ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 869 ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 869 ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม
น้ำเสียงนั้นไม่ใช่แค่ฟังดูลำบากใจ แต่มันยังแฝงไปด้วยความสิ้นหวัง
จู่ๆ ลู่โจวก็จำได้ว่าคนคนนี้คือใคร
“โอ้ ซีอีโอหวัง สวัสดีครับ…มีอะไรหรือเปล่า คุณโทรหาผมมีอะไรเหรอครับ”
หวังเจิ้งเฟย “???”
หมายความว่าอย่างไรมีอะไรหรือเปล่า
สามวันก่อนคุณยังบอกเองว่าเราควรคุยกัน คุณลืมไปแล้วหรือไง
ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงวางสายไปแล้ว
แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น…
เขาปลอบใจตัวเองว่านักวิชาการลู่คงยุ่งอยู่กับงานวิจัยและศาสตราจารย์ลู่ก็คงไม่ได้ตั้งใจยั่วโมโหเขา…
หวังเจิ้งเฟยรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย เขากระแอมและพูดอย่างสุภาพ
“ศาสตราจารย์ลู่ คืออย่างนี้นะครับ เราเจอกันที่การรายงานเมื่อสามวันก่อนใช่ไหม เราคุยกันว่าเราจะนัดทานอาหารกันที่โรงแรมเพอร์เพิล เมาน์เทน แต่ถ้าคุณยุ่งมากเราเลื่อนวันนัดหมายก็ได้นะ”
เรานัดกันเหรอ
แล้วลู่โจวก็จำได้ว่ามันเกิดขึ้นอย่างชัดเจน
ไม่เพียงแค่นั้นเขายังจำได้อีกว่าเป็นตัวเขาเองที่เสนอให้นัดทานอาหารที่โรงแรมเพอร์เพิล เมาน์เทน
“โอ้ ขอโทษนะครับ ผมค่อนข้างยุ่ง…” ลู่โจวกระแอมและพูด “ตอนนี้คุณอยู่ไหน”
หวังเจิ้งเฟย “ผมอยู่ที่โรงแรมเพอร์เพิล เมาน์เทน”
อยู่ที่นั่นแล้วเหรอ
“โอเคครับ รอผมสักสิบนาที ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ”
หลังจากนั้นลู่โจววางสายโทรศัพท์
จริงๆ แล้วลู่โจวไม่ได้อยากจะคุยกับผู้บริหารอุตสาหกรรมพวกนี้เท่าไหร่นัก เพราะเขาเป็นคนไม่ค่อยมีอีคิวสูง อีกอย่างคนพวกนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีประโยชน์กับเขา
เงินเหรอ
เงินเป็นเพียงแค่ตัวเลขสำหรับเขา
ชื่อเสียงทางวิชาการของเขาโด่งดังมากกว่าแค่นักวิชาการทั่วไป ไม่เหมือนศาสตราจารย์คนอื่นๆ เขาอยู่ในระดับที่สามารถช่วยรัฐบาลในการตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ที่สามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้
ส่วนโปรเจกต์ถูกๆ เขาจะใช้เงินของตัวเอง และถ้าเขาเกิดมีเงินไม่พอ เขาก็จะขอให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนช่วยสนับสนุน
สตาร์สกายเทคโนโลยีมีงบกระแสเงินสดที่มั่นคงและสิทธิบัตรที่สมบูรณ์ ยังไม่รวมถึงที่ลู่โจวมีหุ้นกับอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้และสินทรัพย์อีกหลายอย่าง บริษัทเดียวที่ได้ผลประโยชน์มากกว่าสตาร์สกายเทคโนโลยีก็คือธนาคารและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
แต่ว่าครั้งนี้ลู่โจวเปลี่ยนใจและเลือกที่จะคุยกับซีอีโอหวังจากหัวเหว่ย
แม้ว่าสตาร์สกายเทคโนโลยีจะมีประสิทธิภาพทางการวิจัยและการพัฒนา แต่มันก็ยังมีจุดอ่อนอยู่ซึ่งก็คืออุตสาหกรรมการผลิต
สำหรับเทคโนโลยีฟิวชั่นควบคุมได้พวกเขาร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนและโปรเจกต์การบินและอวกาศ พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทการบินและอวกาศสองบริษัท โดยส่วนใหญ่แล้วสตาร์สกายเทคโนโลยีจะเป็นสมองที่อยู่เบื้องหลังโปรเจกต์ทั้งหมด แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาต้องการเปลี่ยนงานวิจัยเป็นผลิตภัณฑ์พวกเขาจะต้องบุคคลภายนอกเข้ามาผลิต
แน่นอนว่าจากมุมมองทางเศรษฐกิจแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่จุดอ่อน แต่เป็นข้อได้เปรียบมากกว่า
แทนที่จะทำทุกอย่างเองหมดสตาร์สกายเทคโนโลยีควรจะสนใจกับสิ่งที่สามารถทำได้ดีที่สุดมากกว่า นั่นยังไม่รวมถึงสิทธิบัตรที่ถือครองโดยสถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงก็มากเพียงพอที่จะทำให้สตาร์สกายเทคโนโลยีกลายเป็นยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรม นั่นคือสิ่งที่เฉินยู่ซานเคยพูด
แต่สิ่งที่ลู่โจวสนใจไม่ใช่เงิน
ตัวเลขในบัญชีธนาคารไม่มีความหมายอะไรกับเขา สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าก็คือการเปิดเผยความลับที่อยู่เบื้องหลังระบบไฮเทค ชิปคาร์บอนคือกุญแจสู่อนาคต ไม่ว่ามันจะทำให้ภารกิจควบคุมโลกและพระจันทร์หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ต้องชะงัก แต่มันเป็นวิธีเดียวที่เขาสามารถเปิดเผยความลับที่อยู่เบื้องหลังระบบนี้
ถ้าเป็นไปได้เขาต้องการควบคุมห่วงโซ่อุตสาหกรรมด้วยตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ต้องใช้ในการเพิ่มระดับเสี่ยวไอขึ้นเป็นระดับสี่คือการสะสมข้อมูลมากเพียงพอจากกิจกรรมของมนุษย์
แต่คำว่ามากเพียงพอมันไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่เพราะสำหรับเขาแล้วมันหมายถึงมหาศาลมากกว่า
ตอนนี้สตาร์สกายเทคโนโลยีต้องการเข้าร่วมวงการชิปคอมพิวเตอร์ พวกเขาจะต้องหาคนที่เหมาะสมในการแปลงเทคโนโลยีเป็นผลิตภัณฑ์ วิธีนี้จะช่วยให้เข้าครอบครองและเป็นผู้นำในตลาด
และสิ่งที่โชคดีก็คือประเทศจีนเก่งเรื่องการผลิต
…
มีสถานที่เพียงไม่กี่ที่ใกล้ๆ เพอร์เพิล เมาน์เทนที่มีวิวสวยๆ และมีรถโดยสารผ่าน ชุมชนจงซาน อินเตอร์เนชั่นแนลเป็นหนึ่งในนั้น และโรงแรมเพอร์เพิล เมาน์เทนก็เป็นอีกที่หนึ่ง ทั้งสองที่ห่างกันเพียงหนึ่งกิโลเมตร
ก่อนที่ลู่โจวจะออกจากห้องทำงาน เขาโทรหาหวังเผิงและบอกให้เขาไปเอารถ เขาเปลี่ยนชุดและเดินออกจากบ้าน
รถคันสีม่วงสดจอดรออยู่ตรงประตูหน้า
ลู่โจวขึ้นรถและพูด “ไปโรงแรมเพอร์เพิล เมาน์เทน”
“โอเคครับ”
หวังเผิงพยักหน้าและออกรถ
เครื่องยนต์ส่งเสียงเบาๆ พาลู่โจวไปถึงจุดมุ่งหมาย
ชายใส่สูทรออยู่ที่ทางเข้าเพอร์เพิล เมาน์เทน ตอนที่เขาเห็นรถสีม่วงสดที่ไม่เหมือนใครจอดอยู่ตรงทางเข้าโรงแรม เขาก็ตรงเข้าไปทักทายลู่โจวด้วยความตื่นเต้นทันที
“ศาสตราจารย์ลู่ ผมเลขาของซีอีโอหวัง จะเรียกผมว่าหลี่หยางก็ได้ครับ”
“สวัสดีครับ ช่วงนี้ผมยุ่งมากเลย ขอโทษที่ปล่อยให้พวกคุณรอนะครับ” ลู่โจวจับมือเขาและพูด “ไปเจอคุณหวังกัน”
เลขาหลี่ผายมือเชื้อเชิญ
“ไม่มีปัญหาครับ เชิญทางนี้ครับ”
พวกเขาเดินผ่านล็อบบี้โรงแรมและมาถึงห้องพัก ลู่โจวเปิดประตูและเห็นซีอีโอหวังกำลังนั่งดื่มชาอยู่
ทันทีที่ประตูเปิดออกหวังเจิ้งเฟยยืนขึ้นจากโซฟาและยิ้มทักทายลู่โจว
“ศาสตราจารย์ลู่ คุณมาแล้ว! “
ลู่โจวพยักหน้าให้หวังเผิงเพื่อส่งสัญญาณให้เขารอข้างนอก หลังจากนั้นก็มองไปที่ชายสูงวัยและยื่นมือออกไป
“ยินดีที่ได้เจอครับ ขอโทษที่ทำให้คุณต้องรอนะครับ”
“ไม่ต้องห่วง ไม่เป็นไรเลยครับ” หวังเจิ้งเฟยจับมือลู่โจวและพูดอย่างสุภาพ “เชิญนั่งครับ”
ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะ
พนักงานเสิร์ฟของโรงแรมเทชามะลิลงในถ้วยแล้วออกจากห้องไป
หวังเจิ้งเฟยมองควันที่พวยพุ่งและยิ้ม เขาพยายามจะชวนคุย
“ผมบอกให้พนักงานเสิร์ฟทำชามาให้เรา อยากให้เติมอะไรเป็นพิเศษไหม”
“ไม่ครับ” ลู่โจวส่ายหัวและสังเกตเห็นว่าหวังเจิ้งเฟยอยากจะถามสารทุกข์สุกดิบ เขาพูดจึงต่อ “ซีอีโอหวัง ผมรู้ว่าคุณคงยุ่งมากๆ ไม่ต้องถามเรื่องจิปาถะหรอกครับ”
หวังเจิ้งเฟยตกตะลึง เขายังไม่ชินกับท่าทีแบบนี้
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องติดต่อกับคนในวงการวิชาการ เขาจึงเปลี่ยนทัศนคติได้ไว
เขาวางถ้วยชาลงและแสดงสีหน้าจริงจัง
เขามองไปที่ลู่โจวและพูด “โอเค เอาล่ะ”
“ไม่มีใครอยู่ตรงนี้อยู่แล้ว ผมเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ชิปคาร์บอน…คืองานวิจัยของคุณใช่ไหม”
ลู่โจวค่อยๆ วางถ้วยชาและมองไปที่หวังเจิ้งเฟย ที่กำลังรออย่างมีหวัง ลู่โจวกระแอมและพูด “ไม่ใช่ครับ”
หวังเจิ้งเฟย “???”
………………………….