ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 684 ขอโทษนะคะ!
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 684 ขอโทษนะคะ!
พวกเขาไม่ได้คุยกันอีกในคืนนั้น
เช้าวันถัดมา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการดูงานภาคสนาม…
ตามแผนการเดินทางแล้ว กลุ่มของพวกเขาจะต้องไปชมทิวทัศน์ เยี่ยมชมเจดีย์ และเข้าชมศาลาทิเบต
แต่อาจารย์จากจินหลิงบางคนก็ไม่สนใจนัก ลู่โจวเคยมาที่นี่สองครั้งแล้ว เขาก็เลยไม่สนใจเหมือนกัน ดังนั้น เจ้าหน้าที่ที่เพิ่งมาใหม่บางคนและผู้ช่วยคนอื่นๆ จึงจัดกระเป๋าตั้งแต่เช้าตรู่แล้วออกเดินทางตามแผนของตัวเอง
ส่วนศาสตราจารย์วัยชราที่ไม่ได้วางแผนจะไปไหน พวกเขาก็เล่นไพ่กันอยู่ในเลานจ์ของโรงแรม
ที่ปรึกษาสาวที่เอาแต่คุยกับลู่โจวเมื่อวานได้เคาะประตูห้องลู่โจวตั้งแต่เช้าตรู่ เธอชวนเขาไปเยี่ยมชมเจดีย์ด้วยกัน แต่ลู่โจวไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเธอเลยไปชวนเพื่อนผู้หญิงของเธอแทน
ลู่โจวทานอาหารเช้านิดหน่อยแล้วเดินไปที่ห้องกิจกรรมของโรงแรม ในเมื่อหลัวเหวินเซวียนและคณบดีฉินก็อยู่ที่นี่กันทั้งคู่แล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจเล่นไพ่กัน
“คู่เอซ”
“ผ่าน ผ่าน!” หลัวเหวินเซวียนโบกมือและยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเขาเอาชนะคู่เอซของคณบดีฉินไม่ได้
คณบดีฉินยิ้มแล้วมองไปทางลู่โจว
“ดังนั้น นี่ก็ยังเป็นตาฉันอยู่…”
“ระเบิด”
“ระเบิด” ของโฟร์การ์ด ถูกทิ้งหงายหน้าบนโต๊ะ หลัวเหวินเซวียนเกือบจะถอยออกจากโซฟา
“บ้าเอ๊ย! คุณยังมีการ์ดดีๆ ซ่อนไว้อีกเหรอ”
ลู่โจวยิ้มแล้วไม่พูดอะไรต่อ เขาวางไพ่คู่แจ็กบนโต๊ะ แล้วตามด้วยไพ่ 10 อีกใบ
คณบดีฉินมองไพ่ตัวเองแล้วเลิกคิ้ว เขาถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผมไม่น่าทิ้งคู่ควีนเลย”
“บางทีถ้าคุณไม่ได้ทิ้งคู่ควีน ผมอาจจะเล่นอีกแบบก็ได้นะ”
“คุณรู้เหรอว่าผมถืออะไรบ้าง?”
“ดูจากมุมมองด้านความเป็นไปได้แล้ว ผมสามารถคำนวณโอกาสของการ์ดทุกใบบนมือของคุณได้นะ” ลู่โจวยิ้มขณะสับไพ่ “จริงๆ แล้วนี่ก็แค่เกมตัวเลขเท่านั้นเอง ผมชอบเล่นแบล็กแจ็กมากกว่า”
“ผมไม่เล่นแล้ว” หลัวเหวินเซวียนกล่าวขณะเอนหลังพิงโซฟา “ผู้ชายคนนี้จะเก่งเกินไปหน่อยมั้ง ที่พรินซ์ตันก็ไม่มีใครเอาชนะเขาได้เลย นับประสาอะไรกับที่นี่”
เขาแพ้ไป 12 รอบติดแล้ว สภาพจิตใจของเขาก็ระเบิดเรียบร้อย
เขาตัดสินใจว่าจะไม่เล่นไพ่กับผู้ได้รางวัลเหรียญฟิลด์อีกต่อไป
ลู่โจวมองหลัวเหวินเซวียนแล้วก็ยิ้มออกมา
“รอบสุดท้ายแล้วครับ เดี๋ยวผมเอาไพ่ในมือให้คุณดูนะ”
หลัวเหวินเซวียนเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาแล้วรีบโยนแบงก์ 100 ดอลลาร์ 2 ใบ ลงบนโต๊ะทันที เขาถูมือตัวเองด้วยรอยยิ้ม
“โอเค รอบนี้ต้องลงหนักๆ แล้ว”
ลู่โจว “…”
คณบดีฉิน “…”
ก่อนหน้านี้พวกเขาลงเงินกันแค่ไม่กี่หยวน แต่ตอนนี้กลับมีเงิน 200 หยวนวางอยู่บนโต๊ะ
…
สุดท้าย ลู่โจวก็ชนะอยู่ดี
ถึงแม้เทคนิคจะเป็นเรื่องหนึ่ง แต่โชคก็ยังมีส่วนเป็นอย่างมาก
และลู่โจวก็เป็นคนที่โชคดีอย่างไม่ต้องสงสัย
เขามีทั้งคู่โจ๊กเกอร์และตองเอซ โชคของเขาพุ่งทะลุหลังคาไปแล้ว ช่างเรื่องการเอาการ์ดให้คนอื่นดูเถอะ ต่อให้เล่นทั้งๆ ที่หลับตา เขาก็ชนะเกมนี้ได้ด้วยซ้ำ
ลู่โจวอยากจะเป็นฝ่ายแพ้และคืนชัยชนะของตัวเองกลับไปบ้าง แต่เหมือนดวงของหลัวเหวินเซวียนวันนี้จะไม่ดีนัก
ลู่โจวโบกแบงก์ในมือแล้วยืนขึ้น เขาปล่อยให้ผู้เฒ่าถังที่เพิ่งกลับมาจากสปามานั่งที่แทนเขา
ลู่โจวออกจากห้องกิจกรรมแล้วเดินออกไปนอกโรงแรม เขาว่ากำลังจะไปซื้อของใกล้ๆ ก็มีคนเรียกชื่อเขาพอดี
“รอก่อนค่ะ ศาสตราจารย์ลู่”
ลู่โจวหันหลังกลับไปและเห็นเด็กสาววัยรุ่นคนที่เขาพบเมื่อวาน เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาเขาในขณะที่มือก็ถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง
“เอ่อ เรื่องเมื่อวาน หนูขอโทษนะคะ…” เด็กสาวกล่าว ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่พื้น
ลู่โจวมองเด็กสาวแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
“ไม่เป็นไรหรอก ผมเข้าใจ”
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็มีแฟนคลับบนเว่ยป๋อเยอะอยู่แล้ว ก็จะต้องมีบางคนที่อิจฉารูปร่างหน้าตาของเขาอยู่เป็นธรรมดา
เมื่อพวกคนที่เอาแต่เกลียดเริ่มแสดงความคิดเห็นแล้ว คนมากมายก็จะหลั่งไหลเออออตามถึงแม้นั่นจะไม่ใช่ความคิดจริงๆ ของตัวเองก็ตาม ดังนั้นแล้ว ลู่โจวจึงไม่เคยคิดมากอะไรกับความคิดเห็นของคนพวกนั้นเลย
เด็กสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก และหยิบหนังสือวิชาคณิตศาสตร์พร้อมกับปากกาของเธอออกมา เธอยื่นมันให้เขาแล้วถามว่า “เอ่อ หนูอยากจะเข้าโรงเรียนมัธยมปลายชั้นนำในเมืองน่ะค่ะ…คุณช่วยเซ็นในหนังสือให้หนูได้ไหมคะ?”
“ได้เลย”
ลู่โจวหยิบปากกามาเซ็นชื่อตัวเอง
พอมาคิดดูแล้ว เขาก็รู้สึกว่าแค่เซ็นชื่อมันน้อยไปหน่อย สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการที่เขาเขียนคำหลายคำลงไปในนั้น แล้วจึงยื่นหนังสือคืนให้เด็กสาว
“การศึกษาคือใบเบิกทางสู่อนาคต สู่วันพรุ่งนี้ที่จะเป็นของคนที่เตรียมตัวในวันนี้”
เด็กสาวอ่านคำที่ลู่โจวเขียนอย่างเงียบๆ ทันใดนั้น เธอก็มองลู่โจวอย่างมีความสุขและพูดขึ้นว่า “ขอบคุณค่ะ! คุณลายมือสวยนะคะ”
ลู่โจวยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ตั้งใจเรียนนะ”
“ค่ะ! แน่นอนค่ะ”
เมื่อเด็กสาวกลับเข้าโรงแรม ลู่โจวก็หันหลังกลับและเริ่มเดินลงเขาไป แต่เขาก็บังเอิญเจอคนรู้จักอีกคน
“ศาสตราารย์ลู่! ฮ่าฮ่า บังเอิญจังเลยนะเนี่ยที่มาเจอคุณที่นี่
ใบหน้าของหลิววั่นซานเป็นสีแดงก่ำ ลู่โจวแปลกใจที่เจอเขา
“ผู้จัดการหลิว? บังเอิญจังนะครับ คุณก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอ?”
หลิววั่นซานยิ้มขณะจับมือลู่โจว
“ใช่แล้ว โลกนี้มันกลมจริงๆ ฉันพักอยู่ที่บ้านพักคนชราข้างๆ นี่เอง ฉันรู้จักร้านน้ำชาดีๆ แถวนี้นะ คุณอยากจะไปไหมล่ะ?”
ในเมื่อลู่โจวก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว เขาจึงพยักหน้าแล้วตอบว่า “ได้สิครับ คุณรู้ทางใช่ไหม?”
หลิววั่นซานยิ้มแล้วตอบ “ฮ่าฮ่า ต้องรู้สิ ที่นั่นไม่ได้หาง่ายเท่าไรนะ ตามผมมาสิ”
มันไม่ได้หายากอย่างที่ซีอีโอหลิวบอกไว้ ร้านน้ำชาอยู่ตรงระหว่างทางขึ้นไต่เขา มันเป็นร้านที่นักท่องเที่ยวใช้พักพร้อมกับชมวิวอันสวยงามของเพอร์เพิลเมาน์เทนไปพร้อมกัน และยังเป็นจุดถ่ายรูปที่ดีอีกด้วย
เมื่อทั้งสองคนหาที่นั่งเงียบสงบที่มีวิวดีได้แล้ว พวกเขาจึงนั่งลงพร้อมกับสั่งชา
“ธุรกิจคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ?”
“ไปได้ดีทีเดียวล่ะ ต้องขอบคุณคุณนะ!”
หลิววั่นซานจิบชาหลงจิ่งเพื่อให้คอชุ่มชื่นขึ้น เขายิ้มแล้วเริ่มคุยกับลู่โจวว่าบริษัทจ้งซานซินฉายเป็นอย่างไรบ้าง
ตั้งแต่สตาร์สกายเทคโนโลยีซื้อหุ้นของพวกเขาไป บริษัทจ้งซานซินฉายก็ได้รับความช่วยเหลือทางเทคนิคจากสตาร์สกายเทคโนโลยี ทำให้ลดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าสิทธิบัตรไปได้ บริษัทจ้งซานซินฉายโตขึ้นอย่างรวดเร็วในตลาดของจีน
ยิ่งหลังจากที่พวกเขาเพิ่งได้โรงงานแบตเตอรี่สองแห่งในพื้นที่และอัปเดตสายการผลิตแล้ว บริษัทจ้งซานซินฉายก็สามารถควบคุมสายการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมซัลเฟอร์ได้อย่างเต็มรูปแบบ พวกเขาได้รับออเดอร์มาจากบริษัทโทรศัพท์และยานพาหนะไฟฟ้าหลายแห่ง
เนื่องจากผลของเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้ ทำให้ตลาดแบตเตอรี่ของประเทศจีนทั้งหมดกำลังขยายตัว บริษัทจ้งซานซินฉายคือธุรกิจที่ทำกำไรได้ดีที่สุดของซีอีโอหลิว โดยทำได้มากกว่า 1 ล้านล้านหยวนต่อเดือน
อีกทั้งยังมีวัสดุตัวนำยวดยิ่ง SG-1 อีก ถึงแม้โอกาสที่จะถูกรัฐบาลออกกฎหมายควบคุมจะมีสูง แต่ชาวอเมริกันและชาวยุโรปก็พยายามสุดความสามารถที่จะเป็นเจ้าของชิ้นส่วนสิ่งที่จะนำกำไรมหาศาลมาให้พวกเขา
“แล้วคุณล่ะ? คุณยังวิจัยเรื่องการบินและอวกาศอยู่ไหม?”
ลู่โจวจิบชาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ก็ประมาณนั้นครับ”
หลิววั่นซานพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรอีก
หลังจากทำธุรกิจมานานหลายปี เขาก็รู้ดีว่าอะไรถามได้ และอะไรที่ถามไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าลู่โจวไม่อยากพูดเรื่องนี้ออกมา เขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“อ้อใช่ พูดถึงเรื่องแบตเตอรี่ มีงานประชุมอุตสาหกรรมรถพลังงานไฟฟ้าครั้งใหม่ที่จะจัดในอีกไม่กี่วันนี้นะ ได้ยินว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่องมาตรฐานร่วมกันของแบตเตอรี่อันใหม่ เจ้าหน้าที่ชั้นสูงจากกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศก็จะเข้าร่วมด้วย”
งานประชุมรถพลังงานไฟฟ้าเหรอ?
ภาพหลอดไฟปิ๊งขึ้นมาในหัวของลู่โจวทันที เขาจึงเอ่ยถามว่า “งานประชุมนี้จัดที่ไหนเหรอครับ?”
“จัดในจินหลิงนี่แหละ หืม คุณสนใจเหรอ?” หลิววั่นซานยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ก็ ถ้าคุณสนใจ ผมมีบัตรเชิญให้คุณนะ”
ลู่โจวยิ้มและพูด “ขอบคุณมากครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก! ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลย”
ทั้งสองนั่งดื่มชากันจนถึงตอนเที่ยง
ลู่โจวมองนาฬิกาและเห็นว่าบุฟเฟต์อาหารกลางวันของโรงแรมกำลังจะเริ่มแล้ว เขาจึงบอกลาหลิววั่นซานและออกจากร้านน้ำชา
ในระหว่างที่กำลังเดินกลับโรงแรม เขาก็รู้สึกว่ามีคนเดินตามมา เขาขมวดคิ้วและหันกลับไปดู แต่ก็ไม่พบอะไร
‘หลอนไปเองเหรอเรา?’
ลู่โจวมองไปข้างหน้าและเดินต่อไปทางโรงแรม
เมื่อเขามาถึงโรงแรม บุฟเฟต์ก็เริ่มขึ้นไปแล้ว
ลู่โจวบังเอิญเจอกับหวังเผิง เขาจึงนั่งตรงข้ามกับชายหนุ่ม
จู่ๆ ลู่โจวก็จำความรู้สึกแปลกๆ ตอนกำลังเดินกลับมาที่นี่ได้ เขาจึงถามหวังเผิง
“คุณรู้สึกว่ามีคนตามคุณมาเหรอครับ?” หวังเผิงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “อาจจะเป็นคนจากหน่วยทหารเสนาธิการของกองทัพก็ได้นะครับ?”
“ทหารเสนาธิการเหรอ?”
“ใช่ครับ มีหน่วยงานรักษาความปลอดภัยหลักๆ อยู่ 2 หน่วยที่ดูแลความปลอดภัยให้คุณ ผมมาจากฝั่งที่ดูแลความปลอดภัยของรัฐ แต่ผมไม่มั่นใจฝั่งของทหารเสนาธิการเหมือนกัน แต่คุณไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยหรอกครับ มีการเดินลาดตระเวนตรวจตราความปลอดภัยตั้งแต่คุณมาเยือนที่ภูเขานี้แล้ว ถ้าคุณยังกังวลอยู่ ผมสามารถติดต่อกับฝั่งทหารเสนาธิการได้”
ลู่โจวจึงบอกว่า “ผมว่าไม่จำเป็นหรอก ถ้าผมรู้ว่ามันจะวุ่นวายขนาดนี้ ผมคงไม่มาดูงานภาคสนามแต่แรกหรอก”
หวังเผิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เอาสิครับ พวกเราไม่อยากให้ชีวิตปกติของคุณได้รับผลกระทบไปด้วยนะ ทำตามที่คุณอยากทำเถอะครับ”
ยังไม่นับเรื่องที่ว่า…
ลู่โจวไม่เคยออกไปไหนเลย เขาเอาแต่อยู่ในห้องแล็บกับพวกคนแก่ๆ ตลอดทั้งวัน ถ้าเขาไม่ได้ออกไปไหนล่ะก็ เขาก็คงใช้ชีวิตทั้งชีวิตเป็นชายโสดแน่ๆ
ถ้าเป็นคนอื่น รัฐบาลก็คงไม่สนใจ
แต่กับชีวิตรักของลู่โจวนั้น…
ลู่โจวส่ายหัวและไม่พูดอะไร
เขาไม่ชอบทำให้คนอื่นเจอปัญหา เขาไม่ค่อยจะแจกจ่ายงานให้คนอื่นทำเท่าไร
อย่างไรก็ตาม ต่อให้เขาไม่อยากให้การรักษาความปลอดภัยตัวเขาพิเศษกว่าคนอื่น กระทรวงรักษาความปลอดความภัยของรัฐก็คงไม่เห็นด้วยกับเขาอยู่ดี เพราะไม่ว่าอย่างไร ความปลอดภัยของตัวเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของทั้งประเทศ
ทันใดนั้นเอง ลู่โจวก็มีไอเดียพิลึกพิลั่นผุดออกมา
ทำไมไม่หาบอดี้การ์ดที่เป็น ‘คนเหล็ก’ มาล่ะ?
ด้วยความสามารถปัจจุบันของเสี่ยวไอและพลังการผลิตของศูนย์รวบรวมกระสวยอวกาศแล้ว มันอาจจะเป็นไปได้
แต่เขาก็โยนไอเดียนี้ทิ้งอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวไอเป็นเหมือนลูกของเขา คนประเภทไหนกันที่จะยอมให้ลูกไปเป็นบอดี้การ์ดให้ตัวเอง
อีกอย่าง สมองของเสี่ยวไอก็เหมือนกับกระดาษว่างเปล่าแผ่นหนึ่ง ลู่โจวไม่อยากจะเติมเรื่องโหดร้ายทารุณลงไปในนั้น
ไม่อย่างนั้นแล้ว เสี่ยวไออาจจะกลายเป็นเอไอที่น่ากลัวมากอย่างรวดเร็ว
……………………………………………….