ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 1003 อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 1003 อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
วันสุดท้ายของเดือนกรกฎาคม
แม้ว่ารูขุมขนทุกรูบนร่างกายของลู่โจวจะตะโกนว่าไม่ แต่เขาก็ยังหยุดทำงานวิจัยและเริ่มจัดกระเป๋าพลางเตรียมตัวสำหรับงานประชุมคณิตศาสตร์นานาชาติที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ส่วนเรื่องการรายงาน 60 นาที หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจจะทำการรายงานคร่าวๆ ในหัวข้องานของเขาเรื่องฟังก์ชันซีตาของรีมันน์เมื่อไม่กี่ปีก่อนและอัปโหลดวิทยานิพนธ์ลงบนเว็บไซต์ของงานประชุมคณิตศาสตร์นานาชาติ
จริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
ไม่ว่าจะเป็นการรายงาน 45 หรือ 60 นาที การประชุมนี้ไม่ได้จัดการรายงานเพื่อการค้นพบใหม่ๆ อย่างเดียว แต่มันเป็นการให้พื้นที่แก่นักวิชาการได้นำเสนอสิ่งที่พวกเขาทำสำเร็จในช่วงปีที่ผ่านๆ มา
เพราะท้ายที่สุดแล้วคณิตศาสตร์ส่วนใหญ่โดยเฉพาะทฤษฎีจำนวน มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่จะเกิดการค้นพบจากงานวิจัยที่ต่อเนื่องขนาดนั้น
มันคงจะใสซื่อเกินไปถ้าจะคิดว่าความขยันและวินัยจะต้องมาพร้อมงานวิจัยที่ดีทุกครั้ง
“เสี่ยวไอ ฉันควรเอาเสื้อกันหนาวไปไหม”
ที่จินหลิงยังคงเป็นฤดูร้อน แม้ว่าลู่โจวจะสวมเสื้อยืดเขาก็รู้สึกร้อนอยู่ดี แต่เขาได้ยินมาว่าที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเริ่มหนาวแล้ว
โดรนที่บินอยู่ใกล้ๆ ลู่โจวแสดงข้อความบนหน้าจอ
เสี่ยวไอ [เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กตั้งอยู่ที่ตอนบนของอ่าวฟินแลนด์บนทะเลบอลติก อยู่ที่ตำแหน่ง 59° N อุณหภูมิในช่วงเดือนสิงหาคมจะอยู่ระหว่าง 13 ถึง 20 องศาเซลเซียส ถึงแม้อากาศจะไม่ได้หนาวเกินไป แต่ฉันก็แนะนำให้เจ้านายพกเสื้อหนังกันลมไปด้วยค่ะ (๑•̀ᄇ•́)و✧]
“โอเค ฉันเอาเสื้อโค้ทยาวไปด้วยก็แล้วกัน”
ลู่โจวมองไปที่กระเป๋าเดินทางที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาหยิบเสื้อยืดออกมาจากกระเป๋าสองสามตัวและใส่โค้ทยาวสีดำลงไปแทน
เขายังจำได้ว่าเขาใส่โค้ทตัวนี้ตอนที่ไปรับรางวัลที่เบอร์ลิน
นั่นก็นานมาแล้ว ไม่คิดเลยว่ายังใส่ได้พอดี
ลู่โจวถอนหายใจและรู้สึกปลาบปลื้ม
ฉันเดาว่าคำพูดที่ว่าใครก็ตามที่สามารถพิสูจน์สมมติฐานของรีมันน์สำเร็จจะเป็นอมตะ
เขาพิสูจน์สมมติฐานของรีมันน์ฉบับง่ายได้แล้ว นั่นก็คือสมมติฐานเสมือนของรีมันน์ อย่างน้อยมันก็น่าจะทำให้เขาครึ่งอมตะได้
ขณะที่ลู่โจวกำลังฝันกลางวันอยู่นั้น จอข้อความที่ลอยอยู่ใกล้ๆ เขากะพริบ
เสี่ยวไอ [เจ้านาย มีคนวิดีโอคอลเข้ามา ไอพีแอดเดรสมาจากอเมริกาเหนือ ~(•̀∀•́)]
เสี่ยวถงเหรอ
หรือว่าเวร่า
ลู่โจวรับโทรศัพท์โดยไม่ถามว่าปลายสายเป็นใคร
เสี่ยวไอ [โอเค (๑•̀ᄇ•́)و✧]
หน้าจอโดรนแสดงหน้าจอวิดีโอคอล
ลู่โจวจำคนที่อยู่ในหน้าจอได้ทันที เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เหว่ยเหวินเหรอ”
“ศาสตราจารย์…”
ลู่โจวยิ้มและพูด “ทำไมอยู่ดีๆ คุณถึงโทรหาผมล่ะ”
“ผมมีเรื่องที่อยากถาม…” เหว่ยเหวินพูดด้วยท่าทางอึกอัก เขาสังเกตเห็นว่าลู่โจวจัดกระเป๋าได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เขาจึงถามด้วยความอยากรู้ “คุณจะร่วม ICM ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเหรอครับ”
“ใช่ ผมจะต้องทำการรายงานหนึ่งชั่วโมง แล้วคุณเป็นอย่างไรบ้าง ฉินเยว่บอกว่าคุณไปบรรยายที่แผนกวัสดุศาสตร์ที่ MIT คุณชอบไหม”
เพราะเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ เหว่ยเหวินก็ดูว้าวุ่นใจ
เขาถอนหายใจและส่ายหัว
“ก็ไม่ค่อยดีหรอกครับ อย่าคุยเรื่องนี้กันเลย เพราะผมก็กำลังจะถูกเลิกจ้างอยู่แล้ว”
เลิกจ้างเหรอ
ลู่โจวยืนขึ้นและมองไปที่เหว่ยเหวินผ่านหน้าจอ เขาขมวดคิ้วและถาม “เกิดอะไรขึ้น คุณมีปัญหาเหรอ”
ลู่โจวมีความรู้สึกว่าเหว่ยเหวินเป็นคนที่มีพรสวรรค์ พร้อมทักษะการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่โดดเด่น ตั้งแต่เหว่ยเหวินย้ายไปศึกษาหัวข้อวัสดุศาสตร์ทางคำนวณ เขาก็ทำได้ยอดเยี่ยมมาตลอด แถมยังได้ตีพิมพ์งานถึงสามฉบับในวารสารหลัก
ลู่โจวไม่เข้าใจว่าทำไม MIT จึงอยากกำจัดนักวิชาการเก่งๆ แบบนี้ออกไป
แล้วไหนจะเรื่องที่ว่าเขาเป็นศิษย์เก่าของลู่โจวอีก
เขาไม่มีทางถูกเลิกจ้างอยู่แล้ว
เหว่ยเหวินรู้ว่าลู่โจวสับสน เขาจึงถาม “คุณเจอปัญหาอีกแล้วเหรอ”
ลู่โจวพูด “ก็ประมาณนั้น ทำไมเหรอ”
“เปล่า ก็ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย” เหว่ยเหวินถอนหายใจและพูด “ผมไม่ใช่คนเดียวหรอกที่มีปัญหา นักวิชาการจีนที่ MIT ทุกคนก็มีปัญหากันหมด…”
เหว่ยเหวินใช้เวลาห้านาทีในการอธิบายเรื่องราวคร่าวๆ ให้ลู่โจวฟัง
ต้นเดือนกรกฎาคม อยู่ๆ ทำเนียบขาวก็ร่างกฎหมายพิเศษที่เซ็นโดยประธานาธิบดี ซึ่งขอให้สถานเอกอัครราชทูตเข้มงวดในการจำกัดวีซ่า
ถ้ามองผิวเผินก็ดูเหมือนว่าศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ที่ MIT คงไม่ได้รับผลกระทบอะไร
แต่หลังจากที่กฎหมายนี้ถูกเซ็น MIT สแตนฟอร์ด และมหาวิทยาชั้นนำอื่นๆ อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผู้บรรยายและศาสตราจารย์ชาวจีน พวกเขาไม่เพียงแค่สามารถลดเงินทุนทางวิทยาศาสตร์ได้ พวกเขายังลดชั่วโมงบรรยายอีกด้วย
แม้แต่นักวิชาการที่ทำงานที่สหรัฐอเมริกามาหลายสิบปีที่ยังไม่ได้สัญชาติก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้
เห็นได้ชัดว่าสาเหตุของเรื่องนี้ก็คือมีใครบางคนจากเอฟบีไอได้ไปสัมภาษณ์คณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆ แม้ว่าพวกเขายังไม่ถูกไล่ออก แต่ข่าวลือพวกนี้ก็ทำให้บรรดาศาสตราจารย์และผู้บรรยายรู้สึกไม่ดี
“จริงๆ แล้วผมเห็นสัญญาณมาตั้งแต่สองปีที่แล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้”
ลู่โจวพูด “หมายความว่าอย่างไร”
เหว่ยเหวินถอนหายใจและพูด “มาตรฐานสากลในการเข้า MIT อยู่ที่ความสามารถทางวิชาการ บุคลิกภาพ และความแตกต่าง แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมายังไม่มีนักศึกษาจีนคนไหนสมัครเลย จริงๆ แล้วทางมหาวิทยาลัยข่มเหงเรามานานแล้ว”
ลู่โจวพยักหน้าและพูด “มันดูไม่ใช่เรื่องปกติ”
แม้ว่าจะไม่มีกฎห้ามนักศึกษาจีนที่ชัดเจน แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา กลับไม่มีนักศึกษาจีนคนไหนเข้าเรียนสแตนฟอร์ดหรือ MIT นักศึกษาจีนไม่กี่คนที่ได้เข้าเรียนคือคนที่เกิดที่อเมริกา
และดูเหมือนว่า MIT ทำให้ปัญหาแย่ลงกว่าเดิม
“สภาพแวดล้อมทางวิชาการก็ไม่เป็นมิตรขึ้นเรื่อยๆ ต่างกับเมื่อสิบปีที่แล้ว เมื่อนานมาแล้วผมได้คุยกับศาสตราจารย์วัสดุศาสตร์จีนเรื่องนี้ ความสำเร็จเรื่องนิวเคลียร์ฟิวชั่นและการบินและอวกาศของประเทศจีนเป็นตัวกระตุ้นอเมริกา
“โดยเฉพาะหลังจากความล้มเหลวของโปรแกรมแอรีสเมื่อปีที่แล้ว อเมริกาก็ว้าวุ่นกันใหญ่เลย ผมสัมผัสได้ว่านักศึกษาเริ่มทำตัวแปลกแยกกับผมตอนที่ผมบรรยาย”
น้ำเสียงของเหว่ยเหวินฟังดูเจ็บปวด
“ตอนนี้มีข่าวลือในวงการวิชาการว่าสภาคองเกรสกำลังจะออกกฎหมายเข้มงวด ทุกคนก็เลยเป็นกังวลกันไปหมด ผมไม่รู้ว่าผมจะได้อยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน ผมอาจถูกไล่ออกพรุ่งนี้ก็ได้”
ลู่โจว “คุณเองก็เป็นอาจารย์คณิตศาสตร์ คุณได้รับผมกระทบจากเรื่องนี้หรือเปล่า”
“แต่งานวิจัยของผมไม่ใช่คณิตศาสตร์บริสุทธิ์ ผมทำงานร่วมกับห้องทดลองวัสดุศาสตร์ บางคนยังสงสัยด้วยซ้ำว่าผมเป็นสายลับจีน” เหว่ยเหวินส่ายหัวและพูด “สายลับแบบไหนกันที่จะช่วยทำความสะอาดข้อมูลการทดลองและทำวิจัย…ถ้าไม่ใช่เพราะอยากให้งานวิจัยคืบหน้า ผมก็คงอยากลาออกเองเหมือนกัน”
ลู่โจวเงียบไปสักพัก หลังจากนั้นเขาพูดขึ้น “คุณกลับมาจินหลิงได้ทุกเมื่อนะ สภาพแวดล้อมทางวิชาการก็ดี เงินเดือนของคุณเป็นอย่างไรบ้าง ผมสัญญาว่าผมจะให้เท่ากัน”
ก่อนที่จะวิดีโอคอลลู่โจว เหว่ยเหวินก็กำลังครุ่นคิดเรื่องที่จะกลับประเทศจีน
แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างหลังจากที่ได้ยินข้อเสนอของลู่โจว เขาเริ่มลังเล
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขากัดกรามตัวเองและพูด
“ขอบคุณครับ…”
“แต่ผมอยากสร้างงานวิจัยดีๆ ก่อน อย่างน้อยก็เพื่อเข้าโครงการ Thousands Talents Plan”
แม้ว่าที่เขาจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดที่อเมริกาซึ่งมันเป็นอุปสรรคสำหรับเขาในการสร้างผลการวิจัย แต่เขาก็ยังไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ
เพราะท้ายที่สุดถ้าเขากลับมาจีนโดยที่ยังทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง…
เขาก็คงรู้สึกผิดหวัง
ลู่โจวเป็นห่วงนักศึกษาของเขา แต่เขารู้ว่าทำไมเหว่ยเหวินจึงทำแบบนี้ เขาพยักหน้าและพูด
“คุณจะต้องระวังตัวนะ เพราะคุณอยู่ไกลอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก ถ้าคุณเกิดมีปัญหาขึ้นมา ผมก็ช่วยคุณยาก”
เหว่ยเหวินพยักหน้าและพูด “ขอบคุณครับ”
……………………