ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 568 สัมภาษณ์กับสถานี C
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 568 สัมภาษณ์กับสถานี C
ตอนที่ 568 สัมภาษณ์กับสถานี C
ณ ปักกิ่ง
ถนนฉางอัน
ซีอีโอของบริษัทปิโตรเลียมแห่งประเทศจีนอย่างหวังหยงผิงเข้าประชุมตลอดทั้งเช้า เมื่อเขาเดินออกจากห้องประชุมเพื่อมาอ่านโน้ตของตัวเอง เขาก็มีสีหน้าบอกไม่ถูก
ตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว ที่ทีมผู้บริหารเบื้องบนได้เปลี่ยนแปลงการพัฒนาพลังงานหลายต่อหลายรอบ ระหว่างการประชุม พวกเขาวางแผนเรื่องการพัฒนาบริษัทพลังงานของรัฐหลายแห่งในอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างละเอียด
ในส่วนของเนื้อหาในการประชุมนั้น…
ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของประเทศจีนเท่าไรนัก
อย่างแรกเลย ขีดจำกัดสูงสุดของเงินลงทุนนอกชายฝั่งถูกลดลงไปประมาณ 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่างที่สอง สัญญาที่ลงนามแล้วจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ และการขยายพื้นที่ของการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งและแหล่งแก๊สจะถูกหยุดเป็นเวลาสามปี
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีแผนที่คล้ายๆ ว่า ‘จะมีสถานีชาร์จไฟฟ้าให้รถยนต์พลังไฟฟ้าอีก 50,000 สถานี ภายในเวลา 2 ปี’ และ ‘ทุกๆ ปั๊มน้ำมันบนทางหลวงจะต้องมีสถานีชาร์จไฟฟ้าอีก 4 สถานี’
เรื่องทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่าทางรัฐเหมือนจะมีความตั้งใจในการกำจัดน้ำมันปิโตรเลียมออกไปจากมือของประชาชน
อันที่จริง เขาไม่รู้สึกแปลกใจกับการตัดสินใจในด้านบริหารของพวกคนเบื้องบนเลย เพราะสุดท้าย จำนวนเงินที่ประเทศจีนใช้ไปกับการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศก็มีมากมายมหาศาล
แต่ถึงเขาจะเข้าใจว่าทำไมพวกทีมบริหารเบื้องบนถึงทำอย่างนี้ เขาก็ยังรู้สึกเจ็บใจอยู่ดี
โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนนอกชายฝั่ง ซึ่งเป็นส่วนที่ทำกำไรให้เขามากที่สุด
ตอนนี้มันถูกลดจำนวนลงแล้ว เขาก็อดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้
แต่พวกเขาก็ยังไม่ใช่คนที่เจอกับโชคร้ายที่สุด
พวกเขายังโชคดี เมื่อเทียบกับพวกบริษัทถ่านหินที่หายวับไปเลย
แค่การลดจำนวนการผลิตถ่านหินอย่างเดียวก็ทำให้คนนับไม่ถ้วนรู้สึกปวดหัวได้แล้ว
ยิ่งพวกคนงานที่ถูกเลิกจ้างและสภาพเศรษฐกิจในท้องถิ่นของมณฑลที่ผลิตถ่านหินแล้ว…
แค่คิดเรื่องปัญหาพวกนี้ หวังหยงผิงรู้สึกปวดหัว
แล้วก็ไม่ใช่แค่บริษัทที่ขุดพลังงานเท่านั้นที่มีการเปลี่ยนแปลง บริษัทระบบไฟฟ้า 2 บริษัทใหญ่และบริษัทสาธารณูปโภคไฟฟ้าอีก 5 บริษัทใหญ่ก็ได้รับหน้าที่เพิ่มตามงานของพวกเขาด้วยเช่นกัน
โดยสรุปแล้ว พวกเขาสร้างแผนเปลี่ยนแปลงราคาไฟฟ้าในครัวเรือนในขณะที่เอาการผลิตพลังงานฟิวชั่นมานับรวมด้วย
ซึ่งบริษัทไฟฟ้าก็ได้รับผลประโยชน์มากมายจากการประชุมครั้งนี้
ผ่านโปรเจกต์การเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าข้ามประเทศไปยังลาวและเมียนมาร์
ถ้าพวกเขาสามารถทำโปรเจกต์นี้ให้สำเร็จได้ ก็ไม่สำคัญหรอกว่าพวกเขาจะได้กำไรหรือเปล่า เพราะมันก็จะนับเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของการพัฒนาพลังงานเพื่ออนาคตของประเทศจีนอยู่แล้ว
ถ้าพวกเขาสามารถส่งออกพลังงานไปหาประเทศเพื่อนบ้านได้ ก็หมายความว่า ประเทศจีนจะมีอิทธิพลในประเทศเหล่านั้นมากขึ้น
หวังหยงผิงยอมรับว่าเขาอิจฉา
เขายังติดอยู่ที่เดิม
แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เขาแค่โชคไม่ดี
…
ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้นี้ มุมมองทางการเมืองของทั้งในประเทศจีนและของต่างประเทศก็จะต้องถูกเรียบเรียงใหม่ด้วยการเพิ่มเรื่องการพัฒนาการผลิตเรื่องนี้ลงไปด้วย
ซึ่งก็แน่นอนเหมือนปกติว่า จะต้องมีทั้งคนที่ชอบใจและคนที่เป็นกังวลกับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ชะตากรรมของแต่ละคนมักจะถูกละเลยในช่วงเวลาแบบนี้
ประวัติศาสตร์ไม่สามารถถูกย้อนเวลาได้ ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งไม่ให้มันก้าวไปข้างหน้าได้
บางที ทั้งปี 2020 อาจจะเป็นช่วงเวลาแห่งความโกลาหลก็ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร ลู่โจว ผู้ที่เป็นคนเปิดฉากยุคใหม่นี้ ก็มีช่วงเวลาที่ดีกว่าเดิมมาก
เขายังได้ออกทีวีด้วย
วันก่อนวันตรุษจีน สตูดิโอถ่ายทอดสดรายการแสงแห่งวิทยาศาสตร์ก็เต็มไปด้วยผู้คน
ลู่โจวเดินขึ้นไปบนเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือ เขายิ้มและโบกมือให้กับกลุ่มผู้ชม เขานั่งลงบนโซฟา
หลังจากเขานั่งลง เขาก็มองไปทางกลุ่มผู้ชมแบบผ่านๆ
คนพวกนี้ดูอายุน้อยกันมากๆ และส่วนใหญ่ก็เหมือนจะมาจากมหาวิทยาลัยในพื้นที่กันทั้งนั้น บางคนอาจจะมาจากโรงเรียนมัธยมปลายหรืออาจจะโรงเรียนมัธยมต้นเสียด้วยซ้ำ
กลุ่มผู้ชมทุกคนดูตื่นเต้นมาก และเสียงปรบมือของพวกเขาก็ฟังดูมีชีวิตชีวาขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถึงอย่างนั้น ลู่โจวก็ไม่แน่ใจนักว่าคนกลุ่มนี้เป็นนักแสดงที่ถูกทีมงานจ้างมาหรือเปล่า
เอิ่มมม…
ฉันจะแกล้งทำเหมือนพวกเขาไม่ใช่นักแสดงก็แล้วกัน
เหอหยิงนั่งอยู่ข้างลู่โจว เธอมองที่ชายหนุ่มแล้วก็ยิ้มออกมา
“ศาสตรจารย์ลู่ รู้สึกดีขึ้นบ้างไหมคะ?”
ลู่โจวยิ้มแล้วพยักหน้า “โดยพื้นฐานแล้ว ผมฟื้นตัวเรียบร้อยแล้วล่ะ ถ้าไม่อย่างนั้น ผมก็คงจะไม่ได้มานั่งคุยกับคุณวันนี้หรอกครับ”
กลุ่มผู้ชมหัวเราะเบาๆ
กล้องที่อยู่เหนือสตูดิโอถ่ายภาพโคลสอัปของลู่โจวให้กับกลุ่มผู้ชมดู
แผนกโปรดักชันหวังว่าพวกเขาจะสามารถใช้โอกาสนี้ในการสื่อให้สาธารณะและต่างประเทศรู้ว่าสุขภาพของลู่โจวกำลังดีขึ้น
ถึงแม้ลู่โจวจะไม่แน่ใจว่านี่เป็นเหตุผลเบื้องหลังของการสัมภาษณ์ครั้งนี้หรือเปล่า แต่เขาก็ยังตอบตกลงจะมารายการวันนี้
เพราะสุดท้าย เรื่องที่ว่าร่างกายของเขาฟื้นฟูเกือบหมดแล้วก็เป็นเรื่องจริง
เขารู้สึกผิด ยิ่งเมื่อได้รู้ว่ามีคนจำนวนมากที่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเขา
หลังจากคุยเล่นนิดหน่อยเพื่อคลายบรรยากาศ เหอหยิงก็ยิ้มแล้วพูดกับลู่โจวว่า “ก่อนที่จะเริ่มรายการ ฉันอยากจะถามคำถามที่ได้มาจากกลุ่มผู้ชมหน่อยน่ะค่ะ”
ลู่โจววางมือทั้งสองข้างไว้บนตัก เขาเอนตัวไปพิงโซฟาแล้วตอบว่า “ถามมาได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะพยายามตอบให้ดีที่สุด”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ศาสตราจารย์ลู่ คำถามพวกนี้ง่ายมากๆ เลยค่ะ” เหอหยิงมองไปที่การ์ดบนมือของเธอ แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “คำถามข้อแรกมาจากเพื่อนชาวเน็ตของเราคนหนึ่งในมณฑลเจียงซูค่ะ
เขาบรรยายความกังวลของเขาเรื่องผลกระทบของมลภาวะทางความร้อนที่เกิดจากฟิวชั่นที่ควบคุมได้มาค่ะ คุณคิดอย่างไรกับสิ่งที่เขาเล่ามาคะ?”
มีคนที่รู้เรื่องมลภาวะทางความร้อนด้วยเหรอ?
ลู่โจวเลิกคิ้วด้วยความสนใจ เขาไม่ได้คิดว่าจะเจอเรื่องนี้นะเนี่ย
เหมือนว่ากลุ่มผู้ชมของรายการนี้จะมีความรู้พอสมควรทีเดียว
อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้ถามว่าเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นจะระเบิดง่ายกว่าเครื่องปฏิกรณ์ฟิชชั่นหรือเปล่า
ลู่โจวคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ปัญหาภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาที่ค่อนข้างลึกนะครับ เราอย่าคุยเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดมลภาวะทางความร้อน แต่ลองคิดเรื่องนี้จากมุมมองทางวิทยาศาสตร์กันดีกว่า”
เหอหยิงทวนคำ “มุมมองทางวิทยาศาสตร์เหรอคะ?”
ลู่โจวอธิบาย “ใช่แล้วครับ กรอบการอ้างอิงคือหัวข้อในวิชาฟิสิกส์มัธยมปลาย เรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อมีคนศึกษาการเคลื่อนไหวของสิ่งที่เคลื่อนไหว คนคนนั้นจะต้องเลือกกรอบอ้างอิงที่เหมาะสม จากนั้นก็ศึกษาการเคลื่อนไหวที่ใกล้เคียงกับสิ่งของที่มีการศึกษากรอบอ้างอิงครับ
ยกตัวอย่างเช่น นักวิ่ง เมื่อเราพูดถึงความเร็วในการวิ่งของเขา เราจะไม่พูดว่าเขาก้าวเท้ากี่ก้าวหรือความเร็วในการแกว่งแขนของเขามีเท่าไร แต่เราจะมองเขาเป็นทั้งระบบและเปรียบเทียบความเร็วเขากับพื้นดิน พื้นดินถูกใช้เป็นระบบอ้างอิงที่เราสามารถคำนวณการกระจัดและค่าสัมพัทธ์จากจุดเริ่มต้นได้
สำหรับระบบที่ทั้งใหญ่และซับซ้อนอย่างโลกของเราแล้ว พวกเราไม่สามารถทิ้งการณ์ลักษณะใดได้เลยครับ พวกเราควรจะมองมันในภาพรวม ทั้งเชิงพื้นที่และเชิงเวลา
การพูดถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของพลังงานฟิวชั่นที่ควบคุมได้มีต่อโลกเป็นวิธีคิดที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ครับ
ไม่ว่าจะเป็นพลังงานความร้อนหรือพลังงานนิวเคลียร์ พวกมันก็ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทั้งนั้น หน่วยวัดที่ตัดสินคุณค่าของการผลิตในทางสังคมน่ะ ไม่ใช่ไฟฟ้าหรอกนะครับ แต่เป็นความจำเป็นกับความต้องการซื้อต่างหาก”
เหอหยิงทวนคำ “ความจำเป็นเหรอคะ?”
ลู่โจวพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถูกต้องแล้วครับ”
ฟิวชั่นที่ควบคุมได้จะเร่งการพัฒนาการผลิต แต่การผลิตจะหยุดพัฒนาเพราะไม่มีนิวเคลียร์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้อย่างนั้นน่ะเหรอ? ไม่อยู่แล้ว
ตราบใดที่ยังมีความจำเป็นต้องพัฒนา เมื่อเวลาผ่านไป ประเทศชาติก็จะเริ่มพัฒนาตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ความเร็วของการพัฒนาที่ว่านี้จะค่อนข้างช้ามาก และอุปสรรคที่พบก็จะเยอะตามมาเช่นกัน
กลุ่มผู้ชมเหมือนจะไม่เข้าใจสิ่งที่ลู่โจวกำลังพูด เขาจึงเปลี่ยนคำพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า
“ในสเกลเวลาอันสั้นนั้น เทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้จะสามารถชะลอภาวะโลกร้อนได้ครับ ประสิทธิภาพในการแปลงเป็นพลังงานของเทคโนโลยีความร้อนแบบก่อนหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 35% ซึ่งหมายความว่า ในการผลิตไฟฟ้า 1 หน่วย เราต้องใช้ถ่านหินเผาเอาความร้อนออกมา 2.85 หน่วย โดยความร้อนที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการจะสอดคล้องกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สกำมะดันในชั้นบรรยากาศของเราครับ
แต่ฟิวชั่นที่ควบคุมได้จะไม่มีปัญหาข้อนี้เลย เมื่อใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเฟอร์โรฟลูอิดที่อยู่ในเครื่องปฏิกรณ์สาธิต สตาร์-2 นั้น ประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานของเพิ่มเป็น 50% และยังสามารถพัฒนาได้เพิ่มขึ้นอีก ซึ่งหมายความว่า ในการผลิตไฟฟ้า 1 หน่วย พวกเราต้องใช้ความร้อนแค่ 2 หน่วยเท่านั้นครับ อีกทั้งยังไม่มีการปล่อยแก๊สเรือนกระจกด้วย
ประเทศจีนเป็นประเทศผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ที่หนึ่ง การใช้งานพลังงานไฟฟ้าของพวกเรามีค่าเป็นครึ่งหนึ่งของทั้งโลกครับ ถ้าพวกเราสามารถสร้างความแตกต่างได้ในการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ โลกทั้งโลกจะต้องทำตามเราครับ”
แล้วถ้าดูจากสเกลเวลาที่นานขึ้น คนเราก็จะต้องคิดมากกว่าแค่เรื่องพฤติกรรมมนุษย์ มีตัวแปรในระยะยาวอย่างอื่นอีกที่มีผลกระทบมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่น วัฏจักรแม่เหล็กสุริยะ
มีความเป็นไปได้สูงว่าดวงอาทิตย์จะเข้าสู่ช่วงต่ำสุดมอนเดอร์ ไปครึ่งทางในช่วงศตวรรษที่ 21 ความร้อนที่จะมาถึงโลกนั้นจะมีขนาด 0.3% ที่เล็กกว่าความร้อนสูงสุด
แล้ว 0.3% ที่ว่านี่หมายความว่าอะไร
ในประวัติศาสตร์ของอุตุนิยมวิทยาที่จู๋เข่อเจินบันทึกไว้ ยุคน้ำแข็ง 4 ครั้งในประวัติศาสตร์เป็นเพียงวัฏจักรพิเศษของชนชาติจีนเท่านั้น แล้วก็มีราชวงศ์จีนอยู่ 4 ราชวงศ์ อันได้แก่ ราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย ราชวงศ์ถังตอนปลาย ราชวงศ์หมิงตอนปลาย และราชวงศ์ชิงตอนต้น ดูอย่างราชวงศ์หมิงเป็นตัวอย่าง ถ้าตามบันทึกประวัติศาสตร์ว่าไว้ ทะเลสาบต้งถิงก็เคยมีรอยเท้าน้ำแข็งปรากฏอยู่บนนั้น แม่น้ำแยงซีเกียงก็เคยกลายเป็นน้ำแข็ง และดวงจันทร์ก็หายไป ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากวัฏจักรสุริยะอันทรงพลัง
ความร้อนที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์นั้นเป็นเพียงส่วนเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับสิ่งที่ดวงอาทิตย์ทำ
อย่างน้อยในตอนนี้ มนุษย์ก็ยังอยู่ในหนทางอีกยาวไกล กว่าจะสามารถเอาชนะดาวฤกษ์ได้
อย่างไรก็ตาม ลู่โจวไม่สามารถเล่าลงไปลึกขนาดนี้ในรายการได้ เนื่องจากเวลาของรายการทีวีนี้มีจำกัด…