ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 878 เตาผิง
หลังจากวันคริสต์มาสหนึ่งวัน หิมะก็เริ่มตกในเมืองจินหลิง
หิมะทำให้ลู่โจวนึกย้อนกลับไปสมัยที่เขายังอยู่ที่พรินซ์ตัน นึกถึงเตาผิงในบ้านหลังเก่าของเขา เมื่อไรก็ตามที่หิมะตกในนิวเจอร์ซีย์ เขาก็จะไปทำงานในห้องนั่งเล่นแทน หลังของเขาจะพิงกับโซฟา ส่วนตัวก็นั่งอยู่บนพื้นห้อง ตรงข้ามกับเตาผิง
ถึงเขาจะยังอายุไม่ถึงวัยที่ต้องมานั่งรำลึกความหลังก็เถอะ
พอเขาเห็นหิมะตกที่นอกหน้าต่างเขาก็อดคิดถึงชีวิตเก่าๆ ไม่ได้
เขากำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เขาหยิบเกี๊ยวขึ้นมาและจิ้มมันลงในน้ำส้มสายชู จากนั้นก็เอาเข้าปาก เขามองต้นสนสีขาวนอกหน้าต่างแล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “ผมอยากติดตั้งเตาผิงที่นี่”
หวังเผิงมองไปรอบๆ ห้องแล้วถามว่า “มันยังอุ่นไม่พอเหรอครับ?”
ลู่โจวมองไปทางเขาด้วยท่าทางแปลกๆ แล้วตอบว่า “มันไม่ได้หนาว แต่ผมแค่อยากได้เตาผิงเฉยๆ “
หวังเผิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “โอเคครับ ถ้าอย่างนั้น…คุณอยากให้ผมทำอะไรไหม?”
ลู่โจวบอก “ไม่ต้องหรอก นอกจากว่าคุณจะรู้วิธีก่ออิฐน่ะนะ”
ลู่โจวพูดตลกออกไป เขาไม่ได้คิดว่าหวังเผิงจะเอาจริง หวังเผิงนึกอยู่พักหนึ่งก็ตอบว่า “หน่วยทหารเสนาธิการมีคนที่ทำได้อยู่นะครับ”
ลู่โจวทัก “นี่คุณเป็นยักษ์จีนี่เหรอ?”
ทำไมถึงมีทุกอย่างที่อยากได้เลยล่ะ?
หวังเผิง “…”
สุดท้ายลู่โจวก็ไม่ได้ขอให้คนจากหน่วยทหารเสนาธิการของกองทัพปลดปล่อยประชาชนมาสร้างเตาผิงให้เขา แต่เขาติดต่อบริษัทรับออกแบบที่ก่อนหน้านี้เคยสร้างสถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงมาแทน
ไม่ว่าอย่างไรการเอาทรัพยากรรัฐมาสร้างเตาผิงเล็กๆ ให้เขาก็เป็นเรื่องที่เยอะเกินไปหน่อย
ลู่โจวไม่ชอบอยู่สองอย่าง หนึ่งคือการขอให้คนอื่นช่วย สองคือการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
นอกจากจะหล่อและฉลาดแล้ว เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองมีดีกว่าคนอื่นอะไร เขาไม่ต้องการการดูแลที่เหนือกว่าคนอื่น
แต่เขาจะรู้สึกดีมากกว่าถ้าคนอื่นทำเหมือนเขาเป็นคนปกติ
นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมเขายังโสด
บริษัทก่อสร้างทำตามคำขอของลู่โจวอย่างจริงจังมาก
ถึงแม้ว่าหากเปรียบเทียบกับโปรเจกต์ราคาเก้าหลักแล้ว เตาผิงเล็กๆ จะเป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋วเท่านั้น แต่บริษัทก่อสร้างก็ยังมีความเป็นมืออาชีพอยู่ในระดับสูงสุดอยู่ดี วันต่อมาพวกเขาก็ส่งทีมนักออกแบบมาที่บ้านของลู่โจว พอตกกลางคืนพวกเขาก็ส่งภาพดีไซน์พร้อมราคามาให้ลู่โจว
บางดีไซน์ก็เป็นเตาผิงสไตล์วิกตอเรียน บางดีไซน์ก็เป็นสไตล์โมเดิร์นมินิมอล และยังมีบางอันที่เป็นสไตล์คลาสสิกเรโทรที่ใช้อิฐแดงด้วย มีดีไซน์ทั้งหมด 15 รูปแบบ ซึ่งทุกแบบก็ต้องออกแบบตามเค้าโครงของห้องนั่งเล่นลู่โจว ดีไซน์แต่ละแบบยังรวมถึงพรมขนแกะแบบแฮนด์เมดอีกหนึ่งเซ็ตด้วย
ลู่โจวเห็นราคาแล้วก็เริ่มสงสัยว่าบริษัทจะได้เงินจากโปรเจกต์นี้ไหม
พวกเขาตั้งราคามา 5,000 หยวน ซึ่งรวมราคาพรมด้วย ลู่โจวอยากจะเสนอราคาเพิ่มมาก
“นี่พวกคุณแน่ใจแล้วใช่ไหมครับว่าจะคิดราคานี้?”
พนักงานขายสาวยิ้มอย่างเป็นมืออาชีพและตอบคำถามลู่โจวอย่างสุภาพว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ คุณเป็นลูกค้าคนสำคัญของบริษัทเราอยู่แล้ว การให้ราคาที่ดีที่สุดกับลูกค้าของเราถือเป็นหลักการที่บริษัทเรายึดมั่นมานานแล้วค่ะ”
ลู่โจวถึงกับอึ้ง เขามองแบบดีไซน์แล้วเอานิ้วหยิกคิ้วตัวเองขณะถามเธอต่อ “บางทีผมอาจจะคิดเลขผิดนะ…แต่ทำไมเตาผิงถึงมาพร้อมกับพรมที่ราคาแพงกว่าราคาที่พวกคุณเสนอมาถึงสี่เท่าเลยล่ะครับ?”
พนักงานขายสาวยิ้มแล้วตอบว่า “นี่เป็นส่วนลดของสมาชิก VIP ค่ะ”
ลู่โจว “…”
ส่วนลดบ้านเธอสิ!
ลู่โจวจะไม่ห้ามให้บริษัทนี้เก็บเงินเขาแค่นิดเดียวแล้ว เขาลังเลอยู่นิดหน่อยก่อนจะเลือกดีไซน์โปรดของเขา
“ถ้าอย่างนั้นเอาอันนี้นะคะ”
พนักงานขายสาววงกลมรอบดีไซน์ที่ลู่โจวอยากได้แล้วถามต่ออย่างสุภาพว่า “โอเคค่ะ เดี๋ยวพวกเราจะมาติดเตาผิงให้คุณโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ คุณลูกค้าสะดวกเวลาไหนคะ?”
“เวลาไหนก็ได้ครับ ถ้าเป็นตอนบ่ายจะดีกว่า…” ลู่โจวมองไปทางหวังเผิงที่ยืนอยู่ข้างโซฟา เขาถามขึ้นมาว่า “คุณว่างบ่ายนี้ไหม?”
หวังเผิงให้คำตอบเดียวกับที่เขาตอบลู่โจวมาตลอด
“ผมว่างตลอด 24 ชั่วโมงครับ”
ลู่โจวพยักหน้าแล้วหันไปคุยกับพนักงานขายสาว
“ถ้างั้นเป็นเวลาบ่ายสองถึงหกโมงเย็นของทุกบ่ายนะครับ…แล้วมันจะใช้เวลานานไหมครับกว่าจะเสร็จ?”
พนักงานขายสาวตอบคำถามด้วยรอยยิ้มเฉิดฉาย
“อย่างมากก็สามวันค่ะ”
อันที่จริงลู่โจวไม่ต้องรอถึงสามวันเลย เตาผิงติดเสร็จตั้งแต่คืนวันที่สองแล้ว
ลู่โจวปฏิเสธคำขอของพนักงานขายอย่างสุภาพเรื่องการติดตั้งท่อทำความร้อนบนพื้นโดยไม่เสียเงินเพิ่ม หลังจากที่ลู่โจวจ่ายเงิน 5,000 หยวนแล้ว เขาก็บอกลากลุ่มคนที่มาติดเตาผิงให้เขา จากนั้นเขาก็จุดไฟที่ถ่านไร้ควันที่เขาซื้อมาแล้วก่อไฟในเตาผิงทันที
ลู่โจวนั่งอยู่บนพรมขนแกะผืนใหม่ของเขา หลังพิงโซฟา เขาฟังเสียงไฟปะทุและสัมผัสถึงความอบอุ่นของกองไฟที่ร่างกายของเขา เขาหาวและเริ่มรู้สึกง่วง
“ดีจังเลยนะ…”
เขาเอนหลังแล้วกำลังจะนอนหลับ แต่โทรศัพท์ของเขาก็ดันดังขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เมื่อลู่โจวเห็นชื่อคนที่โทรมา เขาก็กดรับโทรศัพท์ทันที
คนที่อยู่ปลายสายเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ลูกจ๋า ลูกเป็นไงบ้าง?”
“ผมสบายดีครับแม่ ไม่ได้ยุ่งเท่าปีที่แล้ว” ลู่โจวตอบด้วยรอยยิ้มชิลๆ เขานิ่งไปไม่นานก็ถามอีกฝ่ายว่า “แล้วแม่กับพ่อเป็นไงบ้างครับ?”
ใบหน้าของฟางเหมยเป็นประกายครู่หนึ่งเมื่อเธอได้ยินคำว่า ‘แม่’ เธอยิ้มอย่างอบอุ่นตอนที่เธอพูดออกมาว่า
“ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก พ่อกับแม่สบายดี อีกไม่กี่ปีพ่อลูกก็จะเกษียณแล้ว เขาก็เลยไม่ต้องทำงานมากแล้วเดี๋ยวนี้ ที่เขาทำก็แค่ดื่มชากับอ่านข่าวเท่านั้นเอง นี่ถ้าแม่ไม่บอกให้เขาออกกำลังกายนะ นึกไม่ออกเลยว่าเขาจะเป็นอย่างไร แม่โทรมาเพราะอยากรู้ว่าลูกเป็นอย่างไรบ้าง คงไม่ได้มารบกวนงานลูกใช่ไหม?”
ลู่โจวยิ้มแล้วตอบว่า “ไม่เลยครับแม่ แม่สำคัญกว่างานเยอะ”
ฟางเหมยตอบกลับไป “อย่าพูดอย่างนั้นสิ การงานลูกกำลังเติบโตนะ ไม่ต้องโฟกัสที่แม่กับพ่อหรอก พวกเราไม่อยากให้ลูกต้องมาเป็นห่วง แต่แม่ก็หวังว่าลูกจะไม่ทำงานหักโหมนะ ยังไงสุขภาพก็สำคัญที่สุดเสมอ…อ้อใช่ หลังวันปีใหม่ลูกงานเยอะไหมล่ะ? ถ้างานเยอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่ไปช่วยดูแลลูกให้”
ลู่โจวไม่อยากสร้างปัญหาให้พวกเขาเพิ่ม เขาจึงบอกแม่ว่า “ไม่ๆๆ ผมสบายดี ไม่เป็นไรเลย! ช่วงนี้ผมไม่ได้งานเยอะอะไรครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมกลับบ้านแทนแล้วกัน”
ฟางเหมยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ลูกเป็นเด็กดีนะ แต่เห็นใจเกินไปหน่อย”
ลู่โจวงงกับแม่ของเขา
“แม่พูดเรื่องอะไรน่ะครับ…ผมไม่ได้เห็นใจเกินไปเสียหน่อย ผมก็แค่ไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว ผมคิดถึงพ่อกับแม่นะ อย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ต้องมาจินหลิงนะครับ เดี๋ยวผมกลับบ้านปีนี้แน่ๆ “
ถึงแม้การวิจัยจะสำคัญ แต่มันก็ไม่สำคัญเท่าครอบครัวของเขา
ยังไม่นับว่าสมมุติฐานของรีมันน์ก็ไม่ใช่สิ่งที่แก้ได้ในคืนเดียวเสียหน่อย เขาเพิ่งจะแก้สมมุติฐานเสมือนของรีมันน์ไปได้เอง เขาต้องหาเวลาพักผ่อนจิตใจตัวเองอยู่แล้ว
แถมที่สำคัญกว่าก็คือ พ่อแม่ของเขากำลังแก่ตัวลงเรื่อยๆ ด้วย ลู่โจวอยากจะใช้เวลาอยู่ร่วมกับพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อีกอย่างก็คือทุกสิ่งทุกอย่างของโปรเจกต์วงโคจรของดวงจันทร์กำลังเป็นไปตามแผน ดังนั้นในฐานะหัวหน้าที่ปรึกษาแล้วเขาก็ไม่มีอะไรให้ทำ
ถ้าหากต้องมีการเปลี่ยนแผนอะไรหรือมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นล่ะก็ เขาก็ต้องหยุดวิจัยวิทยาศาสตร์อื่นๆ แล้วไปทำหน้าที่ที่ปรึกษาอยู่แล้ว
ฟางเหมยรู้ว่าลู่โจวมีเวลากลับบ้านในปีนี้จริงๆ เธอยิ้มและมีท่าทีผ่อนคลายลง
เธอต้องอยากให้ลูกชายตัวเองกลับบ้านอยู่แล้ว แม้ว่าลูกชายของเธอจะมีบ้านหลังใหญ่อยู่ในจินหลิง แต่ตัวเธอก็อาศัยอยู่ในเมืองเจียงเหลียงมาตลอดชีวิต เจียงเหลียงคือรากเหง้าของเธอ เพื่อนในครอบครัวของพวกเธอก็อยู่ที่เจียงเหลียง
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมพวกเธอถึงไม่ยอมย้ายไปเมืองจินหลิงเสียที แม้ว่าลู่โจวจะชวนเธอหลายรอบแล้วก็ตาม
“ดีๆๆ แม่จะทำเกี๊ยวไว้ให้นะ ไม่ต้องถึงเรื่องงานสักวันหนึ่งเถอะ…เฮ้อ แม่เคยบอกให้ลูกตั้งใจเรียนจะได้มีอนาคตที่ดี แต่แม่กับพ่อก็ไม่คิดว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ พวกเราก็แค่อยากให้ลูกไม่ต้องอยู่ในห้องแล็บทั้งวัน แล้ววันๆ ก็กินอาหารที่สั่งมาจากข้างนอก ออกไปข้างนอกบ้างก็ได้ ไปหาคนใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอ”
ลู่โจวกระแอมแล้วพูดว่า “ผมก็พยายามเปลี่ยนอยู่นะ แล้วก็แม่ไม่ต้องเชื่อทุกอย่างที่เห็นในสารคดีก็ได้ จะเป็นการวิจัยทางคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ ทุกคนก็ต้องได้เจอคนใหม่ๆ อยู่แล้วนะครับ”
สเตอริโอไทป์เรื่องนักวิชาการผู้โดดเดี่ยวมันไม่ได้เป็นจริงอีกต่อไปแล้ว
ขนาดลู่โจวยังตัดการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกแล้วขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ได้เลย อย่างน้อยเขาก็ต้องการ arXiv และฐานข้อมูลธีสิสอื่นๆ อีก
ฟางเหมยเอ่ย “อย่างไรก็แล้วแต่แม่ก็หวังว่าลูกจะมีความสุขดีนะ แม่กับพ่อก็อยากอุ้มหลานนะ หวังแค่นั้นแหละ”
ลู่โจวตอบไปว่า “เอ่อ…ไว้ค่อยคุยเรื่องนั้นทีหลังนะครับ เดี๋ยวผมก็มีให้แน่ๆ แหละ”
ฟางเหมยไม่อยากจะเชื่อคำพูดลู่โจวเท่าไรนัก แต่เธอก็ยังยิ้มและพูดเหมือนปลอบตัวเองว่า
“แม่ก็หวังว่างั้นนะ…”
ลู่โจว “…”
ถึงแม้ว่าลู่โจวจะรู้ว่าแม่ไม่ได้พยายามจะกดดันเขา แต่เขาก็ยังรู้สึกเหมือนโดนเอามีดปักกลางใจอยู่ดี…
……………………