ยามดอกวสันต์ผลิบาน - ตอนที่ 93 ของขวัญ
โจวเสาจิ่นกลับยังคงกระทำตัวเช่นเคย ไปคารวะยามเช้าและเย็นอย่างสงบเคร่งขรึม ในช่วงเช้าทำงานปักเย็บ ในช่วงบ่ายไปคัดลอกพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน
อย่างไรเสียซอยจิ่วหรูก็เป็นตระกูลขุนนางกันมาหลายรุ่น การที่โจวเจิ้นได้รับการโยกย้ายตำแหน่งนั้นมีความหมายอะไร ผู้คนมากมายต่างมีการคาดเดาเป็นของตนเอง จึงย่อมให้ความสนใจกับพี่น้องตระกูลโจวมากขึ้นเป็นธรรมดา
ในตอนแรกโจวชูจิ่นก็เป็นกังวลว่าน้องสาวจะแสดงความภาคภูมิใจออกมาให้เห็น ให้พวกสาวใช้และป้าแม่บ้านเอาไปติฉินนินทาเอาได้ ต่อมาเห็นโจวเสาจิ่นไม่ได้มีอาการอะไร ถึงได้รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง และวางใจลงได้
อาจูของจวนเหลียงกั๋วกงให้คนนำของขวัญมาส่งให้กับพวกนาง
เฉิงเจียได้รับตุ๊กตาสิบแปดอรหันต์หนึ่งชุด มีปุ่มหนึ่งปุ่มบนท้อง เมื่อกดแล้วตุ๊กตาอรหันต์จะชกหมัดออกไป ของขวัญของโจวเสาจิ่นเป็นหนังสือรวมลวดลายเย็บปัก บันทึกลวดลายใหม่ ๆ อันเป็นที่นิยมในเมืองหลวงกับเมืองซูโจวในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผนึกเอาไว้ด้วยตราประทับส่วนตัว เห็นได้ชัดว่าเป็นหนังสือที่จัดพิมพ์ขึ้นเป็นการส่วนตัวของฮูหยินหรือคุณหนูของตระกูลอื่น หายากยิ่งนัก ของขวัญที่มอบให้แก่โจวชูจิ่นเป็นชุดถ้วยชามเครื่องเคลือบหนึ่งร้อยแปดชิ้นหนึ่งชุดที่เผาและผลิตในวังใน ใช้เป็นสินสอดเจ้าสาว ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียยังดี ถึงแม้ว่าของขวัญจะล้ำค่า แต่จะดีร้ายอย่างไรก็นับเป็นของที่ทั้งสองคนชื่นชอบ คิดหาวิธีและปรึกษากันแล้วก็ไม่ถือว่ามากเกินไป ทว่าชุดถ้วยชามที่มอบให้โจวชูจิ่นชุดนี้นั้น ไม่ต้องกล่าวถึงโจวเสาจิ่นเลย แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนของจวนสี่ก็คิดว่าล้ำค่าเกินไป
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเรียกโจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นไปเข้าพบเป็นการเฉพาะ ซักถามพวกนางถึงเรื่องราวที่ไปเที่ยวที่ทะเลสาบกับอาจู
โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นไม่กล้าปิดบังเรื่องใด เล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม้รายละเอียดเล็กน้อยเพียงใดก็บอกฮูหยินผู้เฒ่ากวนทั้งหมด
ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินว่าองค์ชายของเหลียงกั๋วกงเคยมอบจี้หยกสี่ชิ้นให้พวกนางเป็นของขวัญ ก็นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง รอจนกระทั่งพวกนางพี่น้องเล่าจนจบ จึงเอ่ยถามว่า “คุณหนูอาจูผู้นั้นได้ส่งของขวัญให้คุณหนูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ด้วยหรือไม่ หากว่าได้ส่งของขวัญไปให้ ของขวัญที่ส่งไปให้นั้นเป็นอะไร”
พวกนางไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนี้เลยจริง ๆ
โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “พวกเราจะส่งคนไปสอบถามเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้ารับ แม้ว่าบนใบหน้าจะแต้มด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่มีท่าทางยินดีเลยสักนิด
รอจนถึงช่วงบ่าย ทางด้านตระกูลกู้ก็ตอบจดหมายกลับมา แจ้งว่าอาจูให้ป้าผู้เป็นสาวใช้นำเครื่องประดับผมจูฮวามีไข่มุกฝังอยู่ข้างในมามอบให้
แม้ว่าเป็นของที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับของขวัญที่มอบให้พี่น้องตระกูลโจวกับเฉิงเจียก็นับว่าด้อยกว่ามาก
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดึงลูกประคำเล่น ไม่กล่าวอะไร
ทว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับกวาดสายตาไปมาระหว่างโจวชูจิ่นกับโจวเสาจิ่นไม่หยุด สีหน้าดูตึงเครียดเล็กน้อย
โจวเสาจิ่นสังหรณ์ใจว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียแล้ว
นางจึงถามพี่สาว โจวชูจิ่นยิ้มพลางกล่าว “สงสัยของขวัญจากจวนเหลียงกั๋วกงคงจะล้ำค่าเกินไป ไม่รู้ว่าควรจะส่งของขวัญอะไรตอบไปดี”
หากเป็นชาติก่อน โจวเสาจิ่นคงจะเชื่อไปแล้ว ทว่าในชีวิตนี้ นางไม่มีทางเชื่อได้เลย ไม่ว่าของขวัญจะล้ำค่าเพียงใด มรดกสืบทอดร้อยปีของจวนสี่ แม้นจะเสื่อมโทรมไปก็ยังมีเหล็กกล้าอีกสามจิน ไม่ถึงกับต้องรู้สึกลำบากใจจนมีท่าทางเช่นนี้!
โจวเสาพลันนึกถึงประโยคสองสามประโยคนั้นที่เฉิงฉือส่งหนานผิงมาสอบถามนาง…ตอนนี้มาตรึกตรองดูอย่างละเอียดแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความหมายที่เฉพาะเจาะจงอยู่
นางครุ่นคิดพลางเดินไปที่เรือนหรูอี้
เฉิงเจียกำลังเล่นของขวัญที่อาจูส่งมาให้นาง พระอรหันต์ปิดทองสิบแปดตัววางเรียงเป็นแถว บ้างก็ทำท่าห้อม้าอยู่กลางทุ่ง บ้างก็ยืนขาเดียว บ้างก็ขี่นกกระเรียนสยายปีก…นางกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน พอเห็นโจวเสาจิ่น นางก็โบกมือให้โจวเสาจิ่นอย่างมีความสุข พลางกล่าว “มาดูพระอรหันต์ของข้าเร็ว น่าสนุกใช่หรือไม่ มารดาของข้าไปหาของขวัญตอบแทนในห้องเก็บของอยู่ ครั้งนี้ข้าจะต้องทำให้อาจูตกตะลึงถึงจะดี!”
ไร้ทุกข์ไร้ความกังวลราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง
โจวเสาจิ่นถามนางขึ้นว่า “ท่านป้าใหญ่หลูกล่าวอะไรบ้างหรือไม่”
สายตาของนางจับจ้องไปที่พระอรหันต์เหล่านั้น กล่าวอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย “ไม่ได้กล่าวอะไรนะ… เพียงแค่เรียกข้าไปซักถามเรื่องราวในวันนั้น จากนั้นก็ปิดประตูและหารือกับท่านย่าไปครึ่งค่อนวันว่าควรส่งของขวัญอะไรกลับไปให้ดี ข้าจึงกล่าวว่า ส่งสร้อยคอมุกปะการังสีแดงเส้นนั้นที่ท่านพี่ตระกูลหลี่ส่งมาให้ในวันนั้นให้อาจูก็ดี ทั้งมีความหมายมงคลของสีแดง มุกนั้นมีขนาดเท่าเม็ดบัว ทั้งยังร้อยเอาไว้ด้วยพลอยหลากสีพวกนั้นอีก ดูงดงามและเหมาะสมยิ่งนัก…”
เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นไม่ชอบความเป็นคนไม่คิดอะไรของเฉิงเจีย
นางเก็บพระอรหันต์ลงในกล่องไม้ที่อยู่ข้าง ๆ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าถามเจ้าอย่างจริงจัง เจ้าช่วยตอบอย่างจริงจังบ้างได้หรือไม่”
เฉิงเจียบุ้ยปากอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นสายตาที่ฉายแววฉุนเฉียวของโจวเสาจิ่น จึงรีบระงับอารมณ์ นั่งตัวตั้งตรงพลางกล่าวว่า “ไหนเจ้าว่ามา! มาหาข้าด้วยเรื่องอะไร”
ชั่วขณะหนึ่งโจวเสาจิ่นไม่รู้จะกล่าวอะไรดี แต่เมื่อผ่านไปสักครู่ จิตใจของนางก็สงบลงมา ถึงได้กล่าวว่า “เจ้าได้เล่าเรื่องที่จื่อซื่อของเหลียงกั๋วกงมอบของขวัญให้พวกเราไปหรือไม่”
“เล่าสิ!” เฉิงเจียตอบ “ท่านแม่ของข้าได้ยินแล้วก็ดีใจยิ่ง ยังซักไซ้ข้าอย่างละเอียดว่าพวกเราแต่ละคนเลือกจี้หยกอะไรไป เช้าวันนี้ยังส่งคนไปสอบถามตระกูลกู้ว่า กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ได้รับของขวัญอะไรบ้าง พอรู้ว่าของขวัญของกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้ไม่ได้ล้ำค่าเท่าของพวกเรา ท่านแม่ของข้าก็เหมือนจะยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ จากนั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กังวลใจขึ้นมาอีก ซ้ำยังส่งคนไปถามท่านยายของเจ้าว่าควรตระเตรียมของขวัญอะไรตอบแทนกลับไปให้อาจูดี แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้คำตอบเลย…”
กล่าวอีกนัยได้ว่า เจียงซื่อก็รู้สึกว่าท่าทีการกระทำของอาจูผิดปกติอยู่บ้าง!
โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับมีสมองไม่พอใช้
นางบิดนิ้วพลางเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องของเฉิงเจีย
เฉียเจียกระซิบขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าเวียนศีรษะไปหมดแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็หลับตาลงเสีย!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่เกรงใจ ทั้งยังเดินกลับไปกลับมาอีกหลายรอบ แล้วเดินจากไปดุจดั่งสายลมเช่นเดียวกับตอนที่มา
เฉิงเจียตกตะลึงตาค้าง รีบสั่งชุ่ยหวนว่า “เจ้าไปดูหน่อยว่าเสาจิ่นไปทำอะไร”
ชุ่ยหวนไล่ตามออกไป เวลาผ่านไปประมาณเกือบครึ่งก้านธูปถึงได้กลับเข้ามา และรายงานว่า “คุณหนูใหญ่ คุณหนูรองไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยเจ้าค่ะ!”
“อา!” เฉิงเจียเบิกตากว้างจนโค้งมน กล่าวด้วยความงุนงงเต็มใบหน้า “นางไปหาท่านอาสี่ฉือทำไมกันนะ”
ชุ่ยหวนก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
โจวเสาจิ่นกำลังลังเลอยู่ว่าควรไปหาเฉิงฉือดีหรือไม่
ถ้าหากว่าท่านน้าฉือเพียงแค่ถามไปแบบส่ง ๆ นางจะทำอย่างไรดี
แต่หากว่าท่านน้าฉือรู้อะไรบางอย่าง แล้วจงใจส่งหนานผิงไปเตือนนาง แต่นางกลับไม่เข้าใจจะทำอย่างไรดี
นิ้วมือของโจวเสาจิ่นแทบจะบิดเข้าด้วยกันแล้ว
มีนักพรตเด็กเดินเข้ามาหา น้อมศีรษะคำนับนางพลางกล่าวว่า “คุณหนู ท่านมาหาใครหรือขอรับ”
โจวเสาจิ่นจ้องเพ่งตามอง เกือบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
ผู้ที่เดินมานั้นคือชิงเฟิง
เขาสวมชุดนักพรตเต้าเผาผ้าป่านเนื้อบางสีครามตัวหนึ่ง วางหน้านิ่ง มองมาที่นางด้วยมาดเคร่งขรึม ทำราวกับว่าไม่รู้จักนางอย่างไรอย่างนั้น
นางแกล้งคำนับเขากลับอย่างเล่น ๆ พลางกล่าวว่า “นายท่านสี่ของพวกเจ้าอยู่หรือไม่”
ชิงเฟิงกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านสี่ของพวกเราออกไปพบสหายข้างนอกขอรับ ท่านมีธุระอะไร สามารถฝากข้อความเอาไว้หรือไม่ก็กลับมาใหม่พรุ่งนี้ขอรับ”
ประหนึ่งนักพรตเด็กที่ฝึกฝนตามผู้ที่เก่งกาจสูงส่งอยู่ไม่ปาน
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่าอย่างห้ามไม่อยู่
ชิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ ด้วยท่าทางอยากจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าโกรธ
โจวเสาจิ่นหัวเราะจนงอหงาย
มีเสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้นมาที่ข้างหูของนาง “ชิงเฟิง ไม่ต้องเล่นซนแล้ว ทำไมถึงยังไม่รีบเชิญคุณหนูรองเข้ามานั่งอีก”
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้น เห็นหนานผิงสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าเจียวปู้สีขาวพระจันทร์ตัวหนึ่งเดินเข้ามา
เส้นผมดำขลับของนางถูกมัดขึ้นเป็นมวยแน่น ยิ่งทำให้หน้าตาของนางดูอ่อนโยนขึ้น
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางร้องขึ้นอย่างร้อนรนว่า แม่นางหนานผิง
หนานผิงยิ้มน้อย ๆ พลางอธิบายไปว่า “นายท่านสี่ไม่อยู่ในจวนเจ้าค่ะ วันนี้ชิงเฟิงอยู่เวร พวกข้ามีแขกมาเยือนที่นี่น้อยยิ่งนัก เขาจึงไม่คุ้นเคยกับการรับแขก หากว่าเสียมารยาท ขอคุณหนูรองโปรดอย่ากล่าวโทษเลยเจ้าค่ะ”
“ที่ไหนกัน!” โจวเสาจิ่นเห็นว่านางเป็นตัวแทนของเจ้าของเรือน จึงกล่าวอย่างเกรงใจว่า “เป็นข้าเองที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ ต้องขอให้แม่นางหนานผิงโปรดอย่ากล่าวโทษถึงจะถูก” เรื่องมาอยู่ตรงหน้า แต่นางกลับรู้สึกสงบลง อีกอย่างไหน ๆ ก็มาแล้ว คงไม่อาจล่าถอยกลับไปเช่นนี้กระมัง หากว่าจิตใจโลเลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ก็มีแต่จะทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเอาได้มิใช่หรือ นางจึงถือโอกาสถามเสียเลย “ไม่ทราบว่าท่านน้าฉือไปที่ไหนหรือ จะกลับมาเมื่อไหร่ ข้ามีธุระมาพบเขา แม่นางหนานผิงช่วยนำความไปฝากให้ข้าได้หรือไม่”
“ได้สิ!” หนานผิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เพียงแค่นำความไปฝากไม่มีปัญหาอะไรหรอกเจ้าค่ะ” นางกล่าวพลางขอโทษขอโพย “เพียงแต่พวกข้าไม่รู้ว่านายท่านสี่ไปที่ไหนจริง ๆ ยิ่งไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่เจ้าค่ะ”
อย่างไรเสียหนานผิงก็เป็นเพียงสาวใช้ผู้หนึ่งเท่านั้นเอง
โจวเสาจิ่นก็เพียงแค่ลองถามดู ไม่ได้คาดหวังให้พวกเขารู้ตำแหน่งที่ไปของเฉิงฉือจริง ๆ ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ แล้วขอให้หนานผิงจัดหาหมึกกับพู่กันมาให้นาง “…ข้าจะทิ้งข้อความสองสามประโยคให้ท่านน้าฉือ”
หนานผิงไม่คิดว่านางจะทิ้งข้อความเอาไว้ ดวงตาฉายแววประหลาดใจสายหนึ่ง แต่ก็รีบคืนสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ยิ้มพลางพานางไปยังห้องปีกขนาดเท่าห้องอุ่นห้องหนึ่งที่อยู่ข้างทางเดิน แล้วช่วยฝนหมึกให้นางด้วยตนเอง จากนั้นก็ปิดประตูออกไป
โจวเสาจิ่นเขียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสองวันที่ผ่านมานี้อย่างตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก แล้วถามเฉิงฉือว่า ที่ให้หนานผิงนำความมาบอกนั้นมีความหมายว่าอย่างไร ขอให้เขามีเรื่องอะไรก็กล่าวออกมาตรง ๆ นางคาดเดามาหลายวันแล้วก็เดาไม่ออกเสียที ซ้ำยังเขียนเล่าถึงปฏิกิริยาของเจียงซื่อ บอกไปว่า ท่านน้าฉืออย่าได้กล่าวกลบเกลื่อนข้าเลย แม้ข้าจะไม่ฉลาดหลักแหลม แต่เมื่อเห็นท่าทางของท่านป้าใหญ่หลูก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ… สุดท้ายก็ปิดผนึกจดหมาย แล้วส่งให้หนานผิง
หนานผิงยิ้มพลางส่งนางลงภูเขาไป เมื่อเห็นว่านางเดินจากไปไกลแล้ว จึงหมุนกายเดินเข้าไปในส่วนลึกของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย
ผ่านทางเดินใต้ร่มไม้ ผ่านศาลาบนเนินเขาหินจำลอง ข้าง ๆ ทางเดินบนเนินเขาอันเลี้ยวลดคดเคี้ยวมีต้นกุ้ยเก่าแก่ที่งอกขึ้นมาเองตามธรรมชาติซึ่งถูกตัดจนเหลือตอและรากไม้ต้นหนึ่งนั้นกลับงอกขึ้นเป็นต้นใหม่
หนานผิงเลี้ยวผ่านต้นกุ้ยเก่าแก่ไป ทันใดนั้นก็มีคนโผล่ออกมาจากข้าง ๆ
“เจ้าจะไปทำอะไร” คนที่โผล่มาสวมชุดสีดำตัวหนึ่ง คว้ามือข้างที่ถือจดหมายของหนานผิงอย่างว่องไวดั่งสายฟ้าฟาด กล่าวยิ้ม ๆ “นี่คืออะไร จดหมายถึงนายท่านสี่หรือ ให้ข้านำไปส่งให้ดีหรือไม่”
ข้อมือที่ขาวเนียนละเอียดดั่งหยกก็แดงเรื่อขึ้นมาในทันใด บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อขนาดใหญ่เท่าเม็ดถั่วผุดขึ้นมา แต่ทว่ามือที่ถือจดหมายอยู่นั้นกลับกำไม่ปล่อยเลยสักนิด กล่าวเสียงเบาขึ้นว่า “จี๋อิ๋ง แม้ว่าเจ้ากับข้าต่างเป็นสาวใช้ใหญ่ของนายท่านสี่ แต่ข้าก็รับใช้นายท่านสี่มาก่อนเจ้า หากว่าเรียงตามลำดับความอาวุโส ข้าก็อาวุโสกว่า เจ้าต้องฟังข้า หากว่าเจ้ารู้สึกไม่เป็นธรรมล่ะก็ ข้าก็จะรายงานให้นายท่านสี่ ให้นายท่านสี่ส่งเจ้ากลับบ้านเดิมไป…”
ผู้ที่โผล่ออกมาก็คือจี๋อิ๋ง นางได้ยินเช่นนั้นแล้วก็มีแววขุ่นเคืองสายหนึ่งวาบผ่านใบหน้าอันเย็นชา สบถเสียงเย็นพลางปล่อยมือของหนานผิง แล้วหายตัวเข้าไปในดงป่าราวกับผีร้าย
หนานผิงถอนหายใจยาว และลูบข้อมือเบา ๆ จากนั้นจึงใช้แขนเสื้อคลุมซ่อนรอยแดงที่ข้อมืออย่างระมัดระวัง เดินมุ่งหน้าไปด้วยท่าทางสงบนิ่ง
ไม่นานนัก ก็ปรากฏศาลาเล็ก ๆ หลังหนึ่งอยู่เบื้องหน้า
มุมหลังคาสีขี้เถ้าหันปลายขึ้นสูง ระฆังทองแดงขนาดใหญ่เท่าถ้วยชามแน่นิ่งไม่แกว่งไกว
ไหวซานยังคงมีท่าทางราวกับยังไม่ตื่น กำมืออยู่ในแขนเสื้อและยืนอยู่ใต้หลังคา
“ท่านอาใหญ่ไหวซาน” หนานผิงทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม
สายตาของไหวซานร่วงบนข้อมือของหนานผิงที่ถูกจี๋อิ๋งบีบเอาไว้แน่น ผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
หนานผิงยิ้มพลางผลักเปิดประตูกระจก
………………………………………………………………….