ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 710 ทะเลทรายในแอ่ง
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 710 ทะเลทรายในแอ่ง
สายลมส่งเสียงครวญไปตามแผ่นดินรกร้างไร้ขอบเขต เนินทราย และบ่อน้ำมันสองสามแห่งที่แทบจะมองไม่เห็น ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดๆ
รถจี๊ปทหารสีเหมือนทะเลทราย 2 คันแล่นอยู่บนทางหลวงที่ปกคลุมไปด้วยทราย คันหนึ่งอยู่ด้านหน้าของอีกคัน
นี่คือศูนย์กลางของแอ่งจุงการ์ ทะเลทรายซูโซตอยน์ เอลีเซ็น ทะเลทรายที่ใหญ่เป็นอันดับสองของจีน
จะไม่พบสิ่งมีชีวิตในที่แห่งนี้
ขณะที่หวังเผิงมองดูทางที่ห่างออกไป เขาก็หรี่ตาแล้วพูดอย่างร่าเริงว่า “วันนี้อากาศดีทีเดียว”
ลู่โจวพูดว่า “…แบบนี้คุณเรียกว่าอากาศดีเหรอ?”
“อย่างน้อยมันก็ไม่มีพายุทราย มันก็เลยค่อนข้างดี” หวังเผิงพูดขณะที่จับพวงมาลัยรถไว้ เขายิ้มให้ลู่โจว ผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง แล้วพูดว่า “คุณรู้ไหมว่า ซูโซตอยน์ เอลีเซ็น แปลว่าอะไร?”
ลู่โจวไม่ได้มีความรู้ด้านศิลปศาสตร์มากนัก ฉะนั้นเขาจึงถามว่า “มันหมายถึงอะไร?”
หวังเผิงตอบว่า “ในภาษามองโกเลีย มันแปลว่า ถูกหมูป่ารังควาน”
ลู่โจวมองออกไปนอกหน้าต่างรถแล้วพูดว่า “ทำไมตอนนี้ผมถึงไม่เห็นหมูป่าสักตัวเลย?”
ไม่ต้องพูดถึงหมูป่า แม้แต่แมลงสาบสักตัวเขาก็ยังไม่เห็น
มีแค่พุ่มของต้นคาเมลธอร์นและพวกกิ่งไม้ที่เกือบจะตายแล้ว
หวังเผิงพูดว่า “ความหมายนั้นมีที่มาจากอดีตที่ผ่านมานานแล้ว”
ลู่โจวพูดว่า “คุณรู้เยอะนะ”
หวังเผิงยิ้มและพูดว่า “ผมก็แค่เคยได้ยินเรื่องนี้จากคนอื่นน่ะ”
ผู้อำนวยการหลี่นั่งอยู่ที่เบาะหลังเช่นเดียวกับลู่โจว ใบหน้าของเขาถูกคลุมอย่างแน่นหนาด้วยผ้าพันคอทะเลทราย เขากระแอมแล้วพูดว่า “เราถึงที่นั่นรึยัง?”
หวังเผิงมองที่ระบบนำทางของรถแล้วพูดว่า “มันบอกว่าเหลืออีก 10 กิโลเมตร งั้นอีกไม่นานเราก็คงจะไปถึงที่นั่น”
ผู้อำนวยการหลี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ร่างกายของคนสูงอายุเช่นเขาไม่สามารถรับการเดินทางเช่นนี้นานๆ ได้
พวกเขาใช้เวลาทั้งวันในการนั่งรถไฟจากปักกิ่งไปยังอู๋ซี แล้วใช้เวลาอีกครึ่งวันในการเดินทางจากอู๋ซีมาที่ทะเลทรายแห่งนี้
จริงๆ แล้วลู่โจวก็ไม่เคยมาที่นี่ ถ้าเขาไม่ได้มีเรื่องสำคัญต้องทำ เขาก็คงยินดีที่จะใช้เวลามาพักร้อนที่นี่สักพัก อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่ใช่เวลาสำหรับการพักร้อน มีภาระงานวิจัยที่สำคัญมากรอเขาอยู่
รถจี๊ปนั้นขอยืมมาจากกองทัพส่วนท้องถิ่นในอู๋ซี หวังเผิงนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับรถ ดอกเตอร์เหยียนนั่งอยู่บนที่นั่งผู้โดยสาร ส่วนลู่โจวและผู้อำนวยการหลี่นั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง
รถจี๊ปคันข้างหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยพวกทหารจากกองร้อย 150 พวกทหารมาที่นี่เพื่อนำทางและคุ้มกันพวกเขา
แม้ว่าพื้นที่นี้จะอยู่ในชนบท แต่ก็ไม่ปลอดภัย
ไม่ใช่แค่หวังเผิงที่มีปืน QBZ-95 อยู่ข้างกายเขา แม้แต่เหยียนเหยียนก็ยังมีปืนพกด้วย
ลู่โจวอยากจะขอยืมปืนพกมาเล่นๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจเรื่องอาวุธ แต่เขาก็ยังคงอยากรู้อยากเห็น
อย่างไรก็ดี หวังเผิงก็ไม่ได้ให้เขายืม เขายืนกรานว่ามันอาจจะอันตรายเกินไปที่จะให้ลู่โจวถือปืน แต่เขาสัญญาว่าจะให้ลู่โจวเล่นปืนในตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่แถวนั้น
…
การเดินทางระยะ 10 กิโลเมตรของพวกเขาสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว
พวกเขาออกจากทางหลวงหลักและขับไปยังทะเลทรายหินจนกระทั่งพวกเขามาถึงจุดตั้งค่ายชั่วคราว
หวังเผิงตามรถจี๊ปคันนั้นไปถึงประตูใหญ่ จากนั้นเขาก็เปิดหน้าต่างแล้วหยิบหนังสือรับรองของเขาออกมา
หลังจากทหารที่ถือปืนตรวจสอบหนังสือรับรองของทุกคนแล้ว เขาก็ทำความเคารพก่อนจะชี้ไปยังทางที่เป็นด่านตรวจ หลังจากไม้กั้นรถถูกยกขึ้น รถจี๊ปทั้งสองคันก็แล่นเข้าไปด้านใน
ระหว่างทางไปยังศูนย์กลางของค่าย ลู่โจวมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นทหารกำลังลาดตระเวน เขาจึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “ทำไมการรักษาความปลอดภัยที่นี่เข้มงวดนัก?”
“ก็ต้องเข้มงวดแหละครับ” หวังเผิงกล่าวขณะที่ขับตามรถจี๊ปคันที่อยู่ข้างหน้าไป เขาจอดรถจี๊ปอย่างคล่องแคล่วแล้วดับเครื่องยนต์ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “การปล่อยยานที่จินหลิงดึงดูดความสนใจจากทั้งโลก สิ่งที่คุณเหวี่ยงออกไปจากวงโคจรระดับต่ำนั้นคนทั่วไปไม่สามารถจะมองเห็นได้ แต่มันไม่ได้หลุดรอดไปจากดาวเทียมและเรดาร์ คิดดูสิว่าของของคุณจะราคาเท่าไหร่ในตลาดมืด?”
“เท่าไหร่กัน?”
“สองร้อยล้าน”
“สองร้อยล้านเลยเหรอ?!”
ลู่โจวอดคิดไม่ได้
ให้ตายเถอะ…
มันแพงถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?
ทำไมไม่มีใครบอกฉันเลย?
ฉันคงจะทำเงินจากการขายมันได้มหาศาลในตลาดมืด
หวังเผิงไม่รู้ว่าลู่โจวกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาเห็นว่าลู่โจวประหลาดใจเพียงใดในตอนที่เขาลงจากรถ เขายิ้มและพูดว่า “นั่นเป็นหน่วยเงินดอลลาร์สหรัฐนะ”
“ใช่เลยครับ” ผู้ชายในชุดเครื่องแบบทหารพูดขึ้น เขาเดินไปที่รถจี๊ปแล้วยิ้ม เขาพูดต่อว่า “เมื่อวานเราจับคนร้ายที่ปลอมเป็นนักท่องเที่ยวได้จำนวนหนึ่ง”
ลู่โจวมองชายคนนั้นแล้วพูดว่า “มีคนมาที่นี่ด้วยเหรอครับ?”
“ใช่ เดาดูสิครับว่าเราเจออะไรในรถตู้ของพวกเขา?” ชายในชุดเครื่องแบบทหารยิ้มและแสดงท่าทางด้วยมือของเขา “เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี-7 สองเครื่อง พร้อมกระสุนอีกไม่น้อยเลย”
เหยียนเหยียนถามขึ้นตามคาด “ไม่มีใครบาดเจ็บใช่ไหมคะ?”
“ไม่มีแน่นอนครับ” ชายคนนั้นตอบ เขามองไปที่หวังเผิงแล้วกางแขนออก “ไม่ได้เจอกันนานเลย! นานมากแล้วตั้งแต่นายปลดประจำการ นายเป็นยังไงบ้าง?”
หวังเผิงกอดเพื่อนเก่าแล้วตบที่บ่าของเพื่อน เขาตอบว่า “ฉันสบายดี ฉันขาวขึ้นเยอะแล้วนะตอนนี้! ชีวิตนายดูดีมากเลยตลอดสี่ปีหลังมานี้ แถมนายก็ยังได้เป็นผู้บัญชาการกองพันแล้วด้วย”
ลู่โจวไม่ได้สนใจการพูดคุยเล็กน้อยนี้สักเท่าไหร่นัก ดังนั้นเขาจึงมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “ของสิ่งนั้นอยู่ที่ไหนครับ?”
“อยู่ตรงกลางค่ายครับ ผมจะพาพวกคุณไปที่นั่น” ผู้บัญชาการกองพันหลี่ยิ้มให้ลู่โจวและยื่นมือออกมา เขาพูดว่า “ผมขอแนะนำตัวเอง ผม หลี่เกาเหลียง”
ลู่โจวจับมือทักทายผู้บัญชาการกองพันหลี่แล้วพูดว่า “ลู่โจวครับ คุณเรียกผมว่า ศาสตราจารย์ลู่ ก็ได้”
“ผมรู้ เราทุกคนดูข่าวตอนวันปีใหม่ และผมก็เห็นคุณในทีวีด้วยเมื่อไม่กี่วันก่อน” ผู้บัญชาการกองพันหลี่ยิ้มและพูดว่า “บนอวกาศเป็นยังไงบ้าง? สนุกไหมครับ?”
“มันน่าสนใจมากเลยทีเดียว”
ผู้บัญชาการกองพันหลี่เป็นบุคคลที่น่าสนใจ แม้ว่าเขาจะอยู่ในกองทัพมาเป็นเวลานาน แต่เขาก็เป็นคนที่คุยด้วยได้ง่าย พวกเขาคุยเล่นกันระหว่างที่พูดคุย ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็มาถึงศูนย์กลางของค่าย
ที่ศูนย์กลางของค่าย มีการทำรั้วกั้นเนินทราย บนเนินทรายด้านตะวันตกนี้มี ‘หีบเหล็ก’ สูงประมาณ 2.5 เมตรตั้งอยู่
ร่มชูชีพ 4 ชุดซึ่งมีขนาดต่างๆ กัน วางนิ่งอยู่ข้างหีบเหล็กนั้น กองทัพพยายามจะไม่สัมผัสหีบเหล็ก แต่เพื่อที่จะสกัดกั้นไม่ให้มันปลิวไปด้วยพายุทราย กองทัพจึงต้องวางวัตถุที่มีน้ำหนักคงที่ไว้เพื่อไม่ให้มันโอนเอน
หวังเผิงมองที่วัตถุประหลาดนี้แล้วพูดพึมพำว่า “นี่คืออะไร…”
ลู่โจวยิ้มแล้วตอบว่า “ไลท์นิ่ง…แคปซูลหลบหนี จำได้ไหมตอนที่ผมพูดถึงเรื่องกระโดดร่มที่ความสูงระดับพันกิโลเมตร? สิ่งนี้ทำให้มันเป็นไปได้”
…………………………………………