ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 570 เศษซากชิ้นที่สาม
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 570 เศษซากชิ้นที่สาม
ตอนที่ 570 เศษซากชิ้นที่สาม
ณ เยอรมนี เมืองไกรฟ์วาลด์
ห้องแล็บเวนเดลสไตน์ 7-X
ศาสตราจารย์แคริเบอร์นั่งอยู่ที่โต๊ะ ในมือของเขาจับเมาส์ไว้ ระหว่างที่สายตากำลังจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในขณะที่เขาใช้เคอร์เซอร์คลิกแถบเวลาของวิดีโอหลายครั้ง เขาก็รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก
วิดีโอนั้นเป็นวิดีโอสัมภาษณ์ลู่โจวของรายการแสงแห่งวิทยาศาสตร์
รายการเพิ่งออกอากาศไปเมื่อคืนนี้เอง มีคนอัดรายการเอาไว้แล้วใส่ซับไตเติล แล้วก็อัปโหลดลงยูทูบ ตอนนี้ตัวคลิปมียอดวิวหลักล้านแล้ว
ยอดวิวหลักล้านในคลิปสัมภาษณ์วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่นับว่าน่าประทับใจมาก ยิ่งเมื่อคุณภาพของวิดีโอไม่ได้ดีมากนักด้วย มันชัดเจนแล้วว่าฟิวชั่นที่ควบคุมได้ที่เมื่อก่อนนี้ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับสาธารณะเลย ในตอนนี้กลับได้รับความสนใจในวงกว้าง
หลังจากแคริเบอร์เห็นวิดีโอนั้น เขาก็ดาวน์โหลดมันเก็บลงเครื่องทันที
เขาแตกต่างจากคนอื่นๆ
เขาไม่ได้สนใจแนวคิดของลู่โจวในเรื่องของพลังงานฟิวชั่นที่ควบคุมได้ หรือสนใจเรื่อง ‘ปัญหาทางเทคนิคในอนาคต’ ที่จะตามมากับฟิวชั่นที่ควบคุมได้ เขาสนใจอยู่เพียงสิ่งเดียว
นั่นคือความเห็นของลู่โจวต่อตัวเครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้!
เขาเพียงแค่ต้องการแรงบันดาลใจเล็กน้อย คำชี้นำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!
น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถหาสิ่งที่เขาต้องการเจอเลย
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงผู้ช่วยของเขา
“ศาสตราจารย์ครับ?”
ในระหว่างที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด ศาสตราจารย์แคริเบอร์เบือนหน้าออกจากจอแล้วหันไปทางผู้ช่วยของเขาที่กำลังนั่งอยู่ในออฟฟิศของเขา
“อะไรล่ะ ไพรซ์?”
“คุณจ้องวิดีโอนั่นมามากกว่า 1 ชั่วโมงแล้วนะครับ…” ไพรซ์ตกใจที่เห็นว่าศาสตราจารย์แคริเบอร์ดูเหนื่อยล้าแค่ไหน ตอนแรกเขาว่าจะมาเตือนแคริเบอร์ว่ามีอีเมลเข้ามาใหม่เท่านั้น แต่เมื่อเห็นสภาพของศาสตราจารย์ เขาจึงถามว่า “คุณจะให้ผมช่วยอะไรไหมครับ?”
“ไม่ต้องหรอก…เดี๋ยวก่อน เอากาแฟสักถ้วยมาให้ฉันหน่อย”
“ได้ครับ”
ไพรซ์ยืนขึ้นทันทีแล้วเดินออกไปจากออฟฟิศ
ศาสตราจารย์แคริเบอร์ยังคงจ้องชายหนุ่มในหน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อไป ใบหน้าของเขามีสีหน้าที่ซับซ้อน
การขับประเทศจีนออกจากกลุ่ม ITER ถือเป็นความผิดพลาด
นั่นเป็นความเห็นของเขามาตลอด
อย่างไรก็ตาม นักการเมืองพวกนั้นที่ตัดสินใจผิดๆ ก็ไม่มีทางอยากชดใช้การกระทำตัวเองหรือแม้แต่ยอมรับว่าตัวเองทำผิดอยู่แล้ว
หลักฐานเดียวที่บอกว่าพวกเขายอมรับผิดคือการเปลี่ยนทิศทางโฟกัสของทรัพยากรในการวิจัยไปทางโปรเจกต์เครื่องสเตลล่าร์เรเตอร์นี่แหละ
ตอนนี้ประเทศจีนได้พิสูจน์แล้วว่าวิธีทางเทคนิคนี้สามารถใช้ประโยชน์ได้ พวกเขาก็สามารถกำจัดวิธีทางเทคนิคอื่นๆ อย่างรีเวิร์สฟิลด์พินช์ อินเนอร์เชียลคอนไฟน์เมนต์ฟิวชั่นหรือโทคาแมก
พวกเขายังสามารถรวบรวมเรื่องนี้กับความช่วยเหลือจากชาวตะวันตกที่ก่อนหน้านี้ได้เข้าร่วมโปรเจกต์วิจัยเครื่องสเตลล่าร์เรเตอร์อีกด้วย ไม่ต้องพูดถึงว่าโปรเจกต์วิจัยวิทยาศาสตร์สเกลใหญ่แบบนี้ก็เก็บให้เป็นความลับโดยสมบูรณ์ได้ยากมากๆ อยู่แล้ว พวกเขามีวิธีในการเปิดเผยความลับออกมาได้
แน่นอนว่า ถึงแม้ประเทศจะตัดสินใจเพิ่มการลงทุน และมีศูนย์วิจัยมากขึ้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็จะรู้ดีว่าการที่จะประสบความสำเร็จแบบประเทศจีนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ศาสตราจารย์แคริเบอร์คาดการณ์ว่า ต่อให้ทั้งทวีปยุโรปลงทรัพยากรของพวกเขาไปกับห้องแล็บเวนเดลสไตน์ 7-X ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีในการทำโปรเจกต์เครื่องปฏิกรณ์สาธิตให้สำเร็จได้
และนั่นคือในกรณีที่ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีน่ะนะ
ถ้ามีบางอย่างขัดข้องล่ะก็…
อาจจะใช้เวลาถึงยี่สิบปีได้เลย…
เมื่อจะให้โปรเจกต์เดินหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ศาสตราจารย์แคริเบอร์จึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลู่โจวมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตั้งแต่การอ่านธีสิสของเขา ไปจนถึงการดูคลิปสัมภาษณ์เขา…ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำไป ก็เพื่อตามหาเศษเสี้ยวของแรงบันดาลใจ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ เขากำลังเสียเวลาเปล่า
ลู่โจวรู้เรื่องฟิวชั่นที่ควบคุมได้มากกว่าใครบนโลกนี้
ถ้าลู่โจวไม่อยากจะเปิดเผยความลับของพลังงานฟิวชั่นที่ควบคุมได้ออกมา ก็จะไม่มีทางที่โลกจะได้รู้ความลับพวกนั้น
บางทีหนทางเดียวก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากตัวลู่โจวเอง
แต่เขาก็รู้ดีว่าความเป็นไปได้ที่มันจะได้ผลนั้นค่อนข้างต่ำมาก…
‘ฉันต้องไปประเทศจีน…’ เขาพึมพำกับตัวเอง เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ออฟฟิศแล้วหยิบเสื้อโค้ตจากที่แขวนเสื้อมา จากนั้นเขาก็เดินออกไปจากห้องแล็บ
สองนาทีผ่านไป
ประตูออฟฟิศก็เปิดออก
ไพรซ์เดินเข้ามาพร้อมกับกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ เมื่อเขาเห็นออฟฟิศที่ว่างเปล่า เขาก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
“ศาสตราจารย์ครับ?”
เขาไปไหนของเขาเนี่ย?
เมื่อกี้ยังอยู่ที่นี่อยู่เลย
…
คืนก่อนวันตรุษจีน
โรงพยาบาล 301 เกือบจะร้างผู้คนแล้ว
ถึงแม้จะยังมีพยาบาลและผู้ป่วยจำนวนมากอยู่ในโรงพยาบาล แต่ตัวสถานที่ก็เงียบกว่าปกติ
ลู่โจวนอนอยู่ในห้องผู้ป่วย สายตาของเขาจับจ้องไปที่เพดาน เขากำลังคิดเรื่องปัญหาคณิตศาสตร์ยากๆ อยู่เพื่อฆ่าเวลา
เสี่ยวถงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไร้พนักข้างๆ เขา เธอกำลังเล่นโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก
พวกเขาทานอาหารร่วมกับครอบครัวไปเมื่อตอนบ่ายแล้ว หลังจากนั้น พ่อกับแม่ของลู่โจวก็ไปสถานี CTV
ผู้อำนวยการหลัวส่งตั๋วไปงานแสดงสดของงานตรุษจีนกาล่ามาให้พวกเขา โดยมีตั๋วอยู่ 5 ใบทั้งหมด นอกจากเอาให้คนในครอบครัวลู่โจวทั้ง 4 คนแล้ว ยังมีตั๋วให้เหยียนเหยียนอีกใบหนึ่งด้วย
แต่มีคนตัดสินใจใช้ตั๋วนั้นแค่ 2 จาก 5 คนเท่านั้น
อย่างแรกคือ ลู่โจวไม่ได้ชอบสถานที่ที่คนเยอะและเสียงดังนักอยู่แล้ว อย่างที่สองคือ เขาไม่สนใจงานตรุษจีนกาล่าเลย เสี่ยวถงก็รู้สึกแบบเดียวกัน เธอจึงอยู่ในโรงพยาบาลกับเขา
ส่วนเหยียนเหยียนก็ไปชมงานแสดงของงานตรุษจีนกาล่ามาตั้งแต่สมัยเด็ก ปัจจุบันเธอก็เลยเลิกสนใจงานนั้นแล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ลูกของเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงจะไปร่วมงานตรุษจีนกาล่า
ลู่โจวเริ่มรู้สึกเบื่อเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังมีตั๋วสุ่มชิงโชคอยู่ ดังนั้นเขาจึงกระซิบออกมาเบาๆ ว่า ‘ระบบ’
จิตใจของเขาเข้าไปอยู่ในห้องระบบสีขาวสะอาด
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากระเบียงทางเดิน
เฉินยู่ซานเคาะประตูห้องเบาๆ แล้วเดินเข้ามา
“สวัสดี!”
เธอไม่ได้อยากจะรบกวนลู่โจว จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเบา เธอโบกมือให้เสี่ยวถง
ดวงตาของเสี่ยวถงเป็นประกายเมื่อเห็นเฉินยู่ซาน เธอวางโทรศัพท์ลงในทันที แล้วกระโดดตัวออกจากเก้าอี้
“พี่สาว? ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ?”
เฉินยู่ซานทำท่า ‘ชู่ว’ อย่างระมัดระวังให้เสี่ยวถง พลางชี้ไปทางลู่โจว เธอชี้ไปหาถุงพลาสติกที่เธอกำลังถืออยู่แล้วพูดขึ้นว่า “ฉันเอาอาหารมาให้พวกเธอน่ะ”
ดวงตาของเสี่ยวถงเป็นประกายขณะพูดขึ้นว่า “โห เกี๊ยวเหรอเนี่ย พี่ทำเองเหรอคะ?”
เฉินยู่ซานพูดอย่างเจื่อนๆ ว่า “เอ่อ…จะบอกว่าพี่ทำครึ่งหนึ่งก็ได้มั้ง? หลักๆ แล้วย่าพี่เป็นคนช่วยพี่ทำน่ะ หวังว่าพวกเธอทั้งสองคนจะกินแล้วอร่อยนะ”
“มันต้องอร่อยอยู่แล้วค่ะ พี่หนูไม่ใช่คนเรื่องมากกับของกินอยู่แล้ว” จู่ๆ เสี่ยวถงก็คิดอะไรออกมาได้ เธอยิ้มแล้วพูดด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์ว่า “จะว่าไปแล้ว หมอเหยียนก็ทำเกี๊ยวเหมือนกันนะคะ เหมือนช่วงตรุษจีนนี้พี่หนูจะค่อนข้างป็อปเลยทีเดียว”
เฉินยู่ซานถามขึ้น “หมอเหยียนเหรอ?”
เสี่ยวถงพยักหน้าตอบ “ใช่ค่ะ! เป็นผู้หญิงที่คอยดูแลพี่ชายหนู โรงพยาบาลจัดงานทำเกี๊ยวขึ้นมา หมอเขาก็เลยไปร่วมงาน หมอบอกว่าเดี๋ยวหมอจะเอาเกี๊ยวมาให้พวกเราทีหลัง…เดี๋ยวหมอก็คงใกล้จะกลับมาแล้วล่ะค่ะ”
เฉินยู่ซานพยักหน้า
เธอได้ยินเรื่องของหมอเหยียนจากลู่โจวมาก่อนหน้าแล้ว และพ่อของเธอที่ทำงานอยู่ในรัฐบาลก็เคยพูดเรื่องหมอเหยียนให้เธอฟังเหมือนกัน
ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เธอรู้สึกเหมือนกระเพาะเธอกำลังปั่นป่วน
เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างหมอเหยียนกับลู่โจว
อย่างไรก็ตาม ถ้าเปรียบเทียบกับเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่สำคัญแล้ว เธอเป็นห่วงสุขภาพของลู่โจวมากกว่า
เฉินยู่ซานวางเกี๊ยวลงบนโต๊ะแล้วเดินไปยืนอยู่ข้างเตียง เธอนั่งลงบนเก้าอี้ไร้พนักและมองใบหน้าของลู่โจวโดยไม่ส่งเสียงออกมา
จะว่าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเคยเห็นลู่โจวนอนหลับ
ทำไมฉันรู้สึกว่า…
เวลานอนแล้วเขาดูไม่เหมือนเดิมเลยนะ
เหมือนกับลู่โจวสามารถสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังจ้องเขาอยู่
ดวงตาของเขาขยับอย่างช้าๆ และเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
ลู่โจวมองเฉินยู่ซานแล้วกระแอมเบาๆ
“คุณมาจ้องผมทำไมเนี่ย?”
เฉินยู่ซานหน้าแดงแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง
เธอก้าวเท้าถอยไปครึ่งก้าวแล้วกระแอมออกมาบ้าง
“อย่าเข้าใจผิดสิ ฉันไม่ได้ทำอะไรตอนนายนอนทั้งนั้นนั่นแหละ”
เสี่ยวถงยิ้มมุมปากและยกมือขึ้นมา “หนูยืนยันได้ค่ะ”
ลู่โจวมองน้องสาวของเขาที่รื่นเริงแล้วตัวเองก็ถอนหายใจ “ผมรู้น่า…ผมแค่นอนพักผ่อนนิดหน่อยน่ะ ไม่ได้หลับหรอก”
เขาไปสุ่มตั๋วชิงโชคของระบบมา
ถ้าตามประสบการณ์ก่อนหน้าของเขาแล้ว เขาสามารถรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวในโลกภายนอกได้ขณะที่เขาอยู่ในพื้นที่ระบบ
แต่เฉินยู่ซานทำให้สถานการณ์มันน่ากระอักกระอ่วนมากขึ้นไปอีกเมื่อเธอพยายามจะแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเอง
หลังจากที่รู้ว่าลู่โจวไม่ได้หลับเลย เฉินยู่ซานยิ่งรู้สึกอายกว่าเดิมเสียอีก
เธอหน้าแดงแล้วรีบกระแอมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“นายรู้สึกดีขึ้นไหม?”
“ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย” ลู่โจวบอก “ฉันไม่ได้เข้าห้องแล็บนานแล้ว เริ่มรู้สึกเหมือนสมองจะขึ้นสนิมเสียแล้วสิ”
เฉินยู่ซานไม่รู้ว่าทำไม แต่การมองลู่โจวนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยทำให้เธอรู้สึกแย่เล็กน้อย
ถึงแม้เธอจะอยากปลอบเขาสักหน่อย แต่ปากของเธอก็ไม่เปล่งเสียงคำพวกนั้นออกมาเลย
“ปู่ของฉันบอกให้ฉันเอาเกี๊ยวพวกนี้มาให้นายน่ะ”
ลู่โจวถาม “ปู่เหรอ?”
“ใช่…เขาเห็นข่าวนายแล้วก็สรรเสริญใหญ่เลยว่านายเป็นเสาหลักของประเทศเรา จากนั้น พอเขารู้ว่าพวกเรารู้จักกัน เขาก็ตกใจสุดๆ ไปเลย เขาพยายามโน้มน้าวให้ฉันมาที่นี่แล้วก็เอาอาหารมาให้นาย เขายังบอกให้ฉันขอบคุณนายที่อุทิศการวิจัยวิทยาศาสตร์ให้กับประเทศด้วย…”
เฉินยู่ซานมองไปรอบตัวอย่างเล่นๆ แล้วพูดขึ้นว่า “จะว่าไปแล้ว ที่นี่มีห้องครัวไหม? ทั้งนายกับเสี่ยวถงยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหมล่ะ? ในเมื่อนายกำลังเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากอยู่ ฉันจะช่วยนายทำเกี๊ยวให้กินแล้วกัน”
ดวงตาของเสี่ยวถงเป็นประกาย แล้วเธอก็ยกมือขึ้นมา
“หนูรู้ค่ะว่าห้องครัวอยู่ไหน!”
เธอคว้ามือเฉินยู่ซานไว้เหมือนเด็กซุกซน แล้วเดินออกไปจากห้องกับหญิงสาว
ลู่โจวยิ้มแล้วส่ายศีรษะ
หัวของเขากลับไปนอนบนหมอนนุ่มๆ อีกครั้ง แล้วเขาก็กลับไปจ้องเพดานต่อ เขาเริ่มคิดถึงรางวัลที่เขาเพิ่งได้มา
บางทีอาจจะเพราะความพยายามในการวิจัยวิทยาศาสตร์ที่แสนจะยากลำบากก็ได้ ที่ทำให้เขาค่อนข้างโชคดีเลยทีเดียว
ครั้งนี้เขาได้แจ็กพ็อตในรางวัลตั๋วชิงโชคด้วย
เศษซากชิ้นที่สามถูกวางทิ้งอยู่ในช่องเก็บของของเขา
ดูจากหน้าตาของเศษซากชิ้นนี้แล้ว มันดูเหมือนสิ่งที่น่าประทับใจมาก
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เขารู้สึกเหมือนตัวเองเข้าใกล้การเปิดเผยความลับของระบบเข้าเรื่อยๆ แล้ว