ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 881 ผู้ชายคนนี้มันร้าย
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 881 ผู้ชายคนนี้มันร้าย
เมื่อมีคนโดนจับได้ว่าทุจริตแล้ว พวกเขาก็จะถูกปรับคะแนนเป็นศูนย์ทันทีโดยไม่มีการเจรจาอะไรทั้งนั้น
นักศึกษาที่หัวเราะในห้องสอบก่อนหน้าก็โดนอาจารย์หนุ่มอีกคนดุไปตามระเบียบ
การสอบไฟนอลเสร็จสิ้นในวันที่ 30 ธันวาคม คณาจารย์ของมหาวิทยาลัยจินหลิงก็ได้พักนิดหน่อย
ถึงแม้เหอชางเหวินจะหนีจากการเป็นผู้คุมสอบได้เพราะว่าอาหารเป็นพิษ แต่เขาก็หนีจากการตรวจข้อสอบไม่ได้
มีกระดาษข้อสอบเป็นกองๆ วางไว้เต็มโต๊ะของเหอชางเหวิน ลู่โจวมองเขาแล้วหัวเราะในใจ
คิดว่าจะเบี้ยวคำสั่งฉันได้เหรอ?
กรรมตามสนองแล้วนาย!
เหอชางเหวินมองไปทางกองข้อสอบที่เยอะจนน่ากลัว เขารู้ดีว่าวันหยุดช่วงปีใหม่ของเขาจบสิ้นแล้ว เขาขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า
“ศาสตราจารย์ครับ คุณช่วย…ขอให้ใครก็ได้มาช่วยผมได้ไหม…”
“ไม่” ลู่โจวตอบอย่างไม่ลังเล “การตรวจทานหัวข้อพื้นฐานจะช่วยให้คุณเข้าใจเรื่องยากๆ และเฉพาะทางมากขึ้น นี่เป็นการฝึกที่ดีนะ…อ้อใช่ ตรวจข้อสอบให้เสร็จก่อนวันปีใหม่ด้วยล่ะ ตารางปีนี้มันจะแน่นๆ หน่อยนะ ทุกอย่างต้องทำเสร็จก่อนสัปดาห์ที่ 22 ของเทอมด้วยนะ”
แล้วทำไมศาสตราจารย์ไม่หาคนมาช่วยผมล่ะครับ?!
เมื่อเผชิญกับคำสั่งของนักวิชาการลู่ เหอชางเหวินก็ต้องพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า
“ได้ครับ ศาสตราจารย์”
ลู่โจวกังวลว่าผู้ชายคนนี้จะทำงานไม่ดี เขาจึงย้ำไปว่า “ตรวจดีๆ ด้วยล่ะ เดี๋ยวผมจะไปตรวจดู”
“ครับ ศาสตราจารย์…”
เขายอมทิ้งแผนพักผ่อนของเขาเรียบร้อย…
…
วันก่อนวันสิ้นปี
หลัวเหวินเซวียนอยากกลับบ้านเกิดในช่วงวันหยุดนี้ เขาเพิ่งได้เงินเดือนมา เขาจึงตัดสินใจเลี้ยงข้าวลู่โจวที่ร้านปลาย่างใกล้กับมหาวิทยาลัย
จะว่าไปแล้วร้านปลาย่างนี่ก็อยู่มานานแล้วนะเนี่ย ลู่โจวมาที่นี่บ่อยสมัยที่เขายังเรียนปริญญาตรีอยู่ มากินข้าวแล้วก็ดื่มเหล้ากับพวกรูมเมตของเขา
ตอนนี้รูมเมตของเขามีทั้งคนที่แต่งงาน เรียนปริญญาเอก และเริ่มทำธุรกิจแล้ว…เขายังเป็นคนเดียวที่ยังอยู่ในเมืองจินหลิงอยู่
เจ้าของร้านจำลู่โจวได้ เขาจึงให้เบียร์สองขวดมาฟรีๆ เป็นการขอบคุณที่เป็นลูกค้าประจำของร้าน
เนื่องจากลู่โจวมักจะมาที่ร้านบ่อยๆ ทำให้ธุรกิจของร้านโตไปด้วย เจ้าของร้านกำลังเริ่มวางแผนจะเปิดร้านสาขาสองแล้ว
หลังจากคุยกับลู่โจวสักพัก เจ้าของร้านก็เดินกลับเข้าครัวไป ลูกสาวของเจ้าของร้านเดินเข้ามาในร้านอาหารพร้อมกับกระเป๋าเป้
เมื่อหลายปีก่อนเด็กคนนี้ยังตัวน้อยอยู่เลย เธอจะนั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างหน้าร้านอาหารแล้วทำการบ้านตรงนั้นทุกคืน แต่ตอนนี้เธอขึ้นมัธยมปลายแล้ว
เธอจำลู่โจวได้ทันทีแล้วยิ้มออกมา
“สวัสดีค่ะ คุณลุง!”
ลู่โจว “…อ่า สวัสดี”
อารมณ์ดีๆ ของลู่โจวถูกทำลายด้วยคำว่า ‘ลุง’
ลู่โจวแกล้งยิ้มจนเด็กสาวเดินจากไป เขามองไปทางหลัวเหวินเซวียนแล้วพูดว่า
“ไม่ต้องขำเลย อย่างน้อยฉันก็เป็นคนเจนวายนะ ถ้าขำอีกฉันจะเรียกนายว่าลุง”
หลัวเหวินเซวียนกระแอมแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่เอาน่านั่นก็ใจร้ายไป เดี๋ยวนะ คำว่าลุงก็ไม่ได้ฟังดูแย่ขนาดนั้นนี่นา…โอเค เรียกฉันว่าลุงเลยก็ได้”
ผู้ชายคนนี้มัน…อะไรของมันวะ
ลู่โจวนั่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามอย่างจริงจังว่า “ฉันดูแก่เหรอ?”
“แก่ไหมน่ะเหรอ? ก็ไม่นะ…” หลัวเหวินเซวียนมองลู่โจวสักพักหนึ่งก่อนจะพูดว่า “อันที่จริงแล้ว ฉันว่ามันก็ตลกดีที่นายหน้าตาเหมือนกับตอนที่ฉันเจอนายครั้งแรกไม่มีผิดเลย นายดูไม่เหมือนนักคณิตศาสตร์เลย…เอาตรงๆ นะ นายไปพวกคลินิกเสริมความงามมาบ้างหรือเปล่า?”
ลู่โจวถอนหายใจแล้วตอบว่า “นายอาจจะไม่เชื่อนะ แต่เส้นผมของฉันก็เหมือนกับหน้าตาผมนั่นแหละ มันเป็นธรรมชาติ”
“เวรเอ๊ย…เดี๋ยวนะ เจอแล้ว” หลัวเหวินเซวียนพูดขณะก้มมองโทรศัพท์
ลู่โจวเหลือบไปทางเขาแล้วถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “เจออะไรล่ะ?”
“ภาพที่ฉันถ่ายตอนพวกเราเจอกันครั้งแรกไง…ดูสิ!” หลัวเหวินเซวียนมองลู่โจว แล้วก็โทรศัพท์ของเขาอีกที “จริงด้วย หลายปีที่ผ่านมานี้นายไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
ภาพในโทรศัพท์เป็นภาพที่ถ่ายในห้องเลคเชอร์ของพรินซ์ตัน
ลู่โจวกำลังยืนอยู่ตรงโพเดียมของห้องเลคเชอร์ และบรรยายรายงานวิชาการเป็นครั้งแรกให้กับพวกศาสตราจารย์และนักศึกษา ไวท์บอร์ดเต็มไปด้วยการพิสูจน์ทฤษฎีตัวเลขคู่แฝด
ลู่โจวไม่มีวันลืมเหตุการณ์นี้แน่ๆ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็นนักวิชาการของเขา หนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต
สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจมากที่สุดก็คือตัวภาพถ่ายนั้นนั่นเอง
เขาไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย…
เหมือนกับที่หลัวเหวินเซวียนว่าไว้ ตัวเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เหมือนกับเขาข้ามเวลามาเจ็ดปีอย่างนั้นแหละ…
พอหลัวเหวินเซวียนเห็นว่าลู่โจวพูดไม่ออกแล้ว เขาก็พูดด้วยท่าทางแปลกๆ ขึ้นมาว่า
“มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง”
ลู่โจว “…เกี่ยวกับเรื่องสมมุติฐานของรีมันน์เหรอ?”
หลัวเหวินเซวียนมองลู่โจวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“นายก็เคยได้ยินเหรอ?”
“ตามตำนานว่ากันว่าใครที่พิสูจน์สมมุติฐานของรีมันน์ได้จะมีชีวิตอยู่ตลอดกาล…ฉันเคยได้ยินเรื่องนี้มาอยู่แล้ว แต่แปลกใจที่นายก็ได้ยินมาเหมือนกัน” ลู่โจวส่งโทรศัพท์คืนให้หลัวเหวินเซวียนแล้วกล่าวว่า “อย่าไปเชื่อเรื่องเล่าอะไรพวกนี้เลย พวกเราเป็นนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์นะ มันดูจะเกินจริงไปหน่อย”
บางทีความสามารถของระบบเผาผลาญมันอาจจะเพิ่มขึ้นจนช่วยชะลอการแก่ของฉันเหรอ
หรือเป็นเพราะตัวแปรอื่นกันนะ?
จะอย่างไรก็แล้วแต่ลู่โจวไม่เปลี่ยนไปมากจากช่วงวัยรุ่นเลย ถ้าไม่ใช่เพราะภาพถ่ายของหลัวเหวินเซวียนแล้ว เขาก็คงไม่ได้สังเกตเหมือนกัน
“ใช่” หลัวเหวินเซวียนยิ้มแล้วหันไปมองปลาบนโต๊ะ ก่อนจะตั้งคำถามว่า “แล้วการสอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ? ฉันเห็นบนหน้าฟีดข่าวของเพื่อนว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ?”
ลู่โจวถอนหายใจแล้วคีบปลาเข้าปาก เขาส่ายหัวแล้วตอบว่า
“อย่าไปพูดถึงมันเลย ฉันสาบานแล้วว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันไปคุมสอบ”
“เจอนักศึกษาหัวหมอเหรอ?”
ลู่โจว “จะพูดอย่างนั้นก็ได้”
หลังจากสอบเสร็จ เด็กสาวคนนั้นก็หาตัวลู่โจวเจออีกครั้ง เธอหวังว่าเธอจะสามารถเอาทัณฑ์บนที่เธอทุจริตออกได้
สุดท้ายลู่โจวก็ยอมเธอ เขาให้สัญญาว่าเขาจะไปคุยกับสำนักงานของมหาวิทยาลัยเอง
แต่ถ้าเธอถูกจับได้ว่าทุจริตอีกรอบเธอก็จะถูกไล่ออก ถ้าเธอสามารถตั้งใจเรียนแล้วเรียนจบอย่างราบรื่นได้ เธออาจจะสามารถทำลายทัณฑ์บนนี้ได้
“จริงเหรอ? แต่นั่นเป็นการคุมสอบครั้งแรกของนายนี่นา…” หลัวเหวินเซวียนจ้องไปทางลู่โจวขณะพูด “ที่นายเจอก็แค่จิ๊บๆ เองนะ”
ลู่โจวชะงักไปครู่หนึ่งแล้ววางตะเกียบลง
“ยังมีพวกที่หัวหมอกว่านี้อีกเหรอ?”
หลัวเหวินเซวียนหัวเราะ
“แน่นอนสิ! ฉันจำคนหนึ่งได้เมื่อวาน เป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่ใส่กระโปรงในหน้าหนาวแล้วเขียนโพยไว้บนต้นขาตัวเองน่ะ
ลู่โจว “…”
คุณพระคุณเจ้า!
ต่อให้ฉันเห็นว่าเธอกำลังทุจริต ฉันก็ไม่กล้าจับเธออยู่ดี
ฉันคงไปเปิดกระโปรงเธอขึ้นมาไม่ได้หรอก ใช่ไหม?
อย่าว่าแต่เรื่องเปิดกระโปรงใครขึ้นมาเลย อาจารย์บางคนยังอายเกินไปที่จะดูต้นขาของเด็กสาวสักคนด้วยซ้ำ
หลัวเหวินเซวียนจิบเบียร์แล้วกินปลาต่อ เขาพูดต่อไปว่า “คณะฟิสิกส์มีอาจารย์ผู้ชายอยู่เยอะกว่ามาก แล้วอาจารย์คุมสอบอีกคนในห้องก็เป็นผู้ชายเหมือนกันด้วย เด็กสาวคนนั้นมันร้ายจริงๆ “
ลู่โจวถาม “งั้นนายก็ปล่อยเธอไปเหรอ?”
หลัวเหวินเซวียนยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า “ไม่ปล่อยสิ ฉันจะไม่ยอมจำนนต่อความชั่วร้ายเป็นอันขาด”
ลู่โจวถาม “…แล้วใครเป็นคนจับเธอล่ะ?”
หลัวเหวินเซียนตอบ “ฉันเอง”
ลู่โจว “…”
ลู่โจวไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่เขารู้สึกเหมือนหลัวเหวินเซวียนภูมิใจมากที่เขาเป็นคนที่จับเด็กสาวคนนั้นได้…
…………………