาจะหมั้นหมายในวันที่สิบเดือนเจ็ดนี้ นายหญิงผู้เฒ่าบอกว่าจะส่งชุดเครื่องแก้วสุราไม้เนื้อแข็งชุดนั้นที่อยู่ในห้องเก็บของไปให้เป็นของขวัญ”
ปี้อวี้ลุกขึ้นมา
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามเฝ่ยชุ่ย “นายหญิงผู้เฒ่าหลี่กลับไปแล้วหรือยัง”
“กลับไปแล้วเจ้าค่ะ!” ขณะที่เฝ่ยชุ่ยกล่าว ก็ลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้รับปากว่าจะช่วยจวนสาม ดูเหมือนว่านายหญิงผู้เฒ่าหลี่จะไปหาฮูหยินที่เรือนอวิ้นเจินแล้วเจ้าค่ะ”
ดูท่าทางเหมือนจะยังไม่ยอมแพ้!
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า แล้วบอกให้ซือเซียงส่งปี้อวี้กับเฝ่ยชุ่ยออกไป
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ตอนที่นางไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากวน ก็พบหมัวมัวข้างกายของเฉิงเสียน
รอจนกระทั่งซื่อเอ๋อร์ส่งหมัวมัวผู้นั้นออกไป นางจึงเอ่ยถามท่านยายว่า “เช้าขนาดนี้ บ่าวรับใช้ข้างกายท่านป้าเสียนมาหาทำไมหรือเจ้าคะ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านป้าเสียนเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตอบ “เพียงแค่แจ้งว่านางได้รับจดหมายจากท่านบุตรเขย ท่านบุตรเขยเข้ารับตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว และบอกให้พวกเขาออกเดินทางไปซานตงโดยเร็ว นายหญิงผู้เฒ่าหลี่พลิกดูปฏิทินหมื่นปี หากเลยวันที่แปดเดือนนี้ไปแล้ว ต้องรอถึงวันที่ยี่สิบสองของเดือนหน้าจึงจะเป็นวันฤกษ์ดีสำหรับการเดินทางไกลอย่างราบรื่น หลังจากที่ท่านป้าเสียนกับพี่ชายจ้าวของเจ้าได้หารือกันแล้ว ก็ตัดสินใจออกเดินทางไปจี้หนานในวันที่แปดนี้ ท่านป้าเสียนของเจ้าจึงส่งหมัวมัวข้างกายมาแจ้งพวกเรา พรุ่งนี้จะมากล่าวร่ำลาอย่างเป็นทางการ!”
ในที่สุดพานชิงก็จะไปแล้ว!
ผู้ที่ดีใจที่สุดควรจะเป็นเฉิงเจีย!
โจวเสาจิ่นรู้สึกยินดียิ่งกับข่าวนี้
นางถามท่านยายกับพี่สาวว่า “พวกเราส่งของขวัญอำลาอะไรให้ดีเจ้าคะ”
“ทำผ้าเช็ดหน้าสักสองผืนส่งให้น้องสาวชิงก็พอแล้ว” โจวชูจิ่นรู้ว่าโจวเสาจิ่นได้ปักลวดลายบนผ้าเช็ดหน้าสองสามผืนเมื่อหลายวันก่อน นางไม่อยากให้น้องสาวต้องวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้อีก จึงเสนอให้มอบของที่ทำสำเร็จแล้ว
ความจริงแล้วโจวเสาจิ่นไม่ได้รู้สึกสนิทสนมกับพานชิง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่มีแก่ใจจะเตรียมอะไรให้นาง จึงพยักหน้าตกลง ตอนบ่ายหลังจากที่กลับมาจากเรือนหานปี้ซาน ก็เลือกผ้าเช็ดหน้าสองผืน ถุงเท้าสี่คู่ ปิ่นทองสองอัน รวบรวมให้พี่สาวส่งไปยังเรือนรับรองแขกของจวนสามในนามของเรือนหว่านเซียง
นางไม่ได้ตั้งใจรอพบพานชิงเป็นพิเศษ ตอนที่เฉิงเสียนนำพานชิงกับพานจ้าวไปกล่าวอำลาที่จวนหลัก โจวเสาจิ่นทำงานเย็บอยู่ที่เรือนหว่านเซียง ตอนที่พวกเขามากล่าวอำลาที่จวนสี่ โจวเสาจิ่นก็ไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน
ไม่ได้สนใจว่าพานชิงจะคิดเห็นอย่างไร โจวเสาจิ่นคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
นางไม่อยากโอนอ่อนผ่อนตามผู้อื่นไปทั่วอีกแล้ว
นี่ไม่ค่อยยุติธรรมต่อผู้คนเหล่านั้นที่ชื่นชอบนางและมีบุญคุณต่อนางสักเท่าใด
………………………………………………………………….