ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 816 คลาสแห่งผู้เยาว์
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 816 คลาสแห่งผู้เยาว์
เมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของมหาวิทยาลัยจินหลิง ลู่โจวเองมีปฏิกิริยาน้อยกว่าเยอะกับผลการคัดเลือก
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับนักวิชาการที่พยายามมาทั้งชีวิตเพื่อได้ตำแหน่งนักวิชาการ ตำแหน่งนี้ไม่ได้นำสิ่งที่พิเศษอะไรมาให้เขา
ดังนั้น ตอนที่ลู่โจวรู้ว่าเขาถูกคัดเลือก เขาไม่ได้รู้สึกอะไร เขากลับรู้สึกนิ่งเฉย
การสนับสนุนและทรัพยากรที่เขาเข้าถึงได้นั้นมากกว่าสิ่งที่นักวิชาการทั่วไปนั้นมี
ณ มหาวิทยาลัยจินหลิง
ในออฟฟิศอาคารคณิตศาสตร์
ลู่โจวต้องรับมือกับธีสิสของนักศึกษา เขาจึงหาเวลาว่างมาที่มหาวิทยาลัยจินหลิง เมื่อเขาเข้าออฟฟิศเป็นครั้งแรก เขารู้สึกตะลึงกับความเละเทะ
เขาไม่อยู่แค่หนึ่งสัปดาห์ เขาไม่รู้ว่าทำไมออฟฟิศของเขากลายเป็นห้องเก็บของ
เมื่อหลินอวี่เซียงเห็นลู่โจว ตาของเธอเป็นประกาย และเธอลุกขึ้นจากโต๊ะตัวเองทันที
“ศาสตราจารย์ คุณกลับมาแล้ว มีคนมองหาคุณนับไม่ถ้วนเลย”
ลู่โจวมองดูต้นกระบองเพชรสูงหนึ่งเมตรแถวกำแพงและอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ของสิ่งนี้มาจากไหนเหรอ?”
หลินอวี่เซียงมองดูต้นกระบองเพชรแล้วตอบว่า “โอ้ ศาสตราจารย์จางจากภาคฟิสิกส์ส่งมาให้ เขาฝากฉันมาทักทายคุณ แล้วเขาอวยพรให้เส้นทางวิชาการของคุณก้าวหน้าต่อไป”
มันไม่มีอะไรที่แย่ในคำอวยพรนี้ แต่มันฟังดูแปลกสำหรับลู่โจว
“…ครั้งที่หน้าที่เจอศาสตราจารย์จาง ขอบคุณเขาด้วย” ลู่โจวเห็นขวดสุญญากาศบนโต๊ะแล้วถามว่า “แล้วอันนี้มาจากไหน?”
เขารู้สึกว่าเคยเห็นมันมาก่อน แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน หลินอวี่เซียงลุกขึ้นยืนและพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ศาสตราจารย์ถังให้คุณมาไง!”
ลู่โจวนึกออกในที่สุดว่าเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน
“เขาไม่ได้ให้ขวดของตัวเองมาใช่ไหม?”
มันดูเป็นของขวัญค่อนข้างแย่อยู่นะจริงไหม?
“ทำไมคุณพูดแบบนั้น คนแบบไหนจะให้แก้วที่ใช้แล้ว? แก้วใบนี้น่าจะเป็นโมเดลรุ่นเดียวกับแก้วที่เขาใช้” หลินอวี่เซียงยิ้มและพูดว่า “ตอนที่เขาให้แก้วกับคุณ เขาฝากฉันให้บอกคุณว่าระวังสุขภาพด้วย เขาบอกให้คุณเลิกดื่มกาแฟและดื่มน้ำอุ่นให้มากขึ้น”
ลู่โจวรู้สึกอบอุ่นที่ข้างใน
เขารู้จักศาสตราจารย์หลายคนที่มหาวิทยาลัยจินหลิง แต่ศาสตราจารย์ถังเป็นห่วงเขามากที่สุด
ลู่โจวรู้สึกซาบซึ้งบุญคุณมาตลอดกับศาสตราจารย์ที่สอนพื้นฐานคณิตศาสตร์ให้กับเขา ถึงแม้ว่าศาสตราจารย์ถังจะไม่ได้ช่วยเขาด้านวิชาการเยอะมาก ศาสตราจารย์ถังได้สอนเขาหลายเรื่องนอกจากด้านวิชาการ
ดังนั้น ลู่โจวไปเยี่ยมชายชราที่บ้านทุกช่วงปีใหม่
ในเมื่อลู่โจวไม่ได้พูดอะไร หลินอวี่เซียงกะพริบตาและถามว่า “คุณอยากดื่มน้ำร้อนหน่อยไหม?”
ลู่โจวยิ้มแล้วส่ายหน้า เขาหยิบขวดน้ำสุญญากาศขึ้นมาและพูดว่า
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ ทำบันทึกของขวัญในสเปรดชีตเอ็กเซลและส่งมาที่อีเมลของผม สำหรับของขวัญที่ราคาสูงกว่า 500 หยวน ส่งคืนคนให้ด้วย ส่วนของขวัญที่เหลือ ก็เอาไปเก็บที่อื่น พวกมันกินพื้นที่มากไป”
“โอเคค่ะ!” ผู้ช่วยหลินยกมือขึ้นและทำท่าเคารพระหว่างที่พูดว่า “รับทราบค่ะ”
ลู่โจวนั่งลงที่โต๊ะและเปิดลิ้นชัก เขาหยิบกองธีสิสออกมาแล้วอ่านงานชิ้นแรกอย่างละเอียดถี่ถ้วน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ธีสิสปริญญาโท เขาก็มีมาตรฐานสูงสำหรับนักศึกษา
ท้ายที่สุดแล้ว เขาจะไม่ปล่อยให้นักศึกษาเรียนจบด้วยธีสิสห่วยแตก
อย่างน้อยพวกเขาต้องเขียนธีสิสที่พอใช้ได้ออกมา
มันเป็นประโยชน์ต่อทั้งลู่โจวและตัวนักศึกษาเอง
ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง
ลู่โจววางปากกาลงและพูดขึ้น
“เข้ามาได้”
ประตูออฟฟิศถูกเปิดออก ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยจินหลิง ท่านนักวิชาการสวี่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
“ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านนักวิชาการลู่! ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป คุณเป็นนักวิชาการที่ถูกแต่งตั้งที่อายุน้อยที่สุดในมหาวิทยาลัยจินหลิง ผมแน่ใจว่าคงอีกนานกว่าจะมีคนมาล้มสถิติของคุณได้”
“ไม่มีใครรู้หรอกครับ เรามีคนจำนวนมากที่อายุน้อยและมากความสามารถ บางทีอาจจะมีนักวิชาการที่ดีกว่าผมในอนาคตก็ได้” ลู่โจวยิ้มและลุกขึ้นยืน เขาทำท่าทีเชื้อเชิญและพูดว่า “เชิญนั่งลงครับ”
“โอ้ ขอบคุณมาก”
ทั้งสองนั่งลงที่โซฟา
หลินอวี่เซียงเดินมาพร้อมกับชาที่เพิ่งต้มเสร็จ และเธอเทชาให้พวกเขาคนละแก้ว
อาจารย์ใหญ่สวี่มองดูควันที่ลอยขึ้นและยิ้ม
“ผมมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับคุณสำหรับการได้คัดเลือกสองตำแหน่งนักวิชาการ แล้วผมก็มีเรื่องที่อยากได้ความเห็นจากคุณด้วย”
ลู่โจวยิ้มและพูดว่า “คุณช่างเกรงใจจริงๆ ถ้าผมสามารถช่วยอะไรคุณได้ บอกผมมาได้เลย”
“มันไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก แต่งานที่คุณทำส่งผลต่ออนาคตของประเทศเรา ผมไม่อยากให้มหาวิทยาลัยจินหลิงทำให้งานของคุณล่าช้าหรือไม่งั้นผมจะต้องขอโทษต่อประเทศชาติ!”
อาจารย์ใหญ่สวี่ยิ้มให้ลู่โจวและพูดต่อ “เรื่องมีอยู่ว่า ไม่นานมานี้ กระทรวงศึกษาธิการได้มาเยี่ยมมหาวิทยาลัยจินหลิง ผมได้คุยกับผู้อำนวยการกระทรวงศึกษาธิการและเราเห็นว่าระบบการศึกษาปัจจุบันยังพัฒนาได้อีกมาก ดังนั้น เราวางแผนที่จะเพิ่มคลาสเร่งรัดสำหรับสาขาอย่างฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ ด้วยวิธีนี้ เราสามารถโฟกัสการฝึกฝนนักศึกษาที่มีความสามารถได้!”
ลู่โจวพยักหน้าให้อาจารย์ใหญ่สวี่และพูดว่า “เราควรจริงจังกับการศึกษาปริญญาตรีมากขึ้น นักวิชาการมักเข้าสู่โลกของวิชาการในช่วงปริญญาตรี แต่เราก็ไม่ควรทำเกินไป ไม่เช่นนั้น นักศึกษาจะหมดความสนใจเพราะภาระที่เพิ่มขึ้น”
อาจารย์ใหญ่สวี่พยักหน้าและพูดว่า “ผมเข้าใจ มันเลยเป็นเหตุผลที่เราเริ่มคลาสทดลอง ถ้าการทดลองไม่ประสบความสำเร็จ เราจะประเมินแผนการใหม่อีกครั้ง!”
“ผมว่ามันเป็นแผนที่ดี” ลู่โจวยิ้มและตอบว่า “แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะช่วยได้อย่างไร”
อาจารย์ใหญ่สวี่ยิ้มและพูดว่า “คุณช่วยได้แน่นอน คุณเป็นแบบอย่างสำหรับนักศึกษาด้านคณิตศาสตร์ของเรา! ผมได้ยินมาว่ามีหลายคนบูชาที่นั่งประจำของคุณในห้องสมุด!”
ลู่โจวกระแอมและพูดขึ้นว่า “คุณก็พูดเกินไป นักศึกษาพวกนี้เล่นใหญ่ไปงั้น”
“พวกเขาไม่ได้ล้อเล่นกัน ผมพูดจริง” อาจารย์ใหญ่สวี่โบกไม้โบกมือและพูดอย่างเคร่งขรึมกับลู่โจว “การเรียนปริญญาตรีเป็นเรื่องที่คนแก่อย่างเราไม่คุ้นเคยอีกต่อไป เราโตมาในคนละยุค”
“ผมหวังว่าคุณจะเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาสำหรับคลาสทดลองได้นะ มันจะใช้เวลาไม่มากไป และคุณเพียงแค่ให้ความคิดเห็นที่มีค่ากับพวกเรา”
ถ้าเป็นแต่ก่อน ลู่โจวคงไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
แต่ตอนนี้เขารู้ว่าอาจารย์ใหญ่สวี่กำลังขออะไรจากเขา กระทรวงศึกษาธิการน่าจะอยากให้ลู่โจวมีชื่อในโครงการเพื่อที่จะทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนอนุมัติโครงการนี้ได้ง่ายขึ้น
ถึงเขาจะรู้ว่ามันเป็นแบบนี้ ลู่โจวไม่ได้พูดอะไร
เรื่องที่ไหว้วานนี้เป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับเขา มหาวิทยาลัยจินหลิง ในฐานะสถาบันเก่าของเขา ได้ช่วยเขาทั้งในด้านวิชาการและด้านอื่นๆ เขาควรทำอะไรตอบแทนบ้าง
แล้วสิ่งนี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษามหาวิทยาลัยจินหลิง
ลู่โจวยิ้มและพูดว่า “ง่ายเลยครับ ผมยินดีที่จะเป็นหัวหน้าที่ปรึกษา”
อาจารย์ใหญ่สวี่ยิ้มกว้าง
“นักศึกษามหาวิทยาลัยจินหลิงจะซาบซึ้ง ท่านเทพลู่”
ลู่โจวเกือบสำลักน้ำชาและเขาพูดว่า “ฮ่าๆ อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ แค่นักศึกษาเรียกผมแบบนั้นก็แปลกพอแล้ว”
อาจารย์ใหญ่สวี่และพูดขึ้น “ฮ่าๆ โอเค…ส่วนสำหรับคลาสทดลอง เรามีแผนจะตั้งชื่อมันว่าคลาสโนเบล คุณคิดว่ามันเป็นยังไง?”
ลู่โจวคิดอยู่สักพักและส่ายหน้า
“ผมไม่คิดว่ามันเหมาะสมนะ”
“ทำไม?” อาจารย์ใหญ่สวี่ขมวดคิ้วและถามว่า “ทำไมล่ะ”
“รางวัลโนเบลเป็นเป้าหมายที่นักวิชาการวัยเยาว์ควรจะสู้ให้ถึง แต่มันก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของงานวิชาการ เราว่าแผนที่จะใช้คลาสนี้ฝึกฝนผู้มีความสามารถด้านวิชาการ ผมจึงไม่คิดว่านักศึกษาควรถูกล้างเสมอให้คิดว่ารางวัลโนเบลคือเป้าหมายสูงสุด” ลู่โจวครุ่นคิดอยู่สักพักและพูดต่อ “ท้ายที่สุดแล้ว ผมไม่ได้ตัดสินใจเป็นนักวิชาการเพราะรางวัลโนเบลหรือเหรียญฟิลด์ มันมีอีกหลายเรื่องที่สำคัญมากกว่า”
อาจารย์ใหญ่สวี่ถาม “งั้นคุณคิดว่าเราควรเรียกคลาสนี้ว่าอะไรล่ะ?”
ลู่โจวคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“นักวิชาการวัยเยาว์คืออนาคตของประเทศชาติ พวกเขาจะเป็นผู้นำในทศวรรษต่อไป
ผมคิดว่าเราน่าจะบ่มเพาะนักวิชาการพวกนี้โดยการเพาะเมล็ดพันธุ์ลงในใจแต่ละคน หลังจากที่เมล็ดพันธุ์เติบโต พวกเขาจะโตไปเป็นคนที่มีประโยชน์ในด้านวิชาการ อารยธรรม และสังคม!
“ดังนั้น ผมคิดว่าคลาสนี้น่าจะมีชื่อว่าคลาสแห่งผู้เยาว์!”
หลังจากได้ยินคำของลู่โจว อาจารย์ใหญ่สวี่นิ่งไปชั่วครู่
ผ่านไปสักพัก เขาก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า
“นี่คือสาเหตุที่ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
เขาตบเข่าและพยักหน้า
“งั้นเราจะเรียกมันว่าคลาสแห่งผู้เยาว์!”