ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 80 ออกไปข้างนอก
ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 80 ออกไปข้างนอก
หลังจากที่พานชิงกลับไปแล้ว โจวเสาจิ่นก็ไปเยี่ยมเฉิงเจีย
ป้าคนเฝ้าประตูเรือนหรูอี้รู้สึกลำบากใจยิ่ง
ทว่าโจวเสาจิ่นไม่ใช่คนประเภทที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี นางจึงหารือกับป้าคนเฝ้าประตูว่า “ท่านป้าใหญ่หลูเพียงแค่สั่งพวกเจ้าไว้ว่าไม่ให้พี่สาวเจียออกมา และไม่ให้พวกข้าเข้าไปเล่นกับนาง ถือชามข้าวของผู้ใด ย่อมต้องรับใช้ผู้นั้น ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าขัดคำสั่งของฮูหยินใหญ่พวกเจ้า ข้าเพียงแต่อยากให้เจ้าช่วยนำความของข้าเข้าไปแจ้งสักหน่อย ข้าจะยืนอยู่ที่ปากประตูเพื่อพูดคุยกับพี่สาวเจียสักสองสามประโยค ข้าสัญญาว่าพี่สาวเจียจะไม่ก้าวข้ามธรณีประตูนี้เลย ข้าเองก็จะไม่เข้าไปเช่นกัน…แค่นี้น่าจะทำได้อยู่กระมัง”
ป้าผู้นั้นราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก กล่าวขอบคุณโจวเสาจิ่นอย่างตื้นตันใจ “คุณหนูยังคงเมตตาเช่นเดิม ข้าจะนำความของท่านไปแจ้งให้เจ้าค่ะ” กล่าวเสร็จก็เรียกสาวใช้เด็กให้ยกตั่งสองสามตัวมาตั้งไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ประตู และให้ไปต้มน้ำชามาหม้อหนึ่ง “คุณหนูนั่งรอที่นี่สักครู่ นั่งรับลมเย็นๆ และดื่มน้ำสักถ้วย อย่าปล่อยให้ร้อนนะเจ้าคะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ จึงไม่เกรงใจอีก นั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่
พวกซือเซียงสองสามคนช่วยกันโบกพัดให้โจวเสาจิ่นและรินน้ำชาให้นาง
เฉิงเจียวิ่งออกมาจากข้างในเรือนประดุจสายลม
โจวเสาจิ่นรีบเตือนว่า “เจ้าก้าวข้ามธรณีประตูนี้ไม่ได้นะ ข้าสัญญากับป้าผู้นั้นแล้ว เจ้าจะให้ข้ากล่าวแล้วคืนคำไม่ได้เป็นอันขาด!”
เฉิงเจียหัวเราะคิกคัก และหยุดยืนอยู่ที่ประตู กล่าวขึ้นว่า “แผนนี้ของเจ้าช่างดียิ่ง! วันหลังพวกเรามาคุยกันที่นี่เช่นนี้อีกทุกวันเลยนะ”
“ข้าไม่มีเวลาว่างเช่นนั้นหรอก” ขณะที่โจวเสาจิ่นยิ้ม พวกป้าบ่าวรับใช้ก็รีบตั้งวางตั่งไว้ที่ประตู ทั้งยังคอยรับใช้เฉิงเจียที่นั่งอยู่ฝั่งข้างในประตู นำน้ำชาขึ้นโต๊ะ และเฝ้าดูอยู่ห่างๆ จากในเรือน
เฉิงเจียกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าพานชิงกลับไปแล้ว…เจ้าได้ไปส่งนางหรือไม่ นางมีท่าทีอย่างไร ยังคงยโสโอหังอยู่หรือไม่ ข้าเดาว่านางน่าจะใจมลายกลายเป็นธุลีเสียแล้ว นางมักจะคิดว่าตนเองสูงส่งอยู่เสมอมิใช่หรือ ใครบ้างจะชอบนางเล่า…”
โจวเสาจิ่นก็มาเพื่อบอกนางเรื่องนี้
นางอยากทำให้เฉิงเจียร่าเริงมีความสุข
อย่างไรเฉิงเจียก็รู้แล้ว นางจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก
“ข้าไม่ได้ไปส่งพานชิง” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าไม่ว่าง…”
นางเล่าถึงกิจธุระต่างๆ ที่ผ่านมาให้ฟัง
ทว่าเฉิงเจียไม่เชื่อแม้แต่น้อย
นางคิดว่าโจวเสาจิ่นจงใจ นางจึงหัวเราะร่า และเบิกบานยิ่ง ทำให้อารมณ์ของโจวเสาจิ่นแจ่มใสขึ้นไม่น้อยด้วยเช่นกัน
ทั้งสองคนพูดคุยสัพเพเหระอยู่นาน ระหว่างนี้มีป้าบ่าวรับใช้คอยชะเง้อมองมาอยู่ไกลๆ โจวเสาจิ่นเดาว่าน่าจะเป็นบ่าวข้างกายของเจียงซื่อ ทว่านางแสร้งทำเป็นไม่เห็น และคุยกับเฉิงเจียต่อไป จากนั้นถึงได้ลุกขึ้นกล่าวร่ำลา
เฉิงเจียไม่อยากแยกจากกัน “เจ้าจะมาหาข้าอีกทีเมื่อไหร่”
“หลายวันมานี้ข้ากำลังเร่งเย็บปักชุดฤดูหนาวให้ท่านพ่อของข้า” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “รอมีเวลาว่างข้าจะมาหาเจ้าอีก”
เฉิงเจียได้ยินแล้ว สองตาเปล่งประกาย กล่าวขึ้นว่า “เหมือนชุดของท่านพี่ชูจิ่นเช่นนั้นใช่หรือไม่ เจ้าปักให้ข้าสักชุดด้วยเถอะนะ! ชุดนั้นสวยยิ่งนัก”
รู้อยู่แก่ใจว่าจะเป็นเช่นนี้
โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับหน้าผากของตนมีเหงื่อผุดออกมาก็ไม่ปาน
เพียงแค่เฉิงเจียถูกใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดของนาง ก็จะขอนางตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ
ชาติที่แล้ว นางทุกข์ใจด้วยเรื่องเช่นนี้อยู่ไม่น้อย
แต่ทว่าในชีวิตนี้ นางตัดสินใจจะปฏิเสธนางอย่างชัดเจน
เลวร้ายที่สุดพวกเขาทั้งสองอาจจะทะเลาะกันอีกก็เท่านั้น!
“ไม่ได้หรอก ข้าไม่ว่าง!”
“เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเราไม่ใช่พี่น้องที่รักกันเหนียวแน่นที่สุดหรอกหรือ ข้าเพียงแค่ขอให้เจ้าเย็บปักให้ข้าชุดหนึ่งเท่านั้นเอง…”
“เย็บปักชุดหนึ่งไม่เหนื่อยหรืออย่างไร อีกทั้งข้าไม่ใช่ช่างปักสักหน่อย ทำไมเจ้าถึงต้องการให้ข้าเย็บปักเสื้อผ้าให้เจ้าด้วย ในเมื่อพวกเราเป็นพี่น้องที่รักกันที่สุด ควรจะเห็นอกเห็นใจกันและกันมิใช่หรือ เจ้าดูพี่สาวของข้าสิ นางคิดว่าการเย็บปักไม่ดีต่อสายตาเท่าใดนัก จึงไม่ให้ข้าปักชุดให้นางอีก”
เฉิงเจียกล่าวไม่ออก
โจวเสาจิ่นสั่งป้าที่เฝ้าประตูให้เก็บจอกชาและตั่งให้เรียบร้อยด้วยเสียงอ่อนโยน แล้วกลับไปยังเรือนหว่านเซียง
แต่ระหว่างทางที่กลับเรือนหว่านเซียง ขณะที่เดินผ่านเรือนเจียซู่ นางก็พบกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเห็นนางสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีขาวพระจันทร์ลายเรียบๆ ตัวหนึ่ง เสียบดอกมะลิบนมวยผมเป็นแถวยาว ดูงดงามและสดใส ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้เลย อยู่ๆ นางก็สะดุดใจและถามขึ้นว่า “พรุ่งนี้เจ้าขอลาฮูหยินผู้เฒ่ากัวสักวันได้หรือไม่ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้ากับพี่สาวของเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนของญาติ!”
“อา!” โจวเสาจิ่นเบิกตาโพลง
ชาติก่อน ไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
ดวงตาอันสุกใสของนางราวกับน้ำพุที่สะท้อนเงาร่างของฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนหัวเราะและกล่าวว่า “คุณหนูสิบหกของตระกูลกู้แห่งซอยเหมยฮวาจะหมั้นในวันพรุ่งนี้ และได้ส่งเทียบเชิญมาให้เรือนอวิ้นเจิน ท่านยายของเจ้าเห็นว่า ครั้งก่อนตอนที่ท่านลุงหยวนของเจ้าสอบผ่านได้เป็นขุนนาง ตระกูลกู้เคยส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้ ตอนนี้คุณหนูสิบหกของตระกูลกู้จะหมั้นหมาย พวกเราก็ควรจะไปร่วมเฉลิมฉลองด้วยถึงจะถูก”
ไปจวนตระกูลกู้!
ตระกูลกู้ตระกูลนั้นของกู้ชิงหงแห่งซอยเหมยฮวา ท่านตาเคยพักอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลกู้อยู่ระยะหนึ่ง ซ้ำยังปรารถนาจะให้ท่านแม่แต่งงานเข้าตระกูลกู้ ไม่รู้ว่าตอนนี้ตระกูลกู้ยังมีผู้ที่รู้เรื่องในปีนั้นอยู่หรือไม่ บางทีตนอาจจะค้นพบอะไรเพิ่มเติมก็เป็นได้ ต่อให้ไม่พบอะไร ตระกูลกู้เป็นผู้นำแห่งตระกูลบัณฑิตเมืองจินหลิง สามารถไปเยี่ยมชมจวนตระกูลกู้ได้ ก็นับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นคิดแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นยิ่ง ตอบตกลงในทันที และถามต่ออีกว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้ากับพี่สาวควรสวมชุดอะไรไปดีเจ้าคะ อยากให้ตระเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างหรือไม่ ข้ามีผ้าเช็ดหน้า ถุงหอม ถุงพัดจำพวกนั้นและยังมีงานปักสองสามชิ้นที่ค่อนข้างแปลกใหม่ อยากให้ข้านำไปให้ท่านตรวจดูว่าของชิ้นไหนดูเหมาะสมที่เรือนหานชิวหรือไม่เจ้าคะ”
นางประจบประแจงฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างกระตือรือร้น ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มพลางกล่าว “ประเดี๋ยวเย็นนี้พวกเราค่อยมาคุยกันอีกที”
โจวเสาจิ่นกล่าวตอบรับไปด้วยอาการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วกลับไปยังเรือนที่พำนักของตน
โจวชูจิ่นกำลังพูดกับฉือเซียงอยู่ พอเห็นโจวเสาจิ่น ก็ยิ้มกล่าวขึ้นว่า “เจ้ากลับมาพอดีเลย พรุ่งนี้ที่ซอยเหมยฮวา…”
“ข้ารู้แล้ว!” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพูดแทรกพี่สาว กล่าวว่า “ท่านป้าใหญ่บอกว่า อยากจะพาพวกเราไปร่วมงานหมั้นที่ตระกูลกู้ด้วย!”
ก่อนหน้านี้ท่านป้าใหญ่ไม่ได้เอ่ยว่าจะพาโจวเสาจิ่นไปด้วย ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของท่านยายหรือเป็นเพราะท่านป้าใหญ่ฉุกคิดขึ้นมาได้?
ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง โจวชูจิ่นก็ไม่คิดจะกล่าวออกไปให้น้องสาวเสียใจ นางยิ้มพลางกล่าว “ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็จะไม่กล่าวอะไรมากอีก”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ และเล่าเรื่องที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนบอกให้พวกนางสองพี่น้องไปเรือนหานชิวเย็นนี้ให้โจวชูจิ่นฟัง
อาจจะกลัวว่าน้องสาวจะทำอะไรผิดพลาดกระมัง
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่น้องสาวจะได้ติดตามท่านป้าใหญ่ไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องด้วย
ตระกูลกู้เป็นตระกูลบัณฑิตที่มีธรรมเนียมปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนาน กล่าวกันว่ามีกฎระเบียบมากยิ่ง หากว่าทำตัวเสียมารยาทให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเช่นนั้นคงจะลำบากแล้ว
โจวชูจิ่นครุ่นคิดอยู่ในใจ แล้วยิ้มพลางตอบรับไป
โจวเสาจิ่นเอ่ยถามพี่สาวว่า “ข้าได้ยินท่านป้าใหญ่เล่าว่า ตระกูลกู้เคยส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้ตอนที่ท่านลุงรองหยวนสอบผ่านขุนนาง หลายปีมานี้ตระกูลกู้ไม่ได้จัดงานแต่งงานหรืองานศพสักครั้งเลยหรือเจ้าคะ”
ในความสัมพันธ์ของคนนั้นมีทั้งการให้และการรับ
บุตรหลานของจวนสี่มีน้อยยิ่ง การที่ไม่มีงานเฉลิมฉลองมากนักก็เป็นที่เข้าใจได้ แต่ตระกูลกู้นั้นเพียงแค่บุตรสาวก็มีถึงลำดับที่สิบหก แน่นอนว่าต้องมีบุตรหลานเป็นจำนวนมาก เป็นไปไม่ได้ที่หลายปีมานี้จะไม่ได้เชิญแขกมาร่วมงานใดๆ เลย
ในชาติก่อน จากความทรงจำของนางจวนสี่กับตระกูลกู้ไม่เคยไปมาหาสู่กันเลย
โจวชูจิ่นตอบว่า “ตระกูลกู้เกี่ยวดองกับทางฝั่งของฮูหยินผู้เฒ่ากัว จึงใกล้ชิดสนิทสนมกับจวนหลัก ครั้งก่อนที่ท่านลุงรองหยวนสอบผ่านเป็นขุนนางนั้น ก็เนื่องจากดำเนินตามเส้นสายของจวนหลัก ตระกูลกู้จึงส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้ตามมารยาท ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก ยามที่ตระกูลกู้จัดงานอะไร จึงไม่ได้ส่งเทียบเชิญมาให้พวกเรา แต่ทว่าครั้งนี้ฮูหยินหยวนมีเรื่องขอพบท่านป้าใหญ่ พอท่านป้าใหญ่เห็นเทียบเชิญ นึกถึงตอนนั้นที่พวกเขาเคยส่งของขวัญมาให้เพราะเห็นแก่หน้าของจวนหลัก พวกเราจึงควรจะให้การสนับสนุนจวนหลัก ร่วมสมทบติดตามไปจวนตระกูลกู้ด้วยถึงจะถูก”
มิน่าล่ะ!
โจวเสาจิ่นเข้าใจกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันใด
โจวชูจิ่นยิ้มพลางกล่าว “จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเจ้า”
“ข้าหรือ” โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่ง
“ใช่แล้ว!” โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ที่ฮูหยินหยวนเชิญท่านป้าใหญ่ไปพบ ก็เพราะอยากขอให้เจ้าช่วยวาดลายดอกไม้สักสองสามดอก” เสียงของนางชะงักไป แล้วกล่าวต่ออีกว่า “งานปักนั้นจะให้ผู้อื่นเป็นคนปัก ขอเพียงแค่เจ้าช่วยออกแบบลายดอกไม้ให้เท่านั้น”
ถ้าหากไม่ใช่ด้วยเหตุนี้ คาดว่าพี่สาวก็คงจะไม่บอกนางกระมัง
โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “ข้าแล้วแต่ท่านพี่เจ้าค่ะ”
โจวชูจิ่นลูบศีรษะของนางและเอ่ยว่า “เห็นว่าพี่สาวเซียวใกล้จะคลอดแล้ว ฮูหยินหยวนอยากจะปักผ้าคลุมเด็กทารกลวดลายเด็กน้อยวิ่งเล่นสักผืนให้กับทารกน้อยของท่านพี่เซียว อย่างไรเสียช่างในโรงตัดเย็บก็เป็นเพียงแค่ช่างเย็บปัก ฮูหยินหยวนไม่พอใจแบบลายทั้งหมดที่นำมาให้ดู พอเห็นกระโปรงที่เจ้าปักให้ข้าครั้งก่อน จึงอยากขอเจ้าวาดให้สักลาย ผู้ที่ท่านพี่เซียวแต่งงานด้วยคือญาติจากตระกูลฝั่งมารดาของนางที่ถงเซียงแซ่หยวน ข้าคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นผลดีต่อเจ้า จึงตอบตกลงให้เจ้าไป”
เรื่องนี้สำหรับโจวเสาจิ่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
นางยิ้มพลางตกลงรับปาก
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากวนรู้ว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจะพาโจวเสาจิ่นไปซอยเหมยฮวาด้วย ก็จับมือนางและย้ำกำชับอยู่พักหนึ่ง ตอนที่ถึงเรือนหานชิว ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้เลือกถุงหอมสองใบจากผลงานเย็บปักของโจวเสาจิ่น จากนั้นก็หยิบก้อนทองจากถุงเงินของตนเองใส่ไว้ในถุงหอม “ใช้นี่เป็นของขวัญ”
“ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ!” โจวชูจิ่นปฏิเสธรัว “ทองที่เป็นของขวัญตามธรรมเนียมนี้ พวกข้าควรจะออกเองสิเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มพลางกล่าว “ในเมื่อติดตามข้าออกไป ย่อมต้องเชื่อฟังข้า หากว่าพวกเจ้ามีจิตใจกตัญญูล่ะก็ รอจนกระทั่งแต่งงานกับเนื้อคู่สมดังปรารถนา และป้าใหญ่ผู้นี้ชราวัยลงแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาทักทายป้าใหญ่ช่วงวันตรุษจีนและเทศกาลต่างๆ บ้างก็พอ เพียงแค่นี้ป้าใหญ่ก็อิ่มอกอิ่มใจแล้ว”
ถ้าหากยังกล่าวแย้งต่อไปอีก ก็จะดูทำตัวห่างเหินไปเล็กน้อย
โจวชูจิ่นจับมือโจวเสาจิ่นแล้วกล่าวขอบคุณฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนส่งพี่น้องทั้งสองคนออกไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
วันรุ่งขึ้น โจวเสาจิ่นสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหูโจวสีเขียวอ่อนลายเรียบๆ ตัวหนึ่ง ส่วนโจวชูจิ่นสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหูโจวสีกลีบบัวลายเรียบๆ นั่งเกี้ยวไปพร้อมกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน
ตอนที่เกี้ยวหยุดชะงักที่ประตูข้าง
โจวเสาจิ่นรู้สึกงุนงงเล็กน้อย จึงเลิกผ้าม่านเกี้ยวมองไปข้างนอก
เกี้ยวของหยวนซื่อค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้
ที่แท้พวกนางรอหยวนซื่อนั่นเอง
โจวเสาจิ่นถอนหายใจยาวอย่างอดไม่ได้
นางโง่งมขนาดนี้ได้อย่างไร
ในเมื่อเป็นเพราะจวนหลักจวนสี่ถึงได้ไปร่วมงานหมั้น เช่นนั้นก็ต้องไปพร้อมกับคนของจวนหลักอยู่แล้วอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าเฉิงสวี่จะตามไปด้วยหรือไม่
ขออย่าได้พบกับเฉิงสวี่เลย
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนบอกให้สองพี่น้องตระกูลโจวลงจากเกี้ยว ไปทำความเคารพหยวนซื่อ
โจวเสาจิ่นที่ตามพี่สาวอยู่ข้างหลังได้คำนับทำความเคารพหยวนซื่อ
หยวนซื่อพยักหน้ารับอย่างยิ้มแย้ม พูดคุยกับโจวเสาจิ่นด้วยความเอ็นดูอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนว่า “ลูกปัดดอกไม้ที่ประดับมาในวันนี้ช่างงดงามยิ่ง เป็นร้านเครื่องเงินร้านไหนสลักให้หรือ”
นี่เป็นเพราะต้องการขอร้องให้ตนเองวาดลายเด็กน้อยวิ่งเล่นให้บุตรสาวนางอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นต่อว่าอยู่ในใจ ยิ้มพลางกล่าวอย่างสุภาพ “ไม่ทราบเจ้าค่ะ มันวางอยู่ใน**บสินสอดของข้ามาตั้งแต่เล็กแล้วเจ้าค่ะ”
เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นเครื่องประดับที่ตกทอดมาจากตระกูลจวง
หยวนซื่อใคร่ครวญแล้วไม่ถามต่ออีก กล่าวทักทายฮูหยินใหญ่เหมี่ยนสองประโยค แล้วขึ้นเกี้ยวของตนเอง
ซอยเหมยฮวาตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเมืองจินหลิง ใกล้กับตรอกสือโถวของตระกูลเดิมของฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ่ง และห่างจากจวนบรรพบุรุษของตระกูลโจวเพียงระยะหนึ่งลูกศรเท่านั้นด้วยเช่นกัน
ตอนที่พวกนางมาถึง ภายในซอยเหมยฮวาแน่นขนัดไปด้วยเกี้ยวที่จอดอยู่ก่อนแล้ว
มีบ่าววิ่งมาสอบถาม แล้วเปิดประตูข้างให้ เชิญพวกนางเข้าไปในลานชั้นในโดยตรง
………………………………………………………………….