ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System - ตอนที่ 889 ถืออยู่ครึ่งหนึ่ง
- Home
- ระบบปั้นอัจฉริยะ : Scholar's Advanced Technological System
- ตอนที่ 889 ถืออยู่ครึ่งหนึ่ง
พอหวงกวงหมิงเห็นผู้จัดการโรงงานเดินมา เขาก็เริ่มเตรียมใจไว้แล้ว แต่ผู้จัดการที่เดินมากลับเมินหวงกวงหมิงไปโดยสิ้นเชิง เขาหันไปคุยกับลู่โจวแทน
“มาทำอะไรที่นี่เหรอนักวิชาการลู่เพื่อนรัก? ถ้าบอกแต่แรกว่าจะมา พวกเราก็คงจะจัดทัวร์ให้แล้ว!”
“ไม่ๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ” ลู่โจวมองไปทางผู้จัดการโรงงานแล้วบอกว่า “ผมไม่อยากรบกวนงานคุณน่ะ หมายถึง ดูคนรอบๆ ตัวคุณแล้ว ผมรู้สึกแย่เลยที่มาบุกรุกเนี่ย”
ลู่โจวไม่มีทางบอกเขาแน่ๆ อยู่แล้ว ว่าเหตุผลที่เขามาที่นี่เป็นเพราะเขาตัดสินใจจะกลับบ้านเมืองบ้านเกิดไวขึ้นกว่าเดิม หลักๆ แล้วก็เพราะพวกคนน่ารำคาญที่มาหาเขาที่ออฟฟิศตลอด
“ไม่ต้องห่วงผมหรอก ให้นายคนนี้พาไปทัวร์โรงงานก็ได้”
ลู่โจวตบไหล่หวงกวงหมิง ในขณะที่อีกฝ่ายรีบฉีกยิ้มขึ้นมารับทันที
ในที่สุดเมิ่งจงเปี่ยวก็สังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ลู่โจว เขาจำไม่ได้ว่าหวงกวงหมิงเป็นใคร รู้แค่เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่ของทางโรงงานเท่านั้น
“โอเค ถ้าอย่างนั้น…คุณช่วยดูแลนักวิชาการลู่ด้วยก็แล้วกัน พาเขาไปทัวร์โรงงานหน่อย” เมิ่งจงเปี่ยวสั่งในขณะที่ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้หวงกวงหมิง เมิ่งจงเปี่ยวแอบมองผู้ช่วยของเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ
และผู้ช่วยคนนั้นก็เข้าใจสถานการณ์ทันที เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปหวงกวงหมิง จากนั้นก็ส่งรูปเข้ากลุ่มวีแชทของโรงงานแล้วพิมพ์ข้อความถามไปว่า
[นายคนนี้เป็นใคร? ผมต้องการรายละเอียด!]
“ได้ครับท่าน!”
หวงกวงหมิงไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางของผู้ช่วยคนนั้นด้วยซ้ำ เขาพยักหน้าตอบรับคำสั่งของ ‘คนใหญ่คนโต’ แห่งโรงงานนี้
จากประสบการณ์การทำงานของหวงกวงหมิง เขารู้ว่าผู้จัดการโรงงานเมิ่งเป็นคนรู้จักของลู่โจว หวงกวงหมิงดีใจที่โบนัสของเขายังอยู่
พอพูดถึงอุตสาหกรรมชิปคอมพิวเตอร์แล้ว นอกจากผู้จัดการกับรองผู้จัดการ พนักงานส่วนใหญ่ก็จะทำงานซ้ำๆ เดิมๆ อยู่ตลอด ความแตกต่างเดียวก็คือพนักงานจะนั่งทำงานอยู่ในคอก ส่วนคนงานประกอบจะทำงานอยู่แถวหน้าแทน
เงินเดือนของเขามากพอจะจ่ายหนี้ธนาคารและค่าผ่อนรถได้ แต่ถ้าไม่มีโบนัสประจำเดือนแล้วล่ะก็ มื้อเย็นเขาคงไม่มีอะไรจะกินแน่ๆ
หลังจากที่กลุ่มผู้นำของโรงงานเดินจากไป หวงกวงหมิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะขอบคุณลู่โจวอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“ขอบใจนะเพื่อน! เพราะนาย โบนัสฉันเลยยังอยู่ดี”
ลู่โจวยิ้มแล้วบอกไปว่า “ก็หยุดอู้งานเสียทีสิ ครั้งนี้ฉันช่วยได้ แล้วถ้ามีครั้งหน้าล่ะ?”
“ก็บอกแล้วไง ฉันไม่ได้อู้ แค่มาพักสูบบุหรี่เฉยๆ …ไม่ใช่ว่าฉันจะอยู่ในออฟฟิศได้วันละ 8 ชั่วโมงเสียหน่อย” หวงกวงหมิงลูบหัวตัวเองแล้วบ่น “ฉันทำงานหนักนะ…”
“เออ ช่างเถอะ ไปดูข้างในกันดีกว่า” ลู่โจวมองโรงงานขนาดใหญ่แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ได้ยินว่าไฮซิลิคอนเคยได้รับสินค้าจาก TSMC ตอนนี้พวกเขาก็มีโรงงานเป็นของตัวเองแล้ว ฉันก็เลยสงสัยว่าข้างในจะมีอะไร”
“อันที่จริงก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก มากับฉันก็ได้…แล้วนายคนนี้ล่ะ?” หวงกวงหมิงพูดขณะชี้ไปทางหวังเผิง
หวังเผิงตอบ “ผมต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของนักวิชาการลู่ครับ ทำเป็นเหมือนผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ก็ได้”
หวงกวงหมิงพยักหน้า “…ถ้าอย่างนั้นก็โอเค”
ทั้งสามคนเดินเข้าไปในโรงงานขนาดยักษ์
ลู่โจวเดินตามหวงกวงหมิงพลางมองไปรอบๆ อาคารที่ทำเป็นโรงงาน เขาไปดูสถานีทำงานและเรียนรู้กระบวนการทำสินค้ามาเพิ่ม
ลู่โจวจ้องไปที่พื้นที่ทำชิปที่ยังว่างเปล่า เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาว่า
“ทำไมตรงนี้ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลยล่ะ…คนก็ไม่มี”
“เพราะว่าเจ้าสิ่งที่สำคัญที่สุด…เทคโนโลยีนั่นน่ะ มันยังเป็นความลับอยู่น่ะสิ” หวงกวงหมิงอธิบาย เขาเกือบจะพูดเรื่องทรานซิสเตอร์คาร์บอนออกมาแล้ว แต่โชคดีที่เขารั้งตัวเองไว้ทัน จากนั้นเขาก็พูดว่า “ฉันมันรายละเอียดเฉพาะไม่ได้หรอกนะ เพราะมันเป็นความลับของรัฐบาล…หวังว่านายจะเข้าใจ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเข้าใจดี”
ลู่โจวยิ้มแล้วพยักหน้า
ดูเหมือนกวงหมิงจะค่อนข้างมีความเป็นมืออาชีพอยู่เหมือนกัน เขายังไม่ยอมเผยความลับมาให้ฉันเลย
น่าเสียดายที่เขาไม่รู้ว่า ฉันเนี่ยแหละที่เป็นคนเขียนข้อบังคับให้เก็บเรื่องทรานซิสเตอร์คาร์บอนเป็นความลับ
หวงกวงหมิงเริ่มระวังคำพูดขึ้นเล็กน้อย
“ได้ยินว่านายทำงานในวงการนิวเคลียร์ฟิวชั่น จากนั้นก็ไปวงการการบินและอวกาศ แล้วนายมามีคอนเนกชันกับวงการเซมิคอนดัคเตอร์ได้อย่างไรกัน?”
“คอนเนกชันเหรอ?” ลู่โจวเลิกคิ้วแล้วบอก “ก็ไม่เชิงนะ ฉันก็ไม่ได้รู้จักคนในวงการเซมิคอนดัคเตอร์เท่าไร…”
หวังเจิ้งเฟยก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ลู่โจวก็ไม่ได้สนิทกับเขาขนาดนั้นหรอก นอกจากนั้นก็มีศาสตราจารย์อู๋เทียนเฉวียน หัวหน้าโปรเจกต์ทรานซิสเตอร์คาร์บอนที่นับว่าเป็นอีกคนหนึ่ง
ก็มีแค่สองคนนี้นี่แหละ
“โอเค ก็ได้ ช่างมันก็แล้วกัน…” หวงกวงหมิงมองลู่โจวอย่างไม่เชื่อ “แล้วถ้านายไม่ได้เป็นเพื่อนกับผู้จัดการโรงงาน แล้วเขาจะให้นายเข้ามาทำไมกัน?
“อ๋อ ประเด็นนี้ใช่ไหม จริงๆ ฉันก็ไม่รู้จักเขาหรอก ฉันไม่รู้จักชื่อเขาด้วยซ้ำ” ลู่โจวยิ้มอย่างเจื่อนๆ แล้วพูดต่อ “แต่ฉันถือหุ้นไฮซิลิคอนอยู่…ครึ่งหนึ่งได้”
หวงกวงหมิง “???”
…
ในอีกด้านหนึ่งนั้นที่ออฟฟิศของผู้จัดการที่ศูนย์วิจัยและการผลิต
เมิ่งจงเปี่ยวนั่งอยู่หน้าโต๊ะและหยิบกระติกน้ำสุญญากาศขึ้นมา เขาเหลือบมองไปทางผู้ช่วยของเขา
และผู้ช่วยของเขาก็รู้ดีว่าผู้จัดการต้องการอะไร เขาจึงอ่านข้อมูลในโทรศัพท์แล้วพูดออกมาว่า
“ผมไปหาข้อมูลมาแล้ว ช่างเทคนิคคนนั้นชื่อหวงกวงหมิง ประวัติงานของเขาก็ค่อนข้างน่าพอใจทีเดียวครับ งานไม่ได้ดีเด่นอะไร แต่ก็ไม่มีประวัติเสียเหมือนกัน เขาเคยเรียนที่มหาวิทยาลัยจินหลิง แล้วก็เป็น…รูมเมตของนักวิชาการลู่ด้วยครับ”
“รูม…รูมเมตเหรอ?!” ผู้จัดการโรงงานเมิ่งชะงักไปแป๊บหนึ่งก็ถามต่อ “พวกเขาเรียนอยู่รุ่นเดียวกันเหรอ?”
ผู้ช่วยของเขาพยักหน้า
“นักวิชาการลู่เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยจินหลิงรุ่นปี 2013… พวกเขาไม่ได้เรียนจบพร้อมกันก็จริง แต่ก็เป็นรุ่นเดียวกันครับ”
รุ่นเดียวกันเหรอ?!
แล้วทำไมคนหนึ่งถึงเป็นนักวิชาการ แต่คนหนึ่งถึงมาเป็น…
เมิ่งจงเปี่ยวรวบรวมความคิดอยู่แค่แป๊บเดียวก็สั่งผู้ช่วย “เอ่อ…ไปเชิญหวงกวงหมิงมาที่ออฟฟิศหน่อย”
ผู้ช่วยของเขาพยักหน้า
“ครับท่าน”
การที่ผู้จัดการใช้คำว่า ‘เชิญ’ แทนที่จะใช้คำว่า ‘เรียก’ นี้ก็ค่อนข้างบอกได้ดีแล้ว
หลังจากที่ผู้ช่วยของเขาเจอหวงกวงหมิง เขาก็พาตัวช่างเทคนิคคนนี้มาที่ออฟฟิศของผู้จัดการด้วยท่าทางสุภาพ จากนั้นเขาก็ปิดประตูแล้วเดินออกไปจากห้อง
บรรยากาศในออฟฟิศมีแต่ความเงียบงัน
หวงกวงหมิงมองผู้จัดการเมิ่งเขม็ง อีกฝ่ายยังคงนั่นอยู่หลังโต๊ะ เขายังงงๆ นิดหน่อย
ถ้าลู่โจวบอกว่าเขาถือหุ้นของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ หวงกวงหมิงจะเชื่ออีกฝ่ายทันที แต่หุ้นไฮซิลิคอนของหัวเหว่ยน่ะเหรอ…เขาคิดว่าหัวเหว่ยจะยังควบคุมไฮซิลิคอนได้อย่างเต็มรูปแบบเสียอีก?
มันไม่เกี่ยวกับเรื่องได้เงินหรอกนะ…
ถ้าเขาเป็นซีอีโอของหัวเหว่ยแล้วล่ะก็ ต่อให้ต้องเสียเงินหลักพันล้าน เขาก็จะไม่มีวันขายหุ้นไฮซิลิคอนของเขาและยอมให้คนอื่นเข้ามามีส่วนแบ่งแน่ๆ ยังไม่นับว่าต่อให้หัวเหว่ยจะไม่เสียเงินหลักพันล้านไป พวกเขาก็ยังมีความสามารถในการแข่งขันในวงการกล้องวงจรปิดและการผลิตอัตโนมัติอยู่ดี
แต่ลู่โจวก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้เขาฟังเลย ลู่โจวแค่ขอให้เขาเลิกพาทัวร์แล้วพวกเขาก็บอกลากัน
พอเขาเดินกลับไปเข้าคอกทำงาน เขาก็ถูกเรียกไปที่ออฟฟิศของเจ้านายเขาทันที…
หวงกวงหมิงจ้องไปที่ผู้จัดการเมิ่งแล้วเรียกเขา “ผู้จัดการเมิ่งครับ?”
ยังไม่มีการตอบรับใดๆ
ผู้จัดการไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเข้ามาในห้องแล้ว
หวงกวงหมิงไม่กล้าเรียกเขาอีกรอบ
พวกเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม ในขณะที่นาฬิกาบนผนังก็ค่อยขยับไปอย่างช้าๆ หลังจากผ่านไปหนึ่งนาที เมิ่งจงเปี่ยวก็พยักหน้าในที่สุด
เด็กคนนี้เป็นคนติดเล่นนิดหน่อย แต่ก็เป็นนักเรียนที่ดี ถึงเขาจะเป็นคนที่แสนจะธรรมด๊าธรรมดา แต่ว่า…
เขาก็ควรค่าแก่การฝึกอยู่
น่าจะเลื่อนขั้นเขาเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยได้ แล้วค่อยเป็นรองผู้อำนวยการดูแลความปลอดภัย จากนั้นบางทีอาจจะเป็นด้านการจัดการ…
แน่นอนว่าตัวเขาก็อาจจะไม่เข้ากับงานเหมือนกัน
ลองให้โอกาสเขาดูก็แล้วกัน แต่ถ้าเขาทำงานได้ไม่ดีฉันก็มั่นใจว่านักวิชาการลู่ไม่ชอบพวกคนถ่วงทีมอยู่แล้ว
ในขณะที่ผู้จัดการโรงงานเมิ่งกำลังครุ่นคิด หวงกวงหมิงก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา รอยยิ้มเย่อหยิ่งของผู้จัดการโรงงานเมิ่งทำให้หวงกวงหมิงรู้สึกขนลุก
อะไรวะเนี่ย เจ้าหมอนี่ไม่ได้สนใจตัวฉันในแบบนั้นใช่ไหม?
ฉันไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้นนะเว้ย!
ในขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะพูดอะไรออกมาดี ในที่สุดผู้จัดการโรงงานเมิ่งก็พูดขึ้นมาว่า “จากนี้ไป คุณจะได้รับผิดชอบความปลอดภัยของศูนย์วิจัยและการผลิตนะ”
หวงกวงหมิง “…?”
…………………………