ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 875 พันธุกรรม
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 875 พันธุกรรม
สิ่งที่ทำให้เด็กสาวหงุดหงิดไม่ได้เกิดขึ้น
ในคืนนั้นเธอนอนลืมตาตื่นอยู่บนเตียงโดยไม่สามารถนอนหลับได้ลงเสียที เธอตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มส่งข้อความไปหาเฉินยู่ซาน พวกเธอวางแผนว่าจะไปดูหนังกันวันพรุ่งนี้
ในทางกลับกันลู่โจวไม่ได้มีแผนพิเศษอะไรจะทำในวันคริสต์มาสเลย ก็เหมือนทุกๆ วัน ที่เขาจะนั่งอยู่ในออฟฟิศแล้วก็ทำสิ่งที่เขาควรจะทำ
เขาเคยฉลองวันคริสต์มาสมาก่อนเมื่อย้อนกลับไปสมัยที่เขายังอยู่ที่พรินซ์ตัน แต่เขาก็หยุดฉลองตั้งแต่ตอนที่เขากลับมาที่จีน
แต่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่มีคนให้ฉลองด้วยก็ได้
งานเทศกาล ‘จากต่างชาติ’ ส่วนใหญ่ คนก็ทำตัวคล้ายๆ กับวันวาเลนไทน์นั่นแหละ คนที่ไม่ได้มีคนสำคัญอยู่ด้วยก็ทำตัวปกติทั่วไป
แต่เขาก็สังเกตเห็นตั๋วหนังที่โผล่มาตรงหน้าตัวเองเสียก่อน
“อยากไปดูหนังด้วยกันไหม?”
ลู่โจวเงยหน้าขึ้นมาและเห็นหลัวเหวินเซวียนถือตั๋วไว้ในมือ หลัวเหวินเซวียนยิ้มแป้น เหมือนต้องการจะสื่ออะไรสักอย่าง
ลู่โจวนิ่งไปชั่วครู่
ฉันรู้สึกว่าเขากำลังจะ…
บอกให้ฉันปฏิเสธเหรอ?
ลู่โจวพูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนักว่า
“ฉันไม่…ว่างเท่าไหร่”
“อ้าว นายไม่ว่างเหรอ? อุตส่าห์ซื้อตั๋วมาสองใบ ว่าจะไปดูกับนายเสียหน่อย” หลัวเหวินเซวียนเกาหัวแกรกๆ เขามองไปรอบๆ ออฟฟิศเพื่อหาผู้ช่วยขง แล้วก็พูดออกมาว่า “น่าเสียดายจังเลยนะ…”
ลู่โจว “…”
โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว…
อยากอ้วกว่ะ
หมอนี่ก็ไม่ใช่เด็กม.ต้นเสียหน่อย ทำไมทำตัวบ้าบอขนาดนี้เนี่ย? ขนาดฉันยังอายแทนเลย
ผู้ช่วยขงที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เธอไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น หลัวเหวินเซวียนกำลังจะยอมแพ้แล้ว แต่ผู้ช่วยหลินก็เดินเข้ามาพอดี
“รอบเที่ยงคืนเหรอ?” หลินอวี่เซียงทักในขณะที่เธออ่านข้อความบนตั๋ว เธอมองไปที่หลัวเหวินเซวียนด้วยท่าทางไม่ไว้ใจแล้วพูดว่า “คุณจะชวนศาสตราจารย์ลู่ไปดูหนัง…รอบเที่ยงคืนเนี่ยนะ?
ผู้ชายสองคนไปดูหนังกันตอนเที่ยงคืน แถมไม่ใช่รอบพรีเมียร์ด้วยซ้ำ…”
ลู่โจวแทบจะพ่นน้ำชาที่กำลังดื่มออกมา
คุณพระคุณเจ้า หมอนี่มันเล่นใหญ่ว่ะ!
ดูหนังรอบเที่ยงคืนในเฟิสต์เดตเนี่ยนะ?
หลัวเหวินเซวียนที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะลู่โจวรีบอธิบายทันที
“ไม่นะ เอ่อ…คือว่า รอบเที่ยงคืนมันราคาถูกกว่าน่ะ”
แต่คำอธิบายของเขาก็ไม่ได้น่าเชื่อเลย
ยังไม่นับว่ามันไม่เมคเซนส์อีกต่างหาก
ศาสตราจารย์นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่มีเงินทุนวิจัยราคาสิบล้านเหรียญยังต้องมาสนเรื่องราคาตั๋วหนังเนี่ยนะ?
ตลกตายล่ะ!
ผู้ช่วยหลินนึกขึ้นได้ว่าหลัวเหวินเซวียนมักจะมาที่ออฟฟิศของศาสตราจารย์ลู่ตลอดแม้จะไม่มีจุดประสงค์สำคัญอะไรก็ตาม อย่างมาก ก็แค่มาดื่มชาเท่านั้น
หรือบางที…หลัวเหวินเซวียนจะชอบศาสตราจารย์ลู่กันนะ?
หลัวเหวินเซวียนเริ่มรู้สึกเสียใจที่พูดคำนั้นออกไปแล้ว
แต่ก็สายไปเรียบร้อย
เขาสังเกตว่าคนบางคนในออฟฟิศเริ่มหันมามองเขาแล้ว
ท่าทางของผู้ช่วยขงทำให้เขารู้สึกเจ็บที่สุด ใบหน้าประหลาดใจของเธอเป็นเหมือนศรที่ปักทะลุหัวใจของเขา
จริงๆ รสนิยมจะชอบคนเพศไหนก็ไม่ผิดหรอก แต่ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นนะ!
หลินอวี่เซียงเอ่ยขึ้นว่า “คุณใช้เงินทั้งหมดไปกับการตกแต่งออฟฟิศ แต่คุณจะไม่มีปัญญาจ่ายเพิ่มอีกนิดเพื่อซื้อตั๋วหนังจริงๆ น่ะเหรอ?”
หลัวเหวินเซวียน “…”
เขาไม่อยากพูดอะไรออกมาทั้งนั้น
เมื่อหลินอวี่เซียงเห็นว่าศาสตราจารย์ลู่เงียบไป เธอก็ยิ้มขึ้นมาทันที
“เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวฉันซื้อตั๋วจากคุณเอง แล้วค่อยไปดูหนังกับศาสตราจารย์ลู่”
หลัวเหวินเซวียนอยากจะเคลียร์สถานการณ์ เขาก็เลยตอบเธอทันทีว่า “ตกลง! ไม่มีปัญหา!”
หานเมิ่งฉีตกใจ “?!!!”
ลู่โจวมองไปรอบๆ ออฟฟิศแล้วกระแอมขึ้นมา
“ทุกคน…ยังไม่ได้ถามความเห็นผมเลยนะ”
ดวงตาของหลินอวี่เซียงมองลู่โจวอย่างมีความหวัง มือของเธอประสานกันไว้ตรงด้านหน้าอก
“เอ่อ…”
ลู่โจวตอบ “ไม่มีเวลา ไม่ไปครับ”
หลินอวี่เซียง “…”
ขงเจี่ยที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างหัวเราะออกมาดังลั่น
เสียงหัวเราะนั้นไล่บรรยากาศอึดอัดในห้องไปได้
ในที่สุดออฟฟิศก็เงียบลง หลัวเหวินเซวียนยืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าโต๊ะลู่โจว ลู่โจวมองเขาแล้วส่ายหัว
เจ้าหมอนี่…
ควรจะยอมแพ้ได้แล้วนะ…
…
ลู่โจวจะไม่ไปดูหนังหรอก
ต่อให้เป็นรอบเที่ยงคืนก็ไม่ไป
นอกจากคณิตศาสตร์แล้วมันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะทำให้เขาต้องอยู่ดึกถึงตอนเที่ยงคืน บางทีอาจจะมีฟิสิกส์อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้นได้
ลู่โจวทำงานต่อจนพระอาทิตย์ตก คนส่วนใหญ่ในออฟฟิศของเขากลับบ้านไปก่อนหน้าแล้ว ลู่โจวบิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นยืน
พอเขาลุกขึ้นปุ๊บเขาก็ได้รับคอลจากวีแชททันที
เขาเหลือบตาไปมองโทรศัพท์ตัวเอง แล้วรับสายวิดีโอคอลจากเสี่ยวถง
พอกดรับสาย เขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในโทรศัพท์
“พี่คะ! หนูคิดถึงพี่มากเลย!”
เสี่ยวถงอยู่ในชุดนอน เธอถือโทรศัพท์ไว้ข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น
พวกเขาไม่ได้เจอกันมาปีหนึ่งแล้ว
เธอดูผอมลงนิดหน่อย แต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
ลู่โจวมองน้องสาวของเขาผ่านโทรศัพท์แล้วยิ้ม
“ถ้าคิดถึงพี่ก็ไปส่องกระจกสิ ถึงพวกเราไม่ได้หน้าตาเหมือนกันแต่เราก็มาจากยีนเดียวกันนะ”
เสี่ยวถง “ก็ถูกของพี่ แต่หนูมียีนที่ดีกว่า!”
ลู่โจวยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ
ไปต่อล้อต่อเถียงกับเธอก็ไม่ได้อะไร ลู่โจวรู้อยู่ในใจดีว่าใครคือฝ่ายที่ได้ยีนที่ดีกว่าไป
“แล้วทำไมจู่ๆ คอลหาพี่ล่ะ?”
เสี่ยวถงเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นเธอก็ทำหน้ามุ่ย
“พี่คะ เดี๋ยวก็วันสิ้นปีแล้วนะ”
“อ่าฮะ”
“หนูอยากได้ของขวัญอะ!”
“ไม่มีปัญหา…” ลู่โจวยิ้มแล้วพูดต่อ “ว่ามาเลย อยากได้อะไรล่ะ แต่ไม่เอาอันที่แพงเกินเหตุนะ”
“ฮ่าฮ่า โอเคค่ะพี่ เดี๋ยวหนูส่งรายการของที่อยากได้ไปให้”
ทันใดนั้นเอง ก็มีข้อความแจ้งเตือนดังขึ้นที่โทรศัพท์ของเขา ข้อความของเสี่ยวไอโผล่ขึ้นมา
[นายท่านได้รับเมล ~(๑•̀ᄇ•́)و✧]
นี่รายการของที่เธออยากได้มันยาวขนาดไหนเนี่ย?
สงสัยจะยาวขนาดที่ต้องส่งผ่านอีเมล…
แต่ลู่โจวก็ไม่ได้กังวลอะไรอยู่แล้ว ลืมเรื่องเสื้อผ้าหรือกระเป๋าไปได้เลย เขาซื้อบ้านสักหลังสองหลังให้เธอได้สบายๆ โดยที่ขนหน้าแข้งไม่ร่วงด้วยซ้ำ
ลู่โจวคลิกเข้าไปที่อีเมลและเห็นชื่อเรื่องแล้ว
แต่พอเขาเห็นสิ่งที่แนบมาในอีเมลเขาก็ชะงัก
[การศึกษาผลกระทบของระบบสวัสดิการในเศรษฐศาสตร์มหภาคจากแบบจำลองบิวลีย์]
เขาได้ยินเรื่องแบบจำลองของบิวลีย์มานิดหน่อยในสมัยก่อน ช่วงที่เขายังอยู่ที่พรินซ์ตัน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งได้เล่าให้เขาฟัง ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ยากที่สุดและมีความเป็นเศรษฐศาสตร์เชิงปริมาณที่สุด
การใช้ภาษาฟอร์แทรน 90 เขียนแบบจำลองครูเซลล์แอนด์สมิธบิวลีย์อาจจะใช้เวลาได้เป็นชั่วโมงๆ การเขียนแบบจำลองทางคณิตศาสตร์มักจะใช้เวลาเป็นปีๆ
หากเปรียบเทียบกับแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์มหภาคพวกนี้แล้ว การแข่งขันออกแบบแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ก็เหมือนกับของเล่นเด็กง่ายๆ ไปเลย
แต่ลู่โจวก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักในเรื่องแบบจำลองบิวลีย์ สุดท้ายแล้วเพื่อนส่วนใหญ่ของเขาที่พรินซ์ตันก็อยู่ในสายคณิตศาสตร์บริสุทธิ์ และก็ไม่ได้สนเงินด้วย
อย่างมากก็สนเรื่องการใช้เงิน…
ลู่โจวรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขามองไปที่โทรศัพท์และพูดออกมาอย่างหมดความอดทนว่า “ทำการบ้านของตัวเองสิเฮ้ย!”
ยัยเด็กเวร!
มาขอให้ผู้ได้รับรางวัลเหรียญฟิลด์เขียนงานของนักศึกษาปริญญาโทเนี่ยนะ ตลกสิ้นดี!
“แต่พี่คะ!”
เสี่ยวถงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “มันยากเกินไปนะพี่ หนูไม่ใช่เอกคณิตศาสตร์ด้วยซ้ำ…หนูไม่รู้ว่าหนูจะโดนให้ทำโปรเจกต์วิจัยที่ยากขนาดนี้ พี่ช่วยหนูหน่อยนะคะ”
ลู่โจวไม่เชื่อเธอเลย เขาส่ายหัวและตอบกลับไปว่า “งานธีสิสของเด็กปริญญาโทมันจะยากแค่ไหนกันเชียว”
“พี่ลองดูสิ่งที่แนบไปสิ! แล้วพี่จะเข้าใจว่ามันยากตรงไหน”
ลู่โจวทนฟังเสียงรบเร้าของเสี่ยวถงต่อไม่ไหว เขาถอนหายใจแล้วหันไปมองคอมพิวเตอร์ตัวเอง เขายอมตกลงอ่านมันอย่างไม่เต็มใจนัก
แต่หลังจากที่เขาดาวน์โหลดไฟล์ที่แนบมาด้วย ใบหน้าของเขาก็แสดงความแปลกใจออกมา
ถึงแม้เขาจะไม่ได้รู้เรื่องทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์อะไรมากนัก แต่แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่โชว์อยู่ในโปรเจกต์นี้ก็ถือว่ายากเกินความสามารถระดับนักศึกษาปริญญาโทอย่างแน่นอน
ต่อให้เป็นนักศึกษาของเขาอย่างเหอชางเหวินจากมหาวิทยาลัยจินหลิง ก็ยังต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะแกะแบบจำลองนี้ออกมาได้
“นี่เธอมีที่ปรึกษาแบบไหนกันเนี่ย…คนที่ไม่เคยทำการวิเคราะห์เชิงฟังก์ชันมาก่อนจะต้องใช้เวลานานโขเลยนะกว่าจะทำแบบจำลองนี้ขึ้นมาอย่างเชี่ยวชาญได้”
เสี่ยวถงตอบกลับ “หนูบอกพี่แล้วไง ว่ามันเป็นไปไม่ได้!”
ลู่โจวถาม “นี่แน่ใจนะว่าที่ปรึกษาเธอเอางานนี้ให้เธอทำจริงๆ ?”
เสี่ยวถงพยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่ค่ะ! ทำไมหนูจะต้องเลือกหัวข้อยากๆ มาทำธีสิสจบการศึกษาด้วยล่ะ?”
ลู่โจวคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เสนอว่า “เอาอย่างนี้ไหม พี่เขียนเรื่องนี้ให้เธอไม่ได้ นี่เป็นธีสิสของเธอ แต่พี่เป็นผู้เขียนร่วมได้ เธอก็ทำส่วนทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ไป ส่วนพี่จะทำส่วนคณิตศาสตร์เอง”
“จริงนะพี่? พี่ตกลงแล้วใช่ไหม?! สุดยอดไปเลย ยังมีหวังอยู่จริงๆ ด้วย! รักพี่จังเลย!” เสี่ยวถงจุ๊บหน้าจอโทรศัพท์แล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา เธอยิ้มกว้างแล้วพูดว่า “พี่เก่งที่สุดเลย!”
“โอเคพอละ พี่มีเรื่องจะขอหน่อย”
เสี่ยวถงลุกขึ้นจากโซฟาแล้วพูดว่า “ว่ามาเลยค่ะพี่ หนูทำได้ทุกอย่างแหละ พี่อยากได้แฟนไหม? ออฟฟิศข้างๆ นี่มีสาวๆ ผมบลอนด์หน้าอกเบิ้มๆ เยอะเลย”
“ไม่ได้จะเอาแบบนั้นเสียหน่อย” ลู่โจวบอก “เธอต้องส่งธีสิสหลังจากที่มันเสร็จแล้ว พี่ไม่สนว่าพี่จะได้มีชื่อเป็นผู้ประพันธ์อันดับแรก หรืออันดับที่สอง แต่พี่ต้องได้เป็นผู้ประพันธ์บรรณกิจ “
พอเสี่ยวถงได้ยินคำขอของลู่โจว เธอก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะแล้วขมวดคิ้ว
“แต่…หนูกังวลว่าที่ปรึกษาหนูจะไม่โอเคนะพี่ หนูกำลังจะเรียนจบแล้ว ถ้าเกิดเขาไม่ให้หนูจบอะ?”
พอพูดเรื่องมหาวิทยาลัยแล้ว นักศึกษาก็เหมือนเป็นทาสของที่ปรึกษาตัวเอง
ปกติแล้วที่ปรึกษาก็มักจะเป็นผู้ประพันธ์บรรณกิจ
เสี่ยวถงกังวลว่าเธอจะเรียนไม่จบ
ลู่โจวรู้ดีว่าเสี่ยวถงจะพูดแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทางกังวลแต่อย่างใด
เขายิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “บอกให้เขาลองสิ แล้วเขาจะได้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
…………………….